ตอนที่ 19 น้ำแกงข้าว / ตอนที่ 20 เด็กสาวกำพร้า

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 19 น้ำแกงข้าว

หลิวซื่อจะพูดอะไรได้? นางทำได้เพียงทำอาหารไปเงียบๆ แม้จะไม่ได้ลงครัวมาเป็นเวลาสองปีแล้ว แต่โชคดีที่แค่ต้มโจ๊กและผัดผักชามใหญ่ ง่ายดายยิ่งนัก

เจ้ารองนำหกสิบเหวินใส่เข้าไปในกระเป๋าเงิน ตั้งใจจะไปงีบในห้องสักครู่ แต่เพิ่งเดินออกจากห้องของมารดาไป เขาก็เหลือบเห็นหมอลู่สะพายล่วมยานำยาหลายห่อเข้ามาในลานบ้าน

เขารีบร้อนออกไปต้อนรับ “โอ้ นี่ท่านหมอลู่ไม่ใช่หรือ ลมอะไรหอบท่านมาที่นี่ได้”

หมอลู่รังเกียจคนที่เอาแต่ขี้เกียจ แต่ว่าชอบพูดจาประจบสอพลอเช่นเจ้ารองมากที่สุด จึงช้อนสายตากวาดมองอีกฝ่ายครั้งหนึ่ง แล้วตอบรับเสียงเรียบว่า “ข้ามารักษาจ้าวหลาน ก่อนหน้านี้เจ้าไม่อยู่บ้านเลยอาจจะไม่รู้ ทว่าแม่เจ้ารู้เรื่องนี้ดี”

เจ้ารองร้องอ๋อเสียงหนึ่ง แล้วถึงจะกล่าว “พวกนางไม่อยู่ที่นี่ เรือนก็พังไปแล้ว พวกนางไปอยู่ที่บ้านของหูจ่างหลินแล้วล่ะ”

ท่านหมอหูกวาดสายตามองเรือนในมุมของลานบ้านที่พังทลายลงมา ลอบถอนหายใจ ”ข้ารู้แล้ว ข้าจะไปส่งยาให้นางที่บ้านของเหล่าหู”

เมื่อเจ้ารองได้ยินดังนั้น ก็รีบขวางเขาไว้ “ยังจะส่งยาอะไรอีก? นางหายดีแล้วไม่ใช่หรือ? มือหักแล้วกินยาคงแก้ปัญหาไม่ได้ พวกข้าสกุลไป๋ไม่ได้มีเงินมากมายจ่ายค่ารักษาให้นาง เจ้านำยานี้กลับไปเถอะ”

“ยานี้จ่ายเงินแล้ว ข้าจะนำไปให้จื่อยาโถว เจ้าเห็นนางหรือไม่ นางบาดเจ็บไปทั้งตัว หากไม่ใช้ยา ตกกลางคืนจะป่วยไข้ เกิดอะไรขึ้นมาก็อย่าโทษข้าแล้วกัน” ท่านหมอหูกล่าว

เจ้ารองคิดถึงเรื่องในตอนนั้น ครั้งนั้นบิดาและเจ้าสามตกลงมาจากหลังคาเรือน กระอักเลือดออกมาด้วย แต่ยังมีสติครบถ้วน

ขณะนั้นหมอลู่สั่งยา ให้พวกเขาไปรับยาในเมือง แต่พวกเขาคิดว่าค่ายาแพงเกินไป จึงรั้งรอไม่ยอมไปเสียที ไม่คิดเลยว่าเสียเวลาไปสองสามวันเช่นนั้น จะทำให้อาการบาดเจ็บอยู่ในขั้นร้ายแรงเสียได้

บัดนี้แม้เจ้ารองจะเสียดายเงินค่ารักษาสองตำลึงเงิน ทว่าสายตาตำหนิแกมถากถางของหมอลู่ ทำให้ในที่สุดเขาก็ไม่กล้าพูดโพล่งออกมา หากครั้งนี้ไป๋จื่อและจ้าวหลานเสียชีวิตไปเพราะพวกเขาสกุลไป๋ไม่ยอมตัดใจรับยา ท่านแม่และสะใภ้ใหญ่ล้วนต้องเข้าคุก แล้วหลังจากนั้นสกุลไป๋จะอยู่ได้อย่างไร?

เจ้ารองปิดปาก ไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่กลับหลังหันเข้าเรือนไป

หมอลู่ส่ายหน้า แล้วถือล่วมยามุ่งหน้าไปยังบ้านของหูจ่างหลิน

ในที่สุดสกุลไป๋ก็ตั้งโต๊ะ ครั้นหญิงชราเห็นถ้วยใส่โจ๊กก็พลันขมวดคิ้ว นี่คือโจ๊กหรือ? น้ำแกงข้าวชัดๆ

นางมองหลิวซื่อตาขวาง เมื่อก่อนตอนสะใภ้ใหญ่ผู้นี้ต้มโจ๊กให้นาง ล้วนพยายามต้มจนข้นเหนียวสักหน่อย ดังนั้นเวลาหลิวซื่อเข้าข้างบุตรสาวของตนเองบนโต๊ะอาหาร ผู้อาวุโสอย่างนางจึงทำเป็นมองไม่เห็น

หลิวซื่อไม่กล้าตอบโต้สายตาไม่พอใจของหญิงชรา คิดเสียว่าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ไม่รู้สึกถึงความไม่พอใจอะไรทั้งนั้น

จางซื่อยกชามจากหลังครัวมาถึงโถงหน้า วางถ้วนลงบนโต๊ะอย่างหนักเสียงดัง ‘ปัง’ “สะใภ้ใหญ่ เจ้าต้มโจ๊กหรือน้ำแกงข้าว?”

หลิวซื่อหัวเราะแห้งๆ “ย่อมเป็นโจ๊ก เพียงแต่ใสหน่อย”

จางซื่อมองตาขวางใส่หลิวซื่อด้วยความไม่พอใจ “ใสหน่อยรึ? เจ้าช่วยข้าหาหน่อยสิ ว่าในถ้วยของข้านี้มีข้าวสักเม็ดหรือไม่?”

หลิวซื่อรีบกล่าว “โทษข้าไม่ได้กระมัง ข้ากับเจ้าก็เหมือนกัน ไม่ได้กินข้าวมากกว่าหนึ่งเม็ด ในถังข้าวของสกุลเราเหลือข้าวสารไม่เท่าไรแล้ว แน่นอนว่าต้องกินอย่างประหยัด ไม่เช่นนั้นผ่านไปสองสามวันคงไม่ได้กินแม้กระทั่งน้ำแกงข้าว”

ที่แท้เป็นเช่นนี้ สายตาดุดันของแม่สามีพลันอ่อนลงหลายส่วน นางโบกมือพลางกล่าว “เอาล่ะ รีบกินเถอะ พรุ่งนี้ยังมีงานต้องทำ” นางหันไปมองลูกสะใภ้สองคน “ต่อไปทำอาหารในบ้านแล้วก็แบ่งออกมาก่อน แบ่งโจ๊กและผักตามจำนวนคน จะได้ไม่เกิดเรื่องเช่นตอนนี้ขึ้นอีก”

……….

ตอนที่ 20 เด็กสาวกำพร้า

สะใภ้ทั้งสองคนไหนเลยจะกล้าปฏิเสธ ไม่ว่าในใจจะเต็มไปด้วยความอดสู ทว่าวิธีการของแม่สามีช่างยอดเยี่ยมนัก นางเป็นเจ้าของบ้านสกุลไป๋ จะแบ่งข้าวและกับตามจำนวนคน ย่อมมีส่วนที่ดีที่สุดเป็นของนาง

หมอลู่พบกระท่อมไม้ที่จ้าวหลานและไป๋จื่ออาศัยอยู่แล้ว ครั้นเห็นสองแม่ลูกพิงอยู่บนกองหญ้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนใจเสียงหนึ่ง แล้วกล่าวกับเด็กสาวว่า “เฮ้อ…ชีวิตของพวกเจ้าสองแม่ลูกช่างลำบากนัก เกิดมาอาศัยอยู่ในบ้านของคนเช่นนั้น เกรงว่าชั่วชีวิตนี้คงจะถูกพวกเขารังแกไปตลอด”

ไป๋จื่อยิ้ม พลางกล่าวว่า “ต่อไปคงไม่ถูกรังแกแล้วเจ้าค่ะ ต่อไปข้าจะปกป้องท่านแม่ของข้า ไม่ว่าผู้ใดก็อย่าได้คิดรังแกนาง”

หมอลู่มองเด็กสาวผอมบางและอ่อนแอตรงหน้า บนใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยเขียวๆ ม่วงๆ ทว่ายังมีรอยยิ้มจาง นางหรี่ตาลงเล็กน้อย แววเฉลียวฉลาดปรากฏขึ้นมารางๆ ช่างจ้าตาอย่างคาดไม่ถึง

ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยพิจารณาไป๋จื่ออย่างละเอียดมาก่อน ไม่เคยรู้เลยว่านางมีดวงตาที่งดงามเช่นนี้ ทั้งยังเจือความฉลาดและมีชีวิตชีวา ใสแจ๋วจนถึงก้นบึ้ง ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะเกิดความเชื่อใจต่อเจ้าของดวงตาคู่นี้

“เอาล่ะ ได้ฟังเจ้าพูดเช่นนี้ อาการบาดเจ็บของแม่เจ้าคงจะหายเร็วขึ้นมาก” หมอลู่ยินดีนัก เขานำห่อยาวางไว้ในมือของไป๋จื่อ “ไป๋จื่อเอ๋ย ที่ข้าบอกว่าแม่เจ้าบาดเจ็บหนักก่อนหน้านี้ เป็นข้าที่จงใจให้พวกนางหวาดกลัว เจ้าไม่ต้องกังวลไปนะ แม่ของเจ้าไม่ได้ช้ำในแต่อย่างไร นอกจากแขนแล้ว ก็ไม่มีบาดแผลที่ภายนอก พักสักระยะหนึ่งก็จะดีขึ้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

“แล้วยานั่น?” นางย่อมรู้ว่าบนร่างกายของมารดาตนเองล้วนเป็นบาดแผลภายนอก จึงอยากรู้ว่าที่หมอลู่สั่งยาอะไรมาให้ บาดแผลภายนอกไม่จำเป็นต้องใช้ยารักษา ทายาภายนอกเพื่อห้ามเลือดสักหน่อยก็พอ

หมอลู่กล่าวยิ้มๆ “ข้านำยาบำรุงร่างกายมาให้พวกเจ้าเล็กน้อย ทั้งเจ้าและแม่เจ้าสามารถดื่มได้ทั้งคู่ ปกติพวกเจ้าไม่ได้มีชีวิตที่ดีในสกุลไป๋แน่ ดูเจ้าสิผอมถึงเพียงนี้ เจ้าอายุเท่านี้แล้ว จำต้องบำรุงให้ดีสักหน่อย ไม่เช่นนั้นต่อไปหาบ้านสามีก็คงยาก”

จ้าวหลานได้ยินแล้วก็ร้องไห้ออกมา “ใครว่าไม่ใช่ สตรีในวัยจื่อเอ๋อร์ มีคนใดบ้างที่ไม่ได้กินไข่ไก่ทุกวัน บำรุงร่างกายอย่างดี ต่อไปแต่งงานแล้ว ถึงจะให้กำเนิดบุตรอย่างดีได้ ทว่าจื่อเอ๋อร์ของข้า แม้แต่รสชาติของไข่ไก่ก็ยังไม่รู้จัก ล้วนต้องโทษข้า โทษที่ข้าเป็นแม่ที่ไม่เอาไหน”

หมอลู่เห็นนางร้องไห้ ก็รีบโน้มน้าวว่า “อย่าได้พูดเช่นนั้น เจ้าเลี้ยงดูไป๋จื่อมาอย่างไร คนในหมู่บ้านหวงถัวล้วนเห็นชัดเจน หลายปีมานี้ หากไม่ใช่เพราะไป๋จื่อ เหตุใดเจ้าต้องทนทุกข์อยู่ในสกุลไป๋เช่นนี้ด้วย” ตอนที่เจ้าสามจากไป นางอายุยังน้อย จะแต่งเข้าสกุลอื่นเป็นเรื่องง่ายดายนัก ทว่าเพื่อไป๋จื่อ นางปฏิเสธมารดาตนเองที่มารับนางไปแต่งงานใหม่ และทำงานต่างวัวต่างม้าอยู่ในสกุลไป๋ร่วมกับไป๋จื่อ จนบัดนี้ก็สิบปีแล้ว

แม้ไป๋จื่อจะเป็นเด็กที่นางเก็บมาเลี้ยง ทว่าก็ได้ชื่อว่าเป็นสกุลไป๋แล้วเช่นกัน หากจ้าวหลานจะแต่งงานใหม่ นางจะพาบุตรสาวของตนไปด้วยไม่ได้ อีกทั้งแม่สามีสกุลไป๋ก็จะขายไป๋จื่อแลกเงิน ให้เป็นเด็กสาวที่เลี้ยงไว้เป็นเจ้าสาวให้กับคนอื่น นี่ยิ่งทำให้นางไม่อาจจากไปได้

ไป๋จื่อคิดถึงบิดาและมารดาของตนในชาติก่อน พวกเขาต่างเลี้ยงนางอย่างมีเงื่อนไขชัดเจน ทว่ากลับไม่มีใครต้องการเธอ พวกเขาทิ้งนางไว้บนถนนใหญ่ที่เต็มไปด้วยรถราตอนอายุสี่ขวบ ตอนนั้นนางไม่รู้ว่าพ่อแม่ไม่ต้องการนางแล้ว จึงนั่งรอพวกเขามารับอยู่ข้างทางม้าลายอย่างว่าง่าย จนกระทั่งตำรวจพานางกลับไปที่สถานีตำรวจ เขาถามชื่อพ่อแม่ของนาง ขณะนั้นนางจำหมายเลขโทรศัพท์ของแม่ได้ ครั้นตำรวจโทรศัพท์ติดต่อไปพร้อมกับเปิดลำโพง นางได้ยินกับหูตนเอง ว่าแม่กล่าวว่าไม่ได้ทำลูกหาย ทั้งยังบอกอีกว่าไม่มีลูกด้วยซ้ำไป