บทที่ 7 กำแพงรั้ว

คู่ชะตาบันดาลรัก

บทที่ 7 กำแพงรั้ว Ink Stone_Romance

กลางเดือนสองผ่านพ้นไปอากาศเริ่มอุ่นขึ้น แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านหน้าต่าง ภายในห้องหนังสือดูอบอุ่นและเงียบสงบ หมิงเวยนั่งริมหน้าต่างขณะฟังแม่นมถงและฮูหยินสามพูดคุยกัน

“ที่ครัวมีคนลาสองคน เรือนกระจกสองคน คนสวนป่วยอีกสองสามคน แม่นางชุนอวี๋มาหาในตอนเช้า นางบอกว่านางอายุมากแล้ว ต้องการออกจากจวน…”

ซู่เจี๋ยขัดจังหวะ “ฮะ! อายุมากอะไรกัน ไม่ใช่ว่าที่สวนมีผีเลยอยากจะหนีหรือ ทำเป็นพูดดี!”

ฮูหยินสามหัวเราะ “มันเป็นเรื่องปกติ เหตุการณ์ในวันนั้นทุกคนก็ได้เห็นแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะรั้งพวกนางให้มารนหาที่ตายที่นี่”

ซู่เจี๋ยกล่าวอย่างมีอารมณ์ “รนหาที่ตายอะไรกันเจ้าคะ ท่านเทพธิดานางบอกว่าได้ผนึกสิ่งนั้นไปแล้ว เหลือแค่ไปตามหาเซียนในเสวียนตูกวานมาเก็บมันก็สำเร็จแล้ว”

“แต่เรายังไม่รู้เลยว่าจะเชิญเซียนจากเสวียนตูกวานมาได้หรือไม่” ฮูหยินสามกล่าวเสียงเบา “อย่าบังคับให้คนอื่นมาทำดีกับเราเลย คนเราเกิดมาบนโลกนี้ ล้วนไม่ได้เป็นหนี้ใคร เจ้าควรนึกถึงจิตใจของพวกเขาด้วย”

ซู่เจี๋ยยังคงไม่พอใจ นางพูดพึมพำ “วันๆ ไม่เห็นพวกนางจะทำอะไร พอเกิดเรื่องขึ้นกลับวิ่งหนีเร็วกว่าใครเขา ฮูหยินใจดีเกินไปแล้ว…”

หมิงเวยชำเลืองมองฮูหยินสาม ประโยคนี้ค่อนข้างมีสัจธรรม ผู้คนบนโลกน้อยนักที่จะใช้ชีวิตอย่างโปร่งใสแบบฮูหยินสาม ยิ่งทั้งใจดีทั้งโปร่งใสด้วยยิ่งน้อยไปอีก

หมิงเวยคิดว่านางควรหาโอกาสที่จะ ‘ดีขึ้น’ หากนางอาการดีขึ้น ฮูหยินสามจะดีใจมากใช่หรือไม่ อีกอย่างร่างกายที่โง่เขลานี้เรื่องที่สามารถทำได้ก็มีน้อยนัก

“ฮูหยินหมายความว่าอนุญาตหรือเจ้าคะ” แม่นมถงถาม

ฮูหยินสามพยักหน้า “มอบเงินให้พวกนางไปยี่สิบเหรียญ ให้พวกนางได้ออกจากเรือนไปอย่างสง่างาม ถือว่าเป็นไมตรีจิตต่อกัน ใครขอลาก็อนุญาตให้หมด ไม่ต้องหาคนเพิ่ม เวลานี้คนเยอะไปก็ไม่มีประโยชน์มีแต่จะยุ่งยากขึ้น”

แม่นมถงกล่าวต่อว่า “ฮูหยินเป็นคนรอบคอบ ข้าจะบอกให้พวกนางระมัดระวัง ห้ามพูดเรื่องไร้สาระข้างนอกเจ้าค่ะ”

“อืม” มีเสียงดังจากข้างนอกหน้าต่าง ฮูหยินสามจึงสั่งสาวใช้ “ซู่เจี๋ย เจ้าออกไปดูซิว่าข้างนอกเกิดอันใดขึ้น”

ขณะที่ซู่เจี๋ยกำลังรับคำสาวใช้นามว่าปิงซินก็รีบเดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว “ฮูหยินเจ้าคะ! นายท่านสี่พาคนมาอีกแล้วเจ้าค่ะ!”

พอได้ยินว่านายท่านสี่มา แม่นมถงก็ขมวดคิ้ว “พูดช้าๆ” ฮูหยินสามพูดอย่างใจเย็น “นายท่านสี่พาใครมารึ มากี่คน รู้หรือไม่ว่ามาทำอันใดกัน”

ปิงซินรีบตอบ “มาเป็นสิบคนเลยเจ้าค่ะ! เป็นคนงานชายตัวใหญ่แข็งแรงทั้งหมด พวกเขาพกพลั่วพกไม้มาด้วยเจ้าค่ะ…ฮูหยิน ท่านต้องการซ่อนตัวหรือไม่เจ้าคะ”

รอยยิ้มของฮูหยินสามหายไป “ดูเหมือนว่านายท่านสี่จะยังเล่นงานข้าไม่สมใจ ไม่ต้องกังวลไปออกไปดูกันก่อนเถอะ” หมิงเวยลุกขึ้นตามแล้วเดินออกไปพร้อมฮูหยินสามอย่างเงียบๆ

“เห็นเส้นนั้นหรือไม่ ขุดมัน!”

“ต้นไม้พวกนั้นที่ดูขวางหูขวางตาโค่นเรียบร้อยแล้วขอรับ” เมื่อพวกนางเดินออกมา ทางฝั่งทะเลสาบดูรกเกินกว่าจะมองเห็น ทางนี้ก็ขุดทางนั้นก็ขุด

“น้องสี่!” นายท่านสี่ที่กำลังคุมงานอยู่หันไปมองฮูหยินสามและพูดแบบไม่ใส่ใจ “โอ้ พี่สะใภ้สามก็อยู่ด้วย!”

ฮูหยินสามขมวดคิ้ว “น้องสี่คิดจะทำอันใดรึ”

นายท่านสี่กล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ท่านบอกไม่ใช่หรือว่าที่นี่มีผีสิงอยู่ ข้าก็มาช่วยท่านล้อมที่ที่มีผีสิงอยู่อย่างไรเล่า จะได้ลดความกังวลของพวกที่อยู่ในสวนแห่งนี้ อาการล้มป่วยนี้ผู้อื่นต่างคิดว่าตระกูลหมิงได้จบสิ้นลงแล้ว!”

“นายท่านสี่!” แม่นมถงทนไม่ไหว “ท่านเทพธิดาบอกว่า เจ้าผีร้ายอาศัยอยู่บนต้นไม้ต้นนั้น ท่านพาคนมามากมายเช่นนี้ หากเกิดเรื่องขึ้นมาจะทำอย่างไรเจ้าคะ”

นายท่านสี่เหล่ตามองนางแล้วพูดอย่างไม่เกรงใจ “นี่เจ้ายังกล้าแสดงความเห็นอีกรึ หุบปากซะ! หากเจ้ายังพูดอีกข้าจะให้คนลากเจ้าไปโบย ดูสิว่าถึงเวลานั้นแล้วเจ้ายังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกหรือไม่!”

แม่นมถงโกรธ นางเป็นแม่นมของฮูหยิน โบยนางไม่เท่ากับว่าหักหน้าฮูหยินหรืออย่างไรกัน นายท่านสี่ผู้นี้ไยจึงกล้าถึงเพียงนี้! ในตอนแรกเรือนรองนี้มีนายท่านสองคน ถึงพวกท่านจะเป็นฝาแฝดกัน แต่นิสัยของพวกเขาช่างต่างกันมาก คนหนึ่งมีนิสัยอ่อนโยนเป็นสุภาพบุรุษที่มีชื่อเสียง อีกคนเป็นคนอารมณ์ร้อน เข้ากับผู้อื่นได้ยาก

ตอนที่ฮูหยินออกเรือนกับนายท่านสาม นางเป็นหญิงสาวที่โชคดีมาก ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าพอนายท่านสามจากไป นายท่านสี่จะขึ้นเป็นเจ้าเรือนแทน ไม่มีเรื่องเกิดขึ้นถือว่าโชคดี ในฐานะน้องสามีเขาไม่สามารถเข้าไปในที่ของแม่หม้ายโดยพลการได้ แต่หากมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น นายท่านสี่มักจะพูดจาเย้ยหยันถากถาง

แต่ก็ทำได้แค่ไม่พอใจ นายท่านสามด่วนจากไปทำให้พวกนางสองแม่ลูกรู้สึกโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง

ฮูหยินสามไม่ได้ขุ่นเคืองแต่อย่างใด นางส่งสายตาให้แม่นมถงถอยออกไป จากนั้นเปิดปากถามด้วยตนเอง “น้องสี่ แล้วท่านจะล้อมอย่างไรรึ”

นายท่านสี่เมื่อเห็นว่านางไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงดึงสายตากลับแล้วชี้ไปทางทะเลสาบ “ยังไงที่นี่ก็อยู่ไกลลับตาคน ข้าสร้างกำแพงนี้เพื่อให้แยกตัวออกมา จะได้ไม่ขัดขวางพวกเจ้า”

ฮูหยินสามพิจารณาอยู่สักพักจึงพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็รบกวนน้องสี่แล้ว ที่นี่มีแต่สาวใช้ที่เป็นหญิง อีกอย่าง อย่าให้พวกเขาเข้าใกล้ต้นไม้ต้นนั้น หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาคงไม่ดีแน่”

น้ำเสียงของนายท่านสี่อ่อนลง “ได้”

ฮูหยินสามโค้งตัวแล้วเดินจากไป หลังเดินจากมาสักพัก แม่นมถงจึงถาม “ฮูหยินเจ้าคะ ทำไมถึงปล่อยให้นายท่านสี่จัดการล่ะเจ้าคะ”

ฮูหยินสามตอบ “ที่เขาพูดมาก็ถูกล้อมที่นี่เอาไว้เพื่อให้ทุกคนสบายใจ”

“เจ้าค่ะ…” หมิงเวยที่เดินตามหลังก้มลงถามตัวฝู “นั่นคือผู้ใดหรือ”

ตัวฝูไม่เข้าใจ “คุณหนูหมายถึงผู้ใดหรือเจ้าคะ”

หมิงเวยชี้ ตัวฝูมองตามแล้วพูดขึ้น “นั่นคือนายท่านสี่เจ้าค่ะ! คุณหนูจำไม่ได้หรือเจ้าคะ”

“งั้นหรือ” หมิงเวยพึมพำ

นางมีปัญหาเรื่องจำคนไม่ได้ตั้งแต่เด็กแล้ว เว้นแต่จะมีหน้าตาที่โดดเด่น ไม่งั้นต้องพบเจอกันหลายๆ ครั้งถึงจะจำกันได้ หลังจากนั้นมาท่านอาจารย์จึงสอนให้นางแยกความแตกต่างของชี่[1] ชี่ของแต่ละคนแตกต่างกัน ถึงหน้าตาอาจคล้ายกันแต่ยังไงชี่ต้องไม่เหมือนกัน

ตั้งแต่นั้นมานางคุ้นเคยกับการแยกแยะผู้คนด้วยชี่ และก็ไม่เคยผิดพลาดเสียด้วย แต่เมื่อครู่นี้นางรู้สึกคลุมเครือ ชี่ของนายท่านสี่กับวันนั้นไม่เหมือนกัน

หรือว่านางเปลี่ยนร่างกายแล้วยังฟื้นตัวไม่สมบูรณ์เลยดูพลาดไปนะ

“คุณหนู พวกเรากลับกันเถอะเจ้าค่ะ” ตัวฝูเห็นนางเดินช้าจึงเร่ง

หมิงเวยอยากจะหันกลับไป แต่รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง สายตามองไปยังทะเลสาบอยู่หลายครั้ง เหล่าคนงานชายขุดหลุมเล็กๆ หลายหลุมรอบๆ ต้นหลิว จากนั้นฝังถุงกระดาษเข้าไปสองสามใบ หนึ่งในนั้นมีรอยขาดเป็นรูอยู่ตรงมุมถุงกระดาษจนมีสีแดงทะลักออกมา

ชาดงั้นหรือ สายตาที่นางมองไปยังนายท่านสี่นั้นดูมีความหมายลึกซึ้ง

“คุณหนูเจ้าคะ” ตัวฝูเร่งอีกครั้ง

“อืม” หมิงเวยหมุนตัวเดินกลับห้อง เรื่องที่ดูเรียบง่ายนี้ดูเหมือนจะซับซ้อนมากขึ้น “ตัวฝู ที่พวกนางบอกเจอผี มีลักษณะเป็นอย่างไรกันหรือ”

ตัวฝูนึก “เสี่ยวเซียงบอกว่าเป็นเงาสีขาว จิ่วเอ๋อร์กลับบอกว่าสวมชุดงิ้ว ที่แปลกสุดก็คือหลิ่วเอ๋อร์ นางบอกว่าเป็นสงฆ์หัวล้าน! มีผีที่ไหนเป็นพระสงฆ์กัน ไม่ใช่ว่าพวกเขาตายแล้วไปพบพระพุทธเจ้าหรอกหรือ”

“ไม่เหมือนกันรึ”

“อืม พวกนางมีความคิดของตัวเอง คุณหนูเจ้าคะพวกนางอาจเข้าใจผิดก็เป็นได้ ผีที่พวกเราเห็นวันนั้นไม่ได้เป็นแบบที่พวกนางพูดเลย”

หมิงเวยเข้าใจถูกแล้ว การสร้างเหตุการณ์นี้ โดยทั่วไปจะใช้วัตถุเก่าๆ ที่มีวิญญาณเป็นสื่อกลาง พวกมันจะสร้างจิตวิญญาณที่อ่อนแอ แต่ไม่ได้กลายเป็นปีศาจร้าย แค่เผยร่างที่แท้จริงให้เห็นไม่ทำอันตรายใดๆ

ผีสวมชุดงิ้ว น่าจะเป็นสิ่งของในคณะละคร ส่วนสงฆ์หัวล้านคงเป็นสิ่งของที่อยู่ในวัด

ถ้าอย่างนั้นในที่แห่งนี้มีหนึ่งสิ่งที่ถูกคลายออกอย่างสมบูรณ์ นั่นคือสิ่งชั่วร้ายที่ทำให้คุณหนูเจ็ดถึงแก่ความตาย

……………………………………

[1] ชี่ : พลังชีวิต