ตอนที่ 11 ช่วยผมด้วย!
หวู่เฉินเทียนรู้สึกว่า พ่อของเขานั้นออกจะยกยอปอปั้นฉีเล่ยจนเกินเหตุ ในความเห็นของเขานั้น ต่อให้ฉีเล่ยจะมีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศมากขนาดไหน แต่เขาก็เป็นไม่ต่างจากหมอกระเป๋า ที่ไม่มีแม้แต่ใบประกอบโรคศิลป์
มีความเป็นไปได้ที่ฉีเล่ยจะมีพื้นฐานความรู้ด้านแพทย์แผนจีนมาบ้าง แต่เขายังเชื่อว่า ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของความบังเอิญ และความโชคดีเท่านั้น!
ในความคิดของหวู่เฉินเทียน สิ่งที่ฉีเล่ยกำลังทำอยู่นั้น เป็นเพียงแค่การนำเอาความโชคดี หรือความบังเอิญที่เกิดขึ้น มาสร้างเป็นเรื่องเล่าให้ฟังดูน่าทึ่งเสียมากกว่า
หากจะให้พูดออกมาตรงๆก็คือ เขาเห็นฉีเล่ยเป็นพวกนักต้มตุ๋น!
แต่สิ่งที่น่าโมโหยิ่งกว่านั้นก็คือ เขาซึ่งเป็นนักธุรกิจใหญ่โตของหนานหยาง กลับต้องมาคอยพินอบพิเทารับใช้นักต้มตุ๋นอย่างฉีเล่ย และเรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก!
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ หวู่เฉินเทียนก็ยิ่งโมโหมากขึ้นเท่านั้น!
หวู่เฉินเทียนล้วงเอาบัตรธนาคารใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋า เขายื่นบัตรใบนั้นให้กับฉีเล่ย พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ถ้าเธออยากจะมีชีวิตอยู่ต่อล่ะก็ รับบัตรใบนี้ไปซะ ในบัญชีมีเงินสดอยู่สามล้านหยวน!”
หลังจากนั้น น้ำเสียงของหวู่เฉินเทียนก็เปลี่ยนเป็นเย็นชายิ่งกว่าเดิม “แต่ถ้าเธอไม่ทำตามคำสั่งของฉัน เธอก็ต้องตาย! เธอเองก็รู้ดีนี่ว่าสกุลหวู่มีอำนาจอิทธิพลในหนานหยางมากแค่ไหน!”
ฉีเล่ยถึงกับตกใจ คิ้วทั้งสองข้างของเขาขมวดเข้าหากัน พร้อมกับร้องถามออกไปด้วยสีหน้างุนงง
“คุณหวู่ นี่มันหมายความว่ายังไง?”
หวู่เฉินเทียนโบกบัตรธนาคารในมือไปมา พร้อมตอบกลับไปว่า “ก็สิ่งที่เธอกำลังทำอยู่นี้ เธอทำเพื่อเงินไม่ใช่เหรอ? ฉันคิดว่าเงินจำนวนสามล้านหยวน น่าจะเพียงพอให้เธอใช้จ่ายไปตลอดชีวิต..”
“การที่ฉันไม่เรียกตำรวจมาจับเธอ หรือไม่ส่งคนของฉันมาจัดการกับเธอ ก็นับว่าฉันปราณีมากแล้วนะ! เอาเป็นว่า เธอรับเงินจำนวนนี้ไป แล้วหลังจากนี้ ก็อยู่ให้ห่างจากพ่อของฉัน ไปจากชีวิตของเขาซะ แล้วก็อย่าได้มาหลอกลวงต้มตุ๋นพ่อของฉันอีก! ฉันอธิบายขนาดนี้แล้ว หวังว่าเธอคงจะเข้าใจ..”
“…”
“ฮ่าๆๆ”
หลังจากได้ฟังคำอธิบายของหวู่เฉินเทียน ฉีเล่ยก็ได้แต่นิ่งอึ้งไปด้วยความตกตะลึง ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นโกรธ และเริ่มหัวเราะออกมา..
‘หลอกลวงต้มตุ๋นงั้นเหรอ?’
‘นักต้มตุ๋นแบบไหนกัน ที่ทำให้คนฟื้นจากความตายได้?’
‘นักต้มตุ๋นแบบไหนกัน ที่รักษาคนป่วยด้วยอาหารเพียงแค่มื้อเดียว?’
‘ต่อให้สกุลหวู่จะยิ่งใหญ่ และมีธุรกิจใหญ่โตมากแค่ไหน ก็อย่าคิดว่าจะใช้เงินซื้อศักดิ์ศรีของฉันได้ ทำไมฉันจะต้องรับเงินจำนวนนี้ด้วย?’
ฉีเล่ยไม่แม้แต่จะปรายตามองบัตรธนาคารในมือของหวู่เฉินเทียนอีก หลังจากหัวเราะออกมาแล้ว เขาก็เปิดประตูรถและก้าวลงไปในทันที ฉีเล่ยยืนอยู่หน้าประตูรถที่เปิดค้างไว้ และพูดกับหวู่เฉินเทียนว่า
“ผมจะอยู่ให้ห่างจากพ่อของคุณตามที่คุณต้องการ เพราะอาวุโสหวู่เป็นพ่อของคุณ ไม่ใช่พ่อของผม และที่ผมไปบ้านสกุลหวู่วันนี้ ก็เพราะยังรู้สึกติดค้างกับอาวุโสหวู่อยู่ แต่ตอนนี้ ผมไม่มีอะไรติดค้างอีกแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่ผมจะต้องพบเขาอีก..”
“ส่วนเงินจำนวนสามล้านนั้น คุณเก็บมันไว้ดีกว่า เงินเล็กน้อยเพียงแค่นี้ ไม่สามารถซื้อเกียรติยศศักดิ์ศรีของผมได้!”
หลังจากพูดจบแล้ว ฉีเล่ยก็หันหลังเดินจากไปทันที!
หลังจากที่หวู่เฉินเทียนกลับไปแล้ว ฉีเล่ยก็ยังไม่เข้าบ้าน เขาเดินเล่นไปตามท้องถนน เพื่อทบทวนถึงเส้นทางชีวิตในวันข้างหน้าของตนเอง
แต่ในระหว่างนั้นเอง จู่ๆ ฉีเล่ยก็รู้สึกคล้ายจิตวิญญาณภายในสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เขาจึงหยุดเดิน และรีบหันมองไปทางขวามือของตนเองทันที
ชายหนุ่มพบว่า ทางด้านขวามือของเขานั้น มีแผงขายของสองสามแผงตั้งอยู่ ซึ่งเป็นแผงร้านค้าที่จำหน่ายภาพวาดโบราณ และหยกเก่าแก่อยู่ หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปที่ถนนค้าของเก่าโดยไม่รู้ตัว
แต่แล้ว ความรู้สึกต่างๆเมื่อครู่นี้ ก็ได้อันตรธานหายไปจากใจของฉีเล่ยในทันที เขากวาดสายตาสำรวจมองแผงร้านค้าตรงหน้าด้วยความสงสัย
ของที่วางเรียงรายอยู่บนแผงนั้น ก็ดูเหมือนจะเป็นของธรรมดาๆ แม้จะของบางอย่างที่ดูเหมือนจะมีพลังชี่โบราณพวยพุ่งออกมา แต่ก็บางเบาจนไม่สามารถทำให้จิตวิญญาณของฉีเล่ยสั่นสะท้านรุนแรงได้เหมือนก่อนหน้านี้
พ่อค้าแม่ค้าต่างก็พากันร้องตะโกนเรียกลูกค้ากันอย่างกระตือรือร้น ฉีเล่ยมั่นใจว่า แรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นกับจิตวิญญาณภายในร่างกายเมื่อครู่นั้น ต้องไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไปเองแน่
ฉีเล่ยกวาดสายตาสำรวจไปรอบตัวอีกครั้ง แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนมาเป็นหลับตานิ่ง พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าไปช้าๆ เวลานี้ จิตใจของเขาเริ่มสงบ และมีสมาธิมากขึ้น ประหนึ่งว่าบนโลกใบนี้ มีเขาอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น!
หนึ่งนาทีผ่านไป..
สองนาทีผ่านไป..
และแล้ว ความรู้สึกเช่นเดิมก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ฉีเล่ยลืมตาขึ้นในทันที และจ้องมองไปยังวัตถุสิ่งหนึ่งที่วางอยู่บนแผงร้านค้าตรงหน้า
มันคือลูกทองแดงที่มีขนาดเท่ากับเม็ดถั่ววอลนัท และพื้นผิวภายนอกมีรูปมังกรสลักไว้..
ฉีเล่ยเดินตรงไปด้านหน้า พร้อมกับเอื้อมมือออกไปหยิบลูกทองแดงนั้นขึ้นมา พร้อมกับพินิจพิจารณาอย่างละเอียด
ฉีเล่ยพบว่า มันเป็นเพียงลูกทองแดงธรรมดาๆทั่วไป เพียงแต่สิ่งที่อยู่ด้านในนั้นต่างหาก..
“พ่อค้า ลูกทองแดงนี่ราคาเท่าไหร่เหรอครับ?”
หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ฉีเล่ยก็ใช้ฝ่ามือชั่งน้ำหนักลูกทองแดง และประเมินอยู่ในใจคร่าวๆ ในขณะเดียวกันก็เอ่ยถามราคากับเจ้าของร้าน
“สิบล้านหยวน! ห้ามต่อรองราคา!”
หลังจากร้องบอกราคากับฉีเล่ยแล้ว เจ้าของร้านก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองเขา สีหน้าของพ่อค้าดูสงบราบเรียบ ราวกับเพิ่งจะบอกฉีเล่ยว่า ลูกทองแดงนั่นราคาห้าสิบหยวน!
‘สิบล้าน?!’
หากไม่ใช่เพราะฉีเล่ยสัมผัสได้ถึงความพิเศษบางอย่างของลูกทองแดงนี้แล้วล่ะก็ เขาคงจะวางมันลง แล้วก็หันหลังเดินหนีไปในทันที
“พ่อหนุ่ม! อย่าไปสนใจเลย เขาสติไม่ค่อยดี! นั่งขายลูกทองแดงราคาสิบล้านนั่นมาเจ็ดแปดปีแล้ว นี่ๆ มาดูของร้านป้าดีกว่า มีของดีๆเยอะแยะไปหมดเลย”
ป้าเจ้าของแผงที่อยู่ข้างๆ ร้องตะโกนบอกฉีเล่ย พร้อมกับโบกไม้โบกมือเรียกให้เขาไปดูของที่ร้านเธอแทน
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดฉีเล่ยก็สะกดกั้นความอยากได้ในใจ ก่อนจะวางลูกทองแดงนั้นกลับคืนไปด้วยความระล้าระลัง
ฉีเล่ยเชื่อว่า นอกจากเขาแล้ว คงจะไม่มีใครรู้ค่าของสมบัติชิ้นนี้เท่ากับเขาอีกแล้ว ไม่อย่างนั้น ผ่านมาตั้งเจ็ดแปดปีแล้ว ทำไมถึงยังขายไม่ได้อีก..
ระหว่างที่เดินออกไปนั้น ฉีเล่ยก็เฝ้าครุ่นคิดว่า จะหาเงินสิบล้านหยวนมาได้อย่างไร?
‘หยิบยืมจากหวู่เฉินเทียนงั้นเหรอ?’
แต่แล้วฉีเล่ยก็ส่ายหน้าไปมา หากเขาไปยืมเงินหวู่เฉินเทียนมาซื้อลูกทองแดงนี้ ผลที่จะเกิดขึ้นตามมา น่าจะยากเกินกว่าที่เขาจะรับไหวแน่..
‘ดูเหมือนจะมีหนทางเดียว! ฉันคงต้องหาทางไปรักษาอาการเจ็บป่วยให้กับเศรษฐีอีกสักสองสามคน เพราะนี่เป็นเพียงวิธีเดียวที่จะได้เงินมาโดยเร็วที่สุด!’
แต่แล้วจู่ๆ ฉีเล่ยก็หยุดเดินไปเฉยๆ นั่นเพราะมีใครบางคนกำลังเดินตามเขามา..
ฉีเล่ยรีบหันกลับไปมองด้านหลังทันที แต่แล้วเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่า เป็นเจ้าของร้านที่ขายลูกทองแดงนั่นเอง ที่แอบเดินตามเขามาเงียบๆ
“ผมขอคุยกับคุณสักครู่จะได้มั๊ยครับ?”
พ่อค้าคนนั้นเอ่ยถามฉีเล่ย และในมือของเขาก็ถือลูกทองแดงไว้แน่น แววตาของพ่อค้าดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้นจึงได้แต่พยักหน้า..
แต่ภายในใจของฉีเล่ยนั้นกลับรู้สึกว่า เจ้าของร้านน่าจะรับรู้ถึงคุณค่าของลูกทองแดงนี้ดี แต่น่าแปลกที่ว่า แล้วเหตุใดเขาถึงได้นำมันออกมาขายเล่า?
ผ่านไปราวสิบนาที เจ้าของร้านก็ได้เดินนำฉีเล่ยไปที่ร้านขายเครื่องเขียนทรุดโทรมแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่สุดถนนค้าของเก่าเส้นนี้..
“นายท่าน ได้โปรดช่วยชีวิตผมด้วย!”
เมื่อข้าไปภายในร้าน เจ้าของลูกทองแดงก็ได้คุกเข่าลงต่อหน้าฉีเล่ยทันที พร้อมกับอ้อนวอนขอร้อง
ฉีเล่ยตกใจเป็นอย่างมาก และรีบร้องบอกให้พ่อค้าคนนั้นลุกขึ้น แต่ดูเหมือนเขาจะเป็นคนที่ดื้อรั้นมากทีเดียว ไม่เพียงไม่ยอมลุกขึ้น แต่ยังโขกศรีษะลงกับพื้นไม่หยุดอีกด้วย ปากก็พร่ำร้องตะโกนออกไปว่า
“นายท่าน ได้โปรดรับปากช่วยผมก่อน ไม่อย่างนั้นผมจะคุกเข่าอยู่แบบนี้ ไม่ยอมลุกขึ้นอย่างเด็ดขาด!”
ฉีเล่ยไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะ หรือว่าร้องไห้ดี และได้แต่คิดในใจว่า ‘ที่นี่ไม่ใช่ร้านของฉันสักหน่อย ไม่ลุกก็อย่าลุก ฉันก็แค่หันหลังเดินออกไปเท่านั้นเอง!’
แต่ฉีเล่ยก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น..
เหตุผลก็ง่ายมาก.. เพียงแค่เขาเห็นใบหน้าของพ่อค้าคนนี้แวบแรก เขาก็รู้ได้ทันทีว่า มีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้น!
แม้แต่ฉีเล่ยเองยังรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่ตนเองเป็น..
วิชาการแพทย์ของบรรพชนสกุลเฉินผู้นี้ช่างลึกซึ้ง และล้ำเลิศอย่างมาก! ปกติแล้ว หลักการของการแพทย์แผนจีนนั้นคือต้องมอง ต้องฟัง และต้องถาม จึงจะเกิดความเข้าใจ และสามารถวินิจฉัยโรคได้
แต่บรรพชนสกุลเฉินผู้นี้ กลับชำนาญถึงขั้นที่แค่มองเห็น ก็สามารถมองออกว่า คนไข้มีอาการเจ็บป่วยอย่างไรแล้ว..
แต่ถึงอย่างนั้น กับพ่อค้าแผงลอยคนนี้ ฉีเล่ยกลับรู้เพียงแค่ว่า ร่างกายของเขามีบางอย่างที่ผิดปกติ? แต่ยังไม่รู้แน่ว่าปัญหาของเขาคืออะไร? จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง ฉีเล่ยจึงค่อยๆล่วงรู้สิ่งต่างๆ
และการที่พ่อค้าแผงลอยคุกเข่าอ้อนวอนขอร้องให้เขาช่วยอยู่นี้ ก็เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่า สิ่งที่ฉีเล่ยคาดคะเนนั้นถูกต้อง!
‘อืมม.. ดูเหมือนผู้ชายคนนี้คงจะป่วยจริงๆสินะ ฉันไม่ได้เข้าใจอะไรผิด..’
ฉีเล่ยไม่เพียงได้รับมรดกทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศของบรรพชนสกุลเฉินมาเท่านั้น แต่เขายังได้รับจรรยาบรรณของความเป็นแพทย์เข้ามาเต็มๆด้วย..
“ลุกขึ้นก่อนเร็วเข้า!”
ฉีเล่ยร้องบอกให้พ่อค้าแผงลอยลุกขึ้น พร้อมบอกกับเขาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ผมรับปากว่า ถ้าผมมีความสามารถพอที่จะช่วยคุณได้ ผมจะต้องช่วยคุณอย่างแน่นอน!”
“ขอบคุณ! ขอบคุณครับ!”
เจ้าของร้านแผงลอยยังคงโขกศรีษะคำนับขอบคุณฉีเล่ยอีกสองสามครั้ง ก่อนจะยอมลุกขึ้นยืนในที่สุด ฉีเล่ยถึงกับต้องกรอกตาไปมา เมื่อเห็นชายผู้นี้ร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลไม่หยุด
หลังจากนั้น พ่อค้าแผงลอยก็ทำการต้อนรับฉีเล่ยดังเช่นแขกผู้มีเกียรติ เขานำชาชั้นดีออกมาเสริฟให้กับชายหนุ่ม แม้แต่ฉีเล่ยเองยังอดคิดไม่ได้ว่า ร้านเล็กๆเก่าๆทรุดโทรมแบบนี้ จะมีชาชั้นเลิศซ่อนอยู่
หลังจากบอกรินชาให้ฉีเล่ยด้วยท่าทางเคารพนบนอบแล้ว ชายผู้นั้นก็ได้เล่าให้กับเขาฟังว่า ตระกูลของเขานั้น ฝึกฝนวรยุทธมาตั้งแต่บรรพชน และด้วยความเก่งกาจสามารถ บรรพชนของเขาจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหน่วยคุ้มภัย
โดยปกติ ผู้ฝึกวรยุทธที่สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนั้นได้ ไม่เพียงจะกลายเป็นผู้มีอำนาจบารมี แต่ยังจะมีฐานะร่ำรวยอีกด้วย ลูกหลานในรุ่นต่อๆมา แม้จะไม่ได้ถึงขั้นร่ำรวย แต่ก็น่าจะอยู่ในฐานะที่ไม่ขัดสนเรื่องอาหาร และข้าวของเครื่องใช้
แต่เพราะเหตุใดกวนไห่ผิงถึงได้กลายมาเป็นพ่อค้าแผงลอยจนๆ คนหนึ่งได้นะ?’
ตระกูลกวนนั้น สืบทอดกันมาหลายรุ่นนับตั้งแต่อดีต แต่ถึงอย่างนั้น พวกลูกหลานในตระกูลก็ล้วนดั่งต้องคำสาป ไม่ว่าใคร ก็ไม่อาจมีชีวิตยืนยาวเกินสี่สิบปีได้เลยแม้แต่คนเดียว!
ทุกคนในตระกูลล้วนแล้วแต่ฝึกวรยุทธทั้งสิ้น ตลอดระยะเวลาก่อนเสียชีวิตนั้น พวกเขาทุกคนจะแข็งแรง ไม่เคยเจ็บป่วย และไม่เคยได้รับอุบัติเหตุใดๆ แต่น่าแปลก ที่ทุกคนต่างก็จะเริ่มทยอยเสียชีวิตลงในวัยตั้งแต่ 37 ปีขึ้นไป และไม่เคยมีผู้ใดอายุยืนยาวมากกว่า 40 ปีเลย
กระทั่งพ่อของกวนไห่ผิงเอง ก็เสียชีวิตในวัยสามสิบเก้าเช่นกัน แต่ก่อนที่จะตายนั้น พ่อของเขาได้มอบลูกทองแดงเล็กๆนี้ให้กับเขา พร้อมกับสั่งไว้ว่า
“ไห่เผิง จำไว้ว่า ลูกจะต้องหาคนที่รู้จักลูกทองแดงนี้ให้ได้! มีเพียงคนผู้นี้เท่านั้น ที่จะสามารถแก้ไขอาการเจ็บป่วยของคนสกุลกวนได้ พ่อคงไม่โอกาสหาคนผู้นั้นพบ แต่ลูกยังมีโอกาส..”
ครั้งนั้น กวนไห่ผิงอายุเพียงแค่สิบเจ็ดปีเท่านั้น!
นับตั้งแต่นั้นมา กวนไห่ผิงก็นำทรัพย์สินทั้งหมดที่พ่อของเขาหามาได้ ออกไปขายเพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการตามหาคนผู้นั้น! เขาได้นำลูกทองแดงนี้ไปทั่วโลก แต่ก็ไม่เคยพบเจอคนที่รู้จักลูกทองแดงนี้เลยแม้แต่คนเดียว..