คัมภีร์เรียนรู้ทักษะขั้นพื้นฐานที่ได้เพิ่มมาอีกสองอันเป็นประโยชน์กับเริ่นเสี่ยวซู่มากทีเดียว เขาขวนขวายหาความรู้มาตลอด พอมีคัมภีร์พวกนี้แล้ว ก็สามารถเรียนรู้ทักษะจากผู้อื่นได้ แบบนี้ เริ่นเสี่ยวซู่จึงมองมันเฉกเช่นสมบัติล้ำค่า
ถึงจะเรียนทักษะแบบสุ่ม และเขาอาจจะได้ทักษะไร้ประโยชน์มา แต่ทักษะการใช้ปืนระดับสูงที่เขาเรียนรู้มาเรียบร้อยก็ทำเอาเขายิ้มหวานสำหรับของที่จะมาในอนาคตแล้ว
ทว่าสิ่งที่ดึงดูดให้เริ่นเสี่ยวซู่เข้ามาดูในพระราชวังไม่ใช่คัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐานสองม้วนนั่น แต่เป็นสิ่งที่พระราชวังบอกไว้ล่าสุดอย่างภารกิจรอง!
ในเมื่อมันเป็นแค่ภารกิจรอง งั้นคงไม่ใช่อะไรสำคัญหรือเป็นภารกิจที่ต้องใช้เวลามากมายหรอก
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินประโยคนั้นจากพระราชวังชัดเจนมาก ‘เพราะต้องเสียอาวุธคู่มือไป เปิด…’
ดังนั้นภารกิจนี้ต้องเกี่ยวข้องอะไรกับอาวุธสินะ?
เริ่นเสี่ยวซู่ได้ท่องไปในแดนรกร้างมานานหลายปี เขาเข้าใจดีว่าอาวุธดีๆ สำคัญขนาดไหน เหล่าหวังเคยรับมีดเหล็กกล้ามาเล่มหนึ่ง และอยากจะขายให้เริ่นเสี่ยวซู่ ทว่าแม้เขาทำงานเก็บเงินกว่าครึ่งปี ก็ยังไม่มีปัญญาซื้อมาได้อยู่ดี
สุดท้ายเหล่าหวังเลยขายมีดเล่มนั้นให้กับผู้จัดการโรงงานเคมี ผู้จัดการโรงงานมักถูกเลือกจากคนในกลุ่มผู้อพยพที่เก่งพอจะเป็นผู้นำ อีกนัยหนึ่งคือพวกเขาจะหยิบเอาคนที่พอใจกับผลประโยชน์ที่ได้รับจากการยอมรับใช้เหล่าผู้มีอำนาจในป้อมปราการ
ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่กำลังคิด ถ้าตนเองมีอาวุธดีๆ ให้ใช้จะดีขนาดไหนนะ เขาคงไม่ต้องไปนอนนิ่งอยู่ในแดนรกร้างทั้งคืนเพื่อคอยจับนกกระจอกอีก นับวันการรอจับนกยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ เป็นการทรมานสังขารตัวเองสุดๆ
ถ้าเขามีมีด คงได้ไปล่าสัตว์ป่าอย่างกระต่าย หนูนา หนูไม้ไผ่
ใช่ ตอนนี้แม้กระทั่งกระต่ายยังถือเป็นสัตว์ป่า[1]
กระต่ายในแดนรกร้างจะไม่โจมตีมนุษย์ก่อน แต่พวกมันแข็งแกร่งมาก ตัวใหญ่เท่าแข้งมนุษย์ผู้ใหญ่เชียวละ เริ่นเสี่ยวซู่เคยขุดหลุมลึกสองเมตรให้กระต่ายตกลงไป แต่พอเริ่นเสี่ยวซู่เข้าไปใกล้ เจ้ากระต่ายก็กระโดดขึ้นมาจากหลุม แล้วฟาดเท้าถีบเขากลางอากาศ ทำเอาเริ่นเสี่ยวซู่เกือบจะเกิดภาวะเลือดออกในสมองเลยทีเดียว
เริ่นเสี่ยวซู่มองไปยังแผ่นหนังในเครื่องพิมพ์ดีด [เพราะต้องเสียอาวุธคู่มือไป เปิดใช้งานภารกิจรองด้วยเงื่อนไขพิเศษ ได้รับ ‘คำขอบคุณ’ จากใจจริงจำนวนหนึ่งร้อยครั้งเพื่อปลดล็อคอาวุธใหม่ นอกจากนี้คำขอบคุณยังสามารถใช้ในการแลกเปลี่ยนสิ่งของอย่างอื่นได้ด้วย]
เริ่นเสี่ยวซู่สีหน้าเหยเก ทำไมภารกิจรองมันแปลกๆ จังล่ะเนี่ย
สะสมคำขอบคุณ แถมยังต้องได้รับมาจากใจจริงด้วย?
ให้ได้รับคำขอบคุณไม่ยากหรอก แต่จะให้ได้รับมาอย่างจริงใจนี่…
แถมยังใช้แทนค่าเงินได้อีก แล้วที่สำคัญสุดคือของอะไรบ้างที่สามารถใช้ซื้อได้
เขาอ่านแผ่นหนังต่อ ก่อนจะประหลาดใจกับคำที่พิมพ์ไว้ว่า
[ได้รับคำขอบคุณจากหลีเสี่ยวอวี้ +1]
เริ่นเสี่ยวซู่ยินดีมากที่ตนไม่ได้ช่วยพวกเนรคุณ พระราชวังย่อมตัดสินไม่ผิดพลาด
ตอนนั้นเอง เขาก็เห็นตัวอักษรที่พิมพ์ไว้อย่างสวยงามบนแผ่นหนังว่า [ปลดล็อคอาวุธ : 1/100]
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกตัวเองโชคร้ายจริงเชียว ถ้าเขาต้องรวบรวมอารมณ์ด้านลบแทนคงจะดีสุดๆ ไปเลย เขารู้วิธีที่ทำให้คนทั้งเมืองหันกลับมาโถมอารมณ์ด้านลบใส่ตนโดยไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมากเลยนะ!
อย่างไรเสียไม่ว่าพระราชวังจะสั่งอะไรมาเขาก็ต้องทำตาม ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่เฝ้ารออาวุธในอนาคตของตนเองอย่างใจจดใจจ่อ
อาวุธที่พระราชวังลึกลับให้เขามาต้องไม่ด้อยแน่
เริ่นเสี่ยวซู่พลันลืมตาขึ้น หันไปมองเหยียนลิ่วหยวน “ลิ่วหยวน พูดขอบคุณฉันหน่อย”
เหยียนลิ่วหยวนนิ่งงัน “…พี่ อย่าพูดแบบนี้ได้ไหม ทำเอาผมกลัวหน่อยๆ แล้วนะ”
“จะกลัวอะไรเล่า” เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เร็ว รีบพูดมา”
เหยียนลิ่วหยวนคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูด “ขอบคุณที่คอยดูแลผมมาตลอด”
[ได้รับคำขอบคุณจากเหยียนลิ่วหยวน +1]
เริ่นเสี่ยวซู่ยินดีสุดๆ ง่ายขนาดนี้เชียว?
“ปัดโธ่ พูดมาอีกหลายๆ รอบหน่อย” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า
เหยียนลิ่วหยวนรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “ขอบคุณ…”
รอบนี้เริ่นเสี่ยวซู่ผิดหวังนัก ดูเหมือนว่าจะได้รับคำขอบคุณซ้ำไม่ได้ อย่างไรหลักสำคัญก็อยู่ที่คำขอบคุณจากใจจริง เขาเงยหน้ามองเหยียนลิ่วหยวนอย่างไม่พอใจ “ไม่จริงใจพอ!”
“ไม่ถูก ไม่ถูก อารมณ์ไม่ถูก พูดใหม่ซิ”
“ยังไม่ได้ ต้องให้มีอารมณ์ร่วมด้วย มามา…ใช่ๆ แบบนั้นแหละ”
“เอาอีก ต้องจริงใจ…”
“เอาอีก เวลาพูดต้องใส่อารมณ์มากๆ…”
เหยียนลิ่วหยวนแทบสติแตก พูดเสียงแหบแห้ง “พี่ นี่คือพลังของพี่เหรอ ทำไมดูใช้เสียงมากขนาดนี้ล่ะ”
ตกดึกคืนนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ยืนกรานจะทดสอบระบบคำขอบคุณกับเหยียนลิ่วหยวนตลอดทั้งคืน สุดท้ายเขาก็ได้รับคำขอบคุณจากเจ้าตัวแค่แต้มเดียว
แต่เพราะมีคำขอบคุณนี้ เท่ากับว่าเขามีสองเหรียญแล้ว เหรียญนี้มีรูปหัวใจสลักอยู่ และอีกด้านสลักไว้ด้วยคำว่า ‘สำนึกในบุญคุณ ขอบคุณที่มีเธอ เคียงข้างฉันตลอดมา ทำให้ฉันมีความกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง สำนึกในบุญคุณ ขอบคุณโชคชะตา ไม่ว่าดอกไม้จะผลิบานหรือร่วงโรย ฉันก็จะทะนุถนอมเช่นเดียวกัน[2]’
เริ่นเสี่ยวซู่เลียปาก ไหลลื่นไม่ติดขัด
ทันใดนั้น ตู้แสดงในพระราชวังที่เดิมทีฝังตัวหลบอยู่ใต้หมอกทมิฬก็เกิดการเปลี่ยนแปลงบางประการ ตรงทางซ้ายของเครื่องพิมพ์ดีด หมอกทมิฬจางหายไปจากตู้แสดงหลังหนึ่ง เผยให้เห็นบางอย่างอยู่ข้างใน เป็นเครื่องหยอดเหรียญ
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไปพักใหญ่ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเครื่องแบบนี้ จึงกำลังคิดอยู่ว่ามันใช้อย่างไร โลกภายนอกในปัจจุบันไม่มีของเช่นนี้
แต่อ่านตัวอักษรบนเครื่องหยอดเหรียญออก ‘ช่องใส่เหรียญ’
ไหนๆ ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ในเมื่อมีแต่ช่องใส่เหรียญ เริ่นเสี่ยวซู่ก็คร้านจะคิดอะไรเลยใส่เหรียญลงช่องไป
กริ๊ง เหรียญสลักรูปหัวใจถูกหยอดเข้าไปในเครื่อง จากนั้นก็เกิดเสียงดังหึ่งๆ และแล้วขวดยาเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือก็กลิ้งออกมา
เริ่นเสี่ยวซู่หยิบขึ้นมาดู บนขวดมีตัวอักษรแค่คำเดียว ‘ยา’
“ไม่นะ อย่างน้อยก็ควรบอกหน่อยไหมว่าเอาไว้รักษาอะไร” เริ่นเสี่ยวซู่ลังเลอยู่พักใหญ่ พอคิดได้แล้ว ก็ลืมตาขึ้น ก่อนจะเห็นว่าขวดยาปรากฏขึ้นมาในมือตนแล้ว และพอเขาคิดอยากให้มันหายไป ขวดยาก็หายไปเลย
เหยียนลิ่วหยวนมองตาโต “พี่ พี่เล่นมายากลอยู่เหรอ!”
เริ่นเสี่ยวซู่เมินเขาไป จากนั้นก็ดึงผ้าพันแผลที่มือเผยให้เห็นแผลติดเชื้อข้างใน
เลือดคั่งรอบบาดแผลอยู่อย่างนี้มาพักใหญ่แล้ว มีน้ำเหลวใสไหลออกมาไม่หยุด เริ่นเสี่ยวซู่รู้ว่าขืนยังหายามาทาไม่ได้ ผิวต้องเป็นหนอง และอีกไม่นานเขาต้องไข้ขึ้นแน่นอน
พอเหยียนลิ่วหยวนเห็นแบบนี้ เขาก็ยืนขึ้นและเดินออกไปทันที เริ่นเสี่ยวซู่ดึงเขากลับมา “จะทำอะไร”
“ผมจะออกไปซื้อยาให้พี่ไง” เหยียนลิ่วหยวนพูดเสียงแข็ง
“ไม่ต้อง” เริ่นเสี่ยวซู่หยิบขวดยาขึ้นมา ก่อนจะใช้นิ้วชี้ควักขี้ผึ้งนิดหน่อยในนั้นออกมาทาแผลอย่างระมัดระวัง ขวดยาขี้ผึ้งนี้ไม่ได้ใหญ่อะไรเลย แถมยังขวดตื้นมาก ดูเหมือนใช้ได้สามครั้งก็หมดแล้ว
หลังจากทาเสร็จ เริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้สึกใจเสียหน่อยๆ ขวดยามีอักษรแค่ว่า ‘ยา’ ถ้ามันคือยาพิษขึ้นมาจะทำอย่างไร
แต่เรื่องที่เขากังวลนั้นก็ไม่มาถึง หลังจากทาขี้ผึ้งบนแผล เริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้สึกว่าความปวดแสบปวดร้อนที่แผลหายไป
ยาแก้อักเสบที่เสี่ยวอวี้ให้มาไม่ต้องใช้แล้ว ยาแก้อักเสบต้องกินติดต่อกันสามวัน ส่วนยาขี้ผึ้งนี้ส่งผลทันที ยาแก้อักเสบเม็ดละสองร้อย ส่วนยาขี้ผึ้งก็คงราคา…นับร้อยล้าน!
จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็หันไปมองเหยียนลิ่วหยวน เขาสั่งว่า “ช่วยฉันคิดหน่อย ต้องทำยังไงถึงจะได้รับคำขอบคุณจากคนอื่นเร็วๆ”
[1] สายพันธุ์กระต่ายส่วนใหญ่เป็นสัตว์เลี้ยง ไม่ใช่พันธุ์เป็นสัตว์ป่า
[2] บทเพลง สำนึกบุญคุณ (感恩的心) ขับร้องโดยโอวหยางเฟยเฟย (欧阳菲菲) สำนวนแปลโดย สมัญญา