เล่ม 1 ตอนที่ 8 ช่างมีความพยายามเสียจริง!

ราชินีพลิกสวรรค์

กำแพงสีชาดประดับประดาไปด้วยกระเบื้องเคลือบวาววับ 

 

 

ตระกูลลู่ที่สืบทอดอำนาจมานับร้อยปีในเมืองซูหนานที่เจริญรุ่งเรืองแห่งนี้ จุดนี้ใครๆ ต่างก็ทราบกันดี ทว่าเมื่อได้ลองเข้าใกล้ตระกูลมั่งคั่งนี้เข้าจริงๆ จะรู้สึกว่าช่างน่าประหวั่นนัก 

 

 

กำแพงล้อมรอบทอดยาวทำให้ที่แห่งนี้ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ประตูใหญ่สูงตระหง่าน กั้นรั้วราวสลับเสาหยก คิ้วประตูข้างบนติดแผ่นป้ายคำขวัญเคลือบทองคำเปลว ฐานบันไดหยกหินและทางเดินเชื่อมตรงสู่จวนตระกูลลู่ ด้านหน้าก็จะเห็นป้ายพระราชทานเกียรติยศ สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้ตระกูลลู่มีสถานะสูงส่งน่าเลื่อมใสในเมืองซูหนาน 

 

 

เย่ว์หนานซียืนอยู่ตรงหน้าประตูจวนตระกูลลู่ แหงนหน้ามองประตูสูงใหญ่ สูดหายใจเข้าลึกๆ มือที่ซ่อนอยู่ภายใต้แขนเสื้อบีบแน่นเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว 

 

 

สักวันหนึ่ง เขาจะทำให้ตระกูลเย่ว์ขึ้นเป็นใหญ่เช่นนี้บ้าง! ในดวงตาคมคู่นั้นเกิดประกายไฟแผดเผา  

 

 

มารดาของเจียงอวี๋ก็มองไปที่ประตูใหญ่ของจวนตระกูลลู่เช่นกัน ภายในใจตื่นตระหนกมากกว่าเย่ว์หนานซีเสียอีก 

 

 

อำนาจบารมีของตระกูลลู่ แม้กระทั่งตระกูลอื่นที่มีชื่อเสียงเกียรติยศก็คงมิเทียบเท่าความสูงส่งนี้ได้ จึงทำให้ใครหลายคนรู้สึกว่าตนเองนั้นช่างเกิดมาต่ำต้อย 

 

 

ถ้าหากใกล้ชิดตีสนิทคนในตระกูลนี้ได้เล่า ลูกสาวของนางจะโชคดีแค่ไหน เหอซื่อแอบนึกอิจฉาในใจ แน่นอนว่าลูกสาวของนางไม่มีทางมีสถานะเป็นเพียงแค่ทาสรับใช้ในตระกูลนี้เด็ดขาด 

 

 

แม้จะรู้ดีแก่ใจ แต่เหอซื่อก็ยังอดคิดอิจฉาในวาสนาของเจียงหลีไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าต่างก็เป็นคุณหนูจากตระกูลขุนนางเหมือนกัน ขนาดชีวิตพลิกผันกลายไปเป็นทาสชั้นต่ำ คนในตระกูลลู่ยังชายตามองนาง ทั้งยังพาตัวนางกลับมาด้วย 

 

 

นางเก็บซ่อนความอิจฉาริษยาไว้ในใจ จากนั้นเหอซื่อจึงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว 

 

 

“หยุดอยู่ตรงนั้น” 

 

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงทมึนตึงดังข้ามผ่านธรณีประตูที่ปิดสนิท เหอซื่อสะดุ้งตกใจหยุดอยู่กับที่ไม่กล้าแม้แต่จะขยับ 

 

 

“เสียง…เสียงมาจากที่ใดกัน” นางเหอซื่อตกใจหน้าซีดเผือก สั่นเทิ้มไปทั่วทั้งกาย แววตาหวาดหวั่นมองไปทางลูกสาวและว่าที่ลูกเขย 

 

 

เจียงอวี๋สีหน้าไม่สู้ดีเช่นกัน ถอยหลังไปอยู่ข้างๆ เย่ว์หนานซี นางหวาดผวาราวกับลูกนก 

 

 

ขณะนี้เย่ว์หนานซีเองก็มิอาจต้านรับได้ เสียงที่เพิ่งได้ยินไปเมื่อสักครู่ รับรู้ได้ถึงแรงกดดันในน้ำเสียงทรงพลังของผู้มีศิลปะการต่อสู้ชั้นสูง สะเทือนขวัญเสียจนเนตรญาณของเขาเจ็บปวดรวดร้าวไปหมด 

 

 

คนผู้นี้เป็นจอมยุทธ์อย่างแน่นอน 

 

 

ช่างแข็งแกร่งนัก! 

 

 

เย่ว์หนานซีหรี่ตามองไปที่ประตูจวนตระกูลลู่ แววตาเจือเติมความแรงกล้าไปอีกหลายส่วน 

 

 

เขายกแขนขึ้นเอาชายแขนเสื้อออกจากมือของเจียงอวี๋ ก่อนจะประสานมือคำนับด้วยน้ำเสียงแสดงถึงความเคารพนับถือ “ข้าน้อยคือเย่ว์หนานซีจากตระกูลเย่ว์ มาเพื่อคารวะตระกูลลู่ ท่านผู้อาวุโสได้โปรดกรุณาข้าน้อยด้วยเถิด” 

 

 

“มีธุระอันใด” เสียงนั้นเอ่ยขึ้นอีกครั้ง 

 

 

แม้เย่ว์หนานซีจะกล่าวแนะนำตนไปแล้ว แต่น้ำเสียงนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด 

 

 

เหอซื่อก็สัมผัสได้เช่นกัน จึงทำให้หวั่นใจมากขึ้น 

 

 

เย่ว์หนานซีกลับไม่รู้สึกอะไร ผู้แข็งแกร่งกว่าย่อมมีคนเคารพยำเกรง คนผู้นี้แข็งแกร่งกว่าเขานัก เป็นธรรมดาที่จะมีท่าทางยโสโอหัง “ขอบคุณผู้อาวุโสอย่างยิ่ง คืออย่างนี้ขอรับ หนานซีมีลูกพี่ลูกน้องห่างๆ อยู่คนหนึ่ง เหตุเพราะครอบครัวที่เคยรุ่งเรื่องกลับตกอับ จำเป็นต้องกลายมาเป็นทาส พวกเราตามหามาตลอดทางกลับได้ข่าวว่านางถูกนายน้อยลู่นำตัวกลับมาด้วย ให้ทำเยี่ยงไรจึงจะหาคำตอบได้ พวกเราจึงได้แต่โยนหินถามทางมาเรื่อยๆ ขอรับ” 

 

 

รู้ทั้งรู้ว่าเจียงหลีถูกเหอซื่อส่งไปขายเป็นทาส แต่เมื่อเย่ว์หนานซีสาธยายออกมาเช่นนี้ทำให้เปลี่ยนความรู้สึกของผู้ฟังได้ 

 

 

เจียงอวี๋ก้มหน้าก้มตาไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา นางใจเต้นตึกตักกลัวว่าจอมยุทธ์ผู้นี้จะจับได้ว่าเย่ว์หนานซีกำลังปั้นเรื่องโกหก แต่เหอซื่อกลับไม่รู้สึกประหลาดใจเท่าใด อีกทั้งยังแอบคิดว่าเย่ว์หนานซีเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง 

 

 

“ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ไม่มีทาสคนใหม่เข้ามาที่จวน พวกเจ้ากลับไปเสียเถอะ” เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งเสียงนั้นถึงตอบกลับมาอีกครั้ง ดูเหมือนว่าได้รับการยืนยันจากคนในจวนก่อนที่จะให้คำตอบกลับมา 

 

 

ไม่มีอย่างนั้นหรือ เย่ว์หนานซีขมวดคิ้วมุ่น 

 

 

จะไม่มีได้อย่างไร ข่าวที่ตระกูลเย่ว์ไปสืบมาคงไม่ใช่ข่าวเท็จหรอกกระมัง 

 

 

“ขอบคุณผู้อาวุโส ข้าน้อยขอลาก่อน” เย่ว์หนานซีลองคิดดูอีกทีจึงตัดสินใจกลับไปก่อน 

 

 

“หนานซี ทำไมเจ้าถอดใจกลับไปเยี่ยงนี้เล่า” เหอซื่อถามด้วยไม่พอใจ 

 

 

เย่ว์หนานซีกวาดสายตามองนางครั้งหนึ่งก่อนจะก้าวเดินออกไป 

 

 

“ท่านพี่หนานซีรอข้าด้วย” เมื่อเจียงอวี๋เห็นท่าไม่ดีจึงรีบวิ่งตามออกไปเช่นกัน 

 

 

เมื่อเดินมาไกลสักระยะหนึ่ง เย่ว์หนานซีจึงคลายความสงสัย “คนในตระกูลลู่ไม่มีทางโกหกเพื่อทาสรับใช้คนเดียวหรอก ดูท่าทางแล้ว หลังจากที่เจียงหลีถูกนำตัวไปพวกเขาไม่ได้พามาที่จวนตระกูลลู่” อย่างไรเสียคนก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ แล้วเหตุใดเขาจะต้องดิ้นรนเร้าหรือต่อไปด้วย ให้ไปขายขี้หน้าต่อหน้าจอมยุทธ์ในจวนอย่างนั้นหรือ 

 

 

เพียงแค่ยามเฝ้าประตูคนหนึ่งถึงกับให้จอมยุทธ์ที่เขาเองก็ยากที่จะต่อกรมาเฝ้าคุ้มกัน ตระกูลลู่ไม่ธรรมดาจริงๆ 

 

 

ในก้นบึ้งจิตใจของเย่ว์หนานซีเกิดความบ้าคลั่งไม่น้อย ถึงแม้วันนี้จะไม่บรรลุจุดประสงค์ แต่กลับทำให้เขาจุดประกายความไม่ยอมแพ้ในใจขึ้น 

 

 

“พวกเราจะกลับไปทั้งอย่างนี้หรือ” เหอซื่อยังคงเซ้าซี้ถามต่อ 

 

 

เย่ว์หนานซีหยุดเดิน มองไปยังถนนและตัวเมืองที่เจริญคึกคัก ที่นี่ห่างจากจวนตระกูลลู่เพียงหนึ่งร้อยจั้ง แต่ทว่าช่างเหมือนโลกสองใบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ความน่าเกรงขามของตระกูลลู่ คงไม่มีผู้ใดกล้าไปแส่หาเรื่อง! 

 

 

“ตรงนั้นมีโรงเตี๊ยมอยู่แห่งหนึ่ง ถนนสายนี้เป็นเส้นทางเดียวที่ไปกลับตระกูลลู่ได้ ถ้าหากยังไม่ถอดใจไปเสียก่อน ก็รออยู่ที่นี่” เย่ว์หนานซีตอบ 

 

 

ดวงตาของเหอซื่อประกายวับรีบพยักหน้าทันที หากนางไม่ได้เห็นเจียงหลีกับตา นางจะไม่ยอมถอดใจไปเด็ดขาด “พวกเราไปโรงเตี๊ยมกันเถอะ” 

 

 

“พวกท่านไปกันเถอะ ข้าไม่ไปแล้ว” เย่ว์หนานซีกลับปฏิเสธ 

 

 

“ท่านพี่หนานซีไม่ไปกับพวกเราเพื่อที่จะรอน้องอาหลีด้วยกันหรอกหรือ” เจียงหลีร้อนรนถาม 

 

 

แววตาคาดหวังของนางทำให้เย่ว์หนานซีเกิดความหวั่นไหว หญิงงามไม่อาจละทิ้ง แต่ทว่า เมื่อนึกถึงเหตุการณ์วันนี้แล้วแม้กระทั่งผู้คุ้มกันประตูจวนตระกูลลู่เขาฝ่าเข้าไปแทบตายก็ยังไม่สำเร็จ ดวงตาสั่นคลอนของเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวเด็ดเดี่ยว “ข้าไม่ไปแล้ว แต่จะหาคนมาดูแลพวกท่านให้ หากมาถึงแล้วให้เขากลับมาบอกข้าอีกที งานประลองชิงเจียวใกล้เข้ามาถึงแล้ว หากยังไม่เร่งรีบฝึกซ้อม เราจะได้รับความโปรดปรานจากตระกูลลู่ที่มีอำนาจล้นฟ้าได้เยี่ยงไร” 

 

 

คำพูดของเย่ว์หนานซีทำให้เจียงอวี๋เผยรอยยิ้มออกมาได้ นางยิ้มไม่หุบทั้งยังพูดให้กำลังใจอีกต่างหาก “อืม ท่านพี่หนานซีรีบไปเถอะเจ้าค่ะ ตั้งใจฝึกซ้อม ข้าเชื่อว่าท่านพี่ทำสำเร็จได้แน่นอน” 

 

 

เย่ว์หนานซีพยักหน้าหงึกหงัก พาสองแม่ลูกไปส่งยังหน้าโรงเตี๊ยมก่อนจะหันหลังแล้วเดินจากไป 

 

 

เจียงอวี๋มองเงาหลังของเย่ว์หนานซีด้วยท่าทีหลงใหล โดยไม่ทันได้สังเกตสีหน้าของมารดาที่เปลี่ยนไป 

 

 

… 

 

 

ทว่าเรื่องราวเหล่านี้ เจียงหลีที่อยู่บนหุบเขากลับไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ ทั้งสิ้น 

 

 

นางถูกลู่เจี้ยกักตัวไว้สามวันเต็มแล้ว 

 

 

ในสามวันนี้ ลู่เจี้ยที่เอาแต่พูดกรอกหูว่าจะให้นางเป็นคนอารักขากลับหายเข้ากลีบเมฆ อีกทั้งยังไม่มีข่าวคราวอะไรกลับมา และนางก็ยังถูกขังให้อยู่แต่ในห้องนั้น ขณะที่รอแล้วรอเล่าจนเบื่อ นางก็ไม่ลืมศึกษาร่างใหม่นี่ด้วย 

 

 

เจียงหลีใช้เวลาสามวันในการใช้วิชามวยพื้นฐานเพื่อให้จิตวิญญาณและร่างกายรวมกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์ 

 

 

เช้าตรู่วันนี้ เจียงหลีพึ่งฝึกหมัดมวยในห้องจบไปหนึ่งกระบวนท่า เลือดพล่านไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย ความร้อนระบายออกมาทางผิวหนังจากภายในสู่ภายนอกจนรู้สึกถึงเหงื่อที่ไหลออกมาท่วมกาย 

 

 

เมื่อเช็ดเหงื่อจนแห้งดีแล้ว ประตูห้องของเจียงหลีก็ถูกเปิดดันเข้ามา 

 

 

ผู้ที่เข้ามาก็ยังคงเป็นสาวรับใช้สองนางนั้นเช่นเคย 

 

 

พวกนางมองมาที่เจียงหลีโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ เพียงพูดแค่ว่า “เก็บของให้เรียบร้อย แล้วไปกับพวกเรา” 

 

 

เจียงหลีรีบตามพวกนางออกไปเสียแต่โดยดี หลังจากนั้นนางถึงรู้ว่าไม่ได้พาไปพบลู่เจี้ย แต่กลับเดินตามคนกลุ่มใหญ่ลงจากเขาและกลับเข้าไปในเมืองด้วยกัน 

 

 

และเมื่อเจียงหลียืนรวมอยู่กับกลุ่มสาวรับใช้ ตามหลังรถม้าของลู่เจี้ยไปก็เจอถนนสายหลักสายนั้น เจียงอวี๋และผู้เป็นมารดาที่เฝ้ารอตรงนี้มาสามวันสองคืนก็เห็นนางอยู่ปะปนอยู่ในกลุ่มคนด้วย