ณ เรือนฟังอี๋ของหวังซื่อ เยี่ยอิ๋งซบอยู่กับอกของหวังซื่อ ร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร หวังซื่อโบกมือให้สาวใช้ในห้องหลบออกไป นางกอดบุตรสาวแนบอกด้วยความปวดใจ “อิ๋งเอ๋อร์ ลูกเป็นอันใดไป เพิ่งแต่งงานได้ไม่เท่าไร เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ หรือว่าท่านอ๋องรังแกอะไรลูก”  

 

 

เยี่ยอิ๋งเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าที่ทั้งรักทั้งเป็นห่วงของท่านแม่ ยิ่งร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจหนักขึ้น “ฮือๆ…ท่านแม่ อิ๋งเอ๋อร์เป็นทุกข์นัก…” 

 

 

           “ลูกเป็นอันใดกันแน่ หรือหลีอ๋องรังแกลูกจริงๆ คนดี ไม่ต้องกลัวไปนะ ประเดี๋ยวพวกเราไปบอกท่านพ่อของเจ้ากัน ท่านพ่อรักลูกที่สุด ต้องช่วยลูกออกหน้าเป็นแน่” หวังซื่อรีบเอ่ยปลอบ 

 

 

           “เยี่ยอิ๋งเช็ดน้ำตาพร้อมกล่าวว่า “ท่านพ่อจะช่วยอันใดได้ ท่านจะกล้าทำอันใดตำหนักหลีอ๋องหรือ คราแรกที่ตำหนักหลีอ๋องนำของมาหมั้นแบบส่งๆ ท่านยังไม่ว่าอันใดสักคำ! ท่านพ่อไม่ได้รักลูกหรอก” 

 

 

           หวังซื่อไม่รู้จะพูดเช่นใดดี ที่ว่าของหมั้นจากตำหนักหลีอ๋องน้อยไปนั้นก็เมื่อนำมาเปรียบกับของตำหนักติ้งอ๋องที่เตรียมมาอย่างยิ่งใหญ่นั่นต่างหาก ของหมั้นที่เสียนเจาไท่เฟยเป็นคนตระเตรียมด้วยตนเองถึงอย่างไรก็มิอาจทำให้ตำหนักหลีอ๋องเสียหน้าได้ อีกอย่าง ยามนั้นเยี่ยอิ๋งเองก็ดูพอใจดี เพียงนางเห็นว่าตำหนักติ้งอ๋องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ถึงขนาดไปเชิญฮว่ากั๋วกงกับท่านผู้อาวุโสซูมาเป็นผู้ใหญ่หมั้นหมายให้ เยี่ยอิ๋งจึงรู้สึกว่าตนเสียหน้าที่สู้เยี่ยหลีไม่ได้ก็เท่านั้น 

 

 

           ถึงแม้ในใจหวังซื่อเองก็รู้สึกไม่สบายใจเท่าไร แต่ก็ยังรู้ว่าอะไรสมควรไม่สมควร จึงได้แต่ลูบหลังเยี่ยอิ๋งที่กำลังร่ำไห้สะอึกสะอื้นเบาๆ  

 

 

“เด็กโง่ เรื่องนี้จะโทษท่านพ่อเจ้าได้อย่างไร ของหมั้นจากตำหนักหลีอ๋องไม่ได้มีอันใดไม่เหมาะสม เจ้าเองก็รู้ดีมิใช่หรือ ต่อให้มีอันใดไม่เหมาะสมจริง ท่านพ่อกับท่านย่าของเจ้าจะปล่อยให้เจ้าออกเรือนไปทั้งอย่างนั้นได้อย่างไร เพียงแต่ฤกษ์แต่งงานของนังเด็กเยี่ยหลีนั่นกำหนดไว้หลังเจ้า ตำหนักติ้งอ๋องก็ต้องรักษาหน้าด้วยการจัดของหมั้นให้นางมากกว่าของเจ้าหน่อยเท่านั้น เจ้าลองคิดดูดีๆ สิ นอกจากของหมั้นพวกนั้นแล้วนางมีอะไรอีก หลีอ๋องเป็นพระอนุชาร่วมอุทรของฮ่องเต้ เก่งกาจทั้งด้านบุ๋นและบู๊ รูปร่างหน้าตาก็ไม่เป็นสองรองใครในเมืองหลวง ส่วนติ้งอ๋องนั้นทุกวันนี้ก็เป็นเพียงท่านอ๋องที่อยู่ว่างๆ ไร้ทั้งอำนาจและบารมี แล้วยังต้องนั่งเก้าอี้รถเข็น หนำซ้ำใบหน้าก็เสียโฉม ไม่ว่าด้านใดเจ้าก็ดีกว่านางทั้งนั้นมิใช่หรือ” 

 

 

           เยี่ยอิ๋งกัดปากอมชมพูดของตนอย่างน่าสงสาร ก่อนกล่าวเสียงเบาว่า “แต่ว่า…ในตำหนักของท่านอ๋องมีอนุอยู่แล้วตั้งหลายคนนะเจ้าคะ” 

 

 

           หวังซื่ออึ้งไป รีบเปลี่ยนเป็นยิ้มก่อนกอดเยี่ยหลีแนบออก “เด็กโง่ ในเรือนบุรุษคนใดบ้างที่ไม่มีสตรีหลายคน เจ้าต้องจำไว้ว่าเจ้าต่างหากคือชายาเอกแห่งหลีอ๋อง เจ้าดูสิ ตระกูลพวกเราเองก็มีสตรีอยู่หลายคนเหมือนกัน แล้วเป็นอย่างไร ก็ถูกแม่จัดการจนอยู่ในโอวาทแม่กันหมดมิใช่หรือ มา เจ้าเล่าให้แม่ฟังดีกว่าว่า หลายวันมานี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” 

 

 

           เมื่อพูดถึงชีวิตข้าวใหม่ปลามันของเยี่ยหลี จะใช้คำว่าน่าสงสารก็คงอธิบายออกมาได้ไม่หมด ในวันเสกสมรส เจ้าบ่าวมารับตัวช้ากว่าฤกษ์มงคล ในระหว่างพิธีเจ้าบ่าวเป็นลมไปอีกก็ยังไม่เท่าไร หลังจากม่อจิ่งหลีเป็นลมไปและถูกพาตัวเข้าห้องหอแล้ว ก็ได้เชิญหมอหลวงมาดูอาการและจัดการให้ดื่มยา ทว่าก็ยังไม่ฟื้น  

 

 

           เจ้าสาวหมาดๆ อย่างเยี่ยอิ๋งจำต้องเปิดผ้าคลุมหน้าออกด้วยตนเอง อย่าว่าแต่ร่วมหอเลย แม้แต่เวลาพักผ่อนสักเล็กน้อยก็ยังไม่มี ต้องรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งหน้าแต่งตัวออกไปทำความเคารพเสียนเจาไท่เฟย  

 

 

เสียนเจาไท่เฟยไม่ชอบสะใภ้คนนี้เป็นทุนเดิม ยิ่งเห็นเยี่ยอิ๋งแต่งหน้ามาหนา แต่ก็ยังมิอาจบดบังสีหน้าไม่พอใจของตนไว้ได้ เยี่ยอิ๋งจึงถูกต่อว่าทันที เริ่มตั้งแต่วิจารณ์การแต่งเนื้อแต่งตัว กิริยามารยาททุกอย่างอย่างไม่มีชิ้นดี และที่ทำให้นางทนไม่ได้ที่สุดคือคนที่เสียนเจาไท่เฟยนำมาเปรียบกับนางก็คือคนที่เยี่ยอิ๋งเกลียดที่สุดอย่างเยี่ยหลี  

 

 

จากเดิมที่เยี่ยอิ๋งมั่นใจในตนเองเต็มที่ เมื่อได้ฟังเสียนเจาไท่เฟยพูดถึงเยี่ยหลีว่าวันวานนางมีกิริยาท่าทางงามสง่าเพียงใด ส่วนเยี่ยอิ๋งนั้นไม่ระวังกิริยาและสะเพร่าเพียงใด เยี่ยหลีพูดจามีหลักการ ส่วนเยี่ยอิ๋งนั้นไม่รู้จักอะไรสมควรไม่สมควร ในที่สุดเยี่ยอิ๋งทนไม่ได้และเถียงกลับไป ทำให้เสียนเจาไท่เฟยโกรธจนลมแทบออกหู เมื่อนางนำน้ำชามาคารวะก็ให้นางคุกเข่าอยู่อย่างนั้นนานกว่าครึ่งเค่อ[1] จนสุดท้ายม่อจิ่งหลีรอจนทนไม่ได้จึงให้เยี่ยอิ๋งลุกขึ้น  

 

 

หากเป็นเยี่ยหลีแล้ว คงได้พูดกับเยี่ยอิ๋งว่า เด็กน้อยผู้น่าสงสาร เจ้าตกหลุมพรางของเสียนเจาไท่เฟยเสียแล้ว นางตั้งใจข่มเหงเจ้าต่างหาก เสียนเจาไท่เฟยอยู่ในวังมาหลายสิบปีประหนึ่งเป็นปลาในน้ำ จะโกรธง่ายเช่นนั้นได้อย่างไร ดูก็รู้ว่านางจับจุดอ่อนของเยี่ยอิ๋งได้และจี้ได้ถูกจุด จึงถือโอกาสทำให้เยี่ยอิ๋งโกรธ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือตั้งใจสำแดงอิทธิฤทธิ์ให้นางเห็น 

 

 

           หากเรื่องโชคร้ายของนางจบลงเพียงเท่านี้ เยี่ยอิ๋งคงไม่อะไรเท่าไร เพียงแต่นางทนปรนนิบัติเสียนเจาไท่เฟยกินอาหารเช้าเสร็จและกลับเรือนของตนแล้ว กลับต้องมาพบกับหญิงสาวสี่ห้าคนที่แต่งกายสวยสดงดงาม ทั้งหน้าตาจิ้มลิ้มกันทุกคนกำลังยืนรอตนอยู่ เยี่ยอิ๋งก็แทบจะกระอักเลือดออกมาเสียให้ได้  

 

 

เยี่ยอิ๋งไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ม่อจิ่งหลีมีอนุก่อนแต่งงานแล้วถึงห้าคน แล้วนางยังมิอาจจัดการใดๆ กับอนุเหล่านี้ได้ ด้วยกว่าถ้าพวกนางมิใช่คนที่เสียนเจาไท่เฟยประทานก็เป็นคนที่ไทเฮาประทาน ไม่เป็นบุตรสาวสายหลักของข้าราชการชั้นผู้น้อย ก็เป็นบุตรสาวสายรองของข้าราชการระดับสูง  

 

 

เยี่ยอิ๋งคิดถึงถ้อยคำที่ท่านย่าสั่งสอนตนอยู่ตลอดเวลา จึงใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการข่มอารมณ์โกรธของตนลงแล้วรับการคารวะจากหญิงสาวเหล่านั้น ครั้นกลับเข้าห้อง สิ่งที่รอนางอยู่มิใช่สามีที่แสนอ่อนโยน แต่กลับเป็นหัวหน้าพ่อบ้านและเหล่าพ่อบ้านที่ถือสมุดบัญชีเล่มหนายืนรออยู่  

 

 

เยี่ยอิ๋งเป็นสตรีมากความสามารถด้านดนตรี หมากล้อม เขียนอักษร และวาดภาพก็จริง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางจะเชี่ยวชาญด้านการจัดการและบัญชีของครัวเรือน นางเคยนึกรังเกียจธรรมเนียมโบราณเหล่านี้ที่ทำลายความสง่างามของตน ทว่าสีหน้าขมวดคิ้วพร้อมเบ้ปากของคนดูแลเรื่องราวในตำหนักของเสียนเจาไท่เฟยที่มองนางนั้น ทำให้นางรู้สึกว่าตนโง่เป็นครั้งแรก  

 

 

สองวันให้หลังที่นางยังไม่ทันเข้าใจบัญชีที่ดูจะไม่มีวันจบสิ้นได้อย่างละเอียด เสียนเจาไท่เฟยกลับบอกนางอย่างเลือดเย็นว่า อีกหน่อยนางไม่ต้องยุ่งเรื่องบัญชีพวกนี้แล้ว เยี่ยอิ๋งโล่งใจเป็นที่สุด ทว่าก็รู้ดีว่านางได้สูญเสียอำนาจในการจัดการเรื่องภายในตำหนักหลีอ๋องแล้ว 

 

 

           เมื่อได้ยินเยี่ยอิ๋งเล่าจบ สีหน้าหวังซื่อดูไม่ดีเอาเสียเลย หากเยี่ยอิ๋งไม่มีอำนาจจัดการตำหนักหลีอ๋อง เช่นนั้นตำแหน่งชายาหลีอ๋องก็เป็นเพียงตำแหน่งลอยๆ เท่านั้น เป็นครั้งแรกที่หวังซื่อรู้สึกผิดหวังที่ตนรักและตามใจบุตรสาวคนนี้มากเกินไป หากตนสั่งสอนนางให้มากหน่อยตั้งแต่แรก นางคงไม่เจอปัญหาเช่นนี้ แต่ที่หวังซื่อไม่เข้าใจก็คือ สำหรับเสียนเจาไท่เฟยแล้ว ไม่ว่าจะอบรมสั่งสอนมากน้อยเพียงใด หรือต่อให้เป็นนางไปด้วยตนเองก็ไม่เป็นผล เพราะเยี่ยอิ๋งไม่ได้ถูกวางตัวไว้ให้มีอำนาจอย่างที่ประมุขหญิงแห่งตำหนักอ๋องสมควรมีแต่แรกแล้ว  

 

 

           “เช่นนั้น…หลีอ๋องว่าอย่างไรบ้าง” หวังซื่อดึงมือเยี่ยอิ๋งพลางเอ่ยถาม 

 

 

           เยี่ยอิ๋งปาดน้ำตา “ท่านอ๋องบอกว่าไท่เฟยสงสารที่ลูกอายุยังน้อยจึงช่วยลูกจัดการเรื่องในตำหนักไปก่อน รออีกสองปีเมื่อมีบุตรแล้ว และข้าได้เรียนรู้จนพอใช้ได้แล้วค่อยส่งต่อให้ลูกดูแลก็ยังไม่สายเจ้าค่ะ” 

 

 

           นัยน์ตาหวังซื่อเป็นประกายทันที “ถูกแล้ว เด็กน้อย ท่านอ๋องพูดถูกแล้ว อิ๋งเอ๋อร์ ลูกสมควรมีบุตรชายสายหลักคนโตให้ท่านอ๋องตามที่ท่านว่า ลูกต้องจำไว้ว่า ต้องเป็นบุตรชายสายหลักคนโตเท่านั้น อย่าให้สตรีพวกนั้นคลอดสายเลือดของท่านอ๋องได้ก่อนเจ้าเป็นอันขาด”  

 

 

เยี่ยอิ๋งตกใจ มองหวังซื่อด้วยความลังเล หวังซื่อจึงกล่าวเสียงเบาว่า “เด็กดี เจ้าไม่ต้องกลัวไป แม่จะบอกเจ้าเองว่าต้องทำอย่างไร เจ้าเป็นชายาเอกของหลีอ๋อง การคลอดบุตรชายสายหลักให้ท่านอ๋องเป็นเรื่องที่ถูกที่ควรอยู่แล้ว ฉะนั้นสตรีเหล่านั้นจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะตั้งครรภ์ก่อนเจ้า เข้าใจหรือไม่” เมื่อเห็นความเลือดเย็นในแววตาของหวังซื่อ ทำให้เยี่ยอิ๋งพยักหน้ารับอย่างรวดเร็วทันที หวังซื่อจึงค่อยยิ้มออกมาด้วยความพอใจ ดึงเยี่ยอิ๋งให้นั่งลงก่อนอธิบายให้นางฟัง 

 

 

           สองแม่ลูกคนหนึ่งสอน คนหนึ่งฟัง ขณะที่กำลังพูดคุยกันอย่างออกรสอยู่นั้น สาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าประตูก็เข้ามารายงานว่านายท่านมาแล้ว 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] หนึ่งเค่อ เท่ากับสิบห้านาที