ภาคที่ 1 ตอนที่ 8 เมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด

มรรคาสู่สวรรค์

ตอนที่ 8 เมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด Ink Stone_Fantasy

เสียงชาเสียงลม แต่ละเสียงลอยเข้าหู

ลูกศิษย์หลายคนสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวทางด้านหลัง ต่างคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก

อาจารย์หลี่ว์มองเห็นความเคลื่อนไหวทางด้านหลัง สองคิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย คล้ายรู้สึกมิพอใจ นิ้วมือขวาที่ไพล่อยู่ด้านหลังดีดออกมาเบาๆ

ชิ้ง!

เสียงกระบี่อันเยือกเย็นสายหนึ่งดังสะท้อนไปมาด้านหน้าหอกระบี่

เหล่าลูกศิษย์ใจสั่นเล็กน้อย สติพลันฟื้นคืน ก่อนจะรีบหันหน้ากลับมา

บริเวณพื้นที่ราบริมผาเงียบสงัด กระทั่งเสียงนกร้องบนต้นไม้เองก็หายไปจนหมด

สายตาอาจารย์หลี่ว์กวาดมองดูเหล่าศิษย์ ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่จิ๋งจิ่วและหลิ่วสือซุ่ยเป็นเวลาครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงไปหยุดอยู่ที่หมู่ยอดเขาสามสี่ยอดที่อยู่ไกลออกไป

“ทุกคนตั้งใจหน่อย ข้าหาได้สนใจไม่ว่าความสามารถ พรสวรรค์แลสติปัญญาของพวกเจ้าเป็นอย่างไร ทุกคนต้องพยายามบรรลุขั้นมีกฎเกณฑ์ให้ได้ในสามเดือน เช่นนี้จึงจะมีหวังบรรลุขั้นรักษาจิตจนบริบูรณ์ได้ในสามปี จากนั้นถึงจะมีโอกาสถูกรับเป็นศิษย์ในสำนัก กลายเป็นศิษย์ชิงซานที่แท้จริง สิ่งที่สำนักเราฝึกฝนคือวิถีกระบี่สวรรค์ สิ่งที่เน้นหนักคือรวดเร็วเด็ดขาด การบำเพ็ญเพียรในช่วงเริ่มต้นมิยากเข็ญ แม้นเป็นคนโง่เขลาเพียงใด ขอเพียงทุ่มเทเวลา แรงกายแลแรงใจฝึกฝน สักวันจักบรรลุได้อย่างแน่นอน ทว่าหนทางสู่สวรรค์ยาวไกลเท่าไร? การเดินไปบนเส้นทางนั้นยิ่งไกลจักยิ่งลำบาก ยอดเขายิ่งสูงยิ่งอันตราย ระยะทางเพียงไม่กี่ร้อยจ้างในตอนท้ายกลับยากลำบากดั่งปีนป่ายขึ้นฟ้า ฉะนั้นหากภายในสามปีพวกเจ้ามิสามารถเข้าเป็นศิษย์ในสำนักได้ เช่นนั้นหนทางสู่สวรรค์เส้นนี้ พวกเจ้าจะมิเดินต่อก็ช่าง”

เขารู้สึกทอดถอนใจขึ้นมาเล็กน้อย คำพูดที่พูดให้เหล่าลูกศิษย์ฟังนี้ คือสิ่งที่เขาได้ประสบพบเจอมาด้วยตนเอง

บัดนี้เขาบรรลุถึงขั้นสมความนึกคิด สามารถขี่กระบี่บินไปไหนมาไหนได้อย่างใจนึก สังหารคนในสิบก้าว โลหิตมิกระเซ็นแปดเปื้อนอาภรณ์ สำหรับคนทั่วไปบนโลกแล้ว เขาเป็นเหมือนดั่งเซียนกระบี่ หากอยู่ในคฤหาสน์ของเหล่าเสนาบดีของราชวงศ์ในเมืองเจาเกอ เขาจะต้องได้รับการเคารพยกย่องแลปรนนิบัติเป็นอย่างดีแน่

แต่ที่สำนักชิงซาน เขาไม่อาจเข้าไปสู่สภาวะมิประจักษ์ได้ อายุขัยก็จะมีจำกัด ยิ่งไม่ต้องหวังจะบรรลุสภาวะใหญ่ๆ ที่เหลือหลังจากนี้ แล้วก็ย่อมไม่มีทางกลายเป็นคนที่สำนักให้ความสำคัญแน่

ก็เหมือนในตอนนี้ เขาได้แต่ต้องมาสอนเหล่าศิษย์นอกสำนักที่มิรู้เรื่องรู้ราวอะไรเหล่านี้ที่ศาลาหนานซง แม้นสำหรับสำนักแล้ว นี่จะเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งก็ตาม ทว่า….

เสียงที่ฟังดูเยาว์วัยเสียงหนึ่งดึงอาจารย์หลี่ว์กลับมาจากภวังค์

“อาจารย์เซียน หากพวกเราบำเพ็ญเพียรได้ราบรื่น เช่นนั้นก็จะมีโอกาสได้เข้าร่วมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน[1]หลังจากนี้อีกสามปีหรือไม่?”

มิรู้ว่าลูกศิษย์เด็กชายที่พูดคนนี้ไปได้ยินเรื่องบางเรื่องของสำนักชิงซานมาจากไหน ถึงได้รู้ว่าสำหรับลูกศิษย์หนุ่มสาวแล้ว การชุมนุมเฉิงเจี้ยนคือการทดสอบที่สำคัญที่สุด

อาจารย์หลี่ว์งุนงงเล็กน้อย จากนั้นจึงยิ้มขึ้นมา เขาหาได้ตอบคำถามไม่ สำหรับเขาแล้ว การที่ลูกศิษย์ในวัยนี้ถามปัญหานี้ มันช่างไร้เดียงสาเสียจริงๆ

ค่อยๆ มีเสียงพูดคุยแลเสียงหัวร่อเบาๆ ดังขึ้นมา เพื่อนศิษย์คนอื่นช่วยอธิบายให้ฟัง ลูกศิษย์เด็กชายผู้นั้นถึงได้รู้ว่าที่แท้มีแต่ศิษย์ที่บรรลุขั้นตั้งมั่นจนบริบูรณ์ จึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนได้

ถัดจากมีกฎเกณฑ์คือรักษาจิต นี่คือสภาวะขั้นเริ่มต้น จากนั้นคือปัญญาเห็นแจ้ง แล้วจึงเป็นตั้งมั่น….

ศิษย์นอกสำนักที่เพิ่งเข้าสำนักมา ยังห่างจากสภาวะตั้งมั่นอยู่ถึงสี่ขั้น

“คิดจะบรรลุขั้นตั้งมั่นจนบริบูรณ์ในเวลาสองปี?”

มีลูกศิษย์กล่าวเยาะเย้ยว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นอัจฉริยะเหมือนอย่างศิษย์พี่เจ้างั้นหรือ?”

“ข้าหวังว่าเจ้าจะตามล่าเยวี่ยทัน”

เสียงๆ หนึ่งดังขึ้นมา ทำเอาทุกคนตกตะลึง

ทว่าไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะเย้ยอีกฝ่าย

เพราะคนที่กล่าวคืออาจารย์หลี่ว์

แต่คนที่อาจารย์หลี่ว์พูดด้วย หาได้ใช่ลูกศิษย์ที่คิดอยากจะเข้าร่วมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนคนนั้นไม่

เมื่อมองตามสายตาอาจารย์หลี่ว์ไป เหล่าลูกศิษย์ก็มองไปยังด้านหลังแถว ก่อนจะไปหยุดที่ตัวคนๆ หนึ่ง

หลิ่วสือซุ่ยงุนงงไปครู่ก่อนจะได้สติขึ้นมา เขาชี้ตัวเองพลางกล่าว “ท่านหมายถึงข้าหรือ?”

อาจารย์หลี่ว์กล่าว “ถูกต้อง ข้าหวังว่าเจ้าจะกลายเป็นความตกตะลึงอีกครั้งหนึ่งของยอดเขาทั้งเก้าของชิงซาน”

……

……

เหล่าศิษย์นอกสำนักสลายตัว บางคนท่องเคล็ดการบำเพ็ญเพียรขั้นต้นที่ถืออยู่ในมือไม่หยุด บางคนยืนเหม่อมองแสงอาทิตย์อยู่ท่ามกลางหมู่ไม้ แบ่งแยกออกเป็นกลุ่มๆ อย่างชัดเจน

หลังศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้เข้ามาสู่สำนักชิงซาน ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ได้เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง เวลานี้พวกเขายังแบ่งกลุ่มตามถิ่นกำเนิดและสถานะบนโลกอยู่ แต่หลังจากนี้คงต้องมาดูกันที่สภาวะการบำเพ็ญเพียรของแต่ละคน

ทว่าวันนี้มีอะไรบางอย่างที่แตกต่างไปจากทุกที ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ที่เกิดในตระกูลร่ำรวยหรือเด็กที่มาจากครอบครัวที่ยากจน ต่างมองไปยังที่ๆ หนึ่ง

แม้แต่ลูกศิษย์ที่กำลังตั้งใจท่องหนังสือหรือเหม่อมองแสงอาทิตย์ ก็ยังคอยเหลือบมองไปทางด้านนั้นอยู่ตลอดเวลา

ตรงที่ๆ จิ๋งจิ่วแลหลิ่วสือซุ่ยยืนอยู่

บางคนมองดูจิ๋งจิ่ว แต่หลายคนกำลังมองดูหลิ่วสือซุ่ย ไม่มีผู้ใดที่จะลืมคำพูดก่อนที่อาจารย์หลี่ว์จะเดินจากไปประโยคนั้น

ใครบ้างที่จะคิดถึงลูกศิษย์ที่อาจารย์เซียนให้ความสำคัญที่สุด มิใช่บุรุษหนุ่มชุดขาวที่มีรูปโฉมงดงามผู้นั้น หากแต่เป็นเด็กชายที่ดูเหมือนคนรับใช้ของเขา

เด็กชายผู้นั้นมีอะไรวิเศษกันแน่?

เด็กหนุ่มที่เยาะเย้ยเพื่อนร่วมสำนักก่อนหน้านี้นามเซวียหย่งเกอ เขาเป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่โตในจังหวัดอวี้โจว ในตระกูลของเขามีปรมาจารย์อาผู้หนึ่งบำเพ็ญพรตอยู่ที่ยอดเขาซื่อเยวี่ยซึ่งเป็นยอดเขาที่หก ตอนนี้เขากำลังสอบถามในเรื่องนี้อยู่

ไม่นานนักก็มีข่าวที่ได้รับการยืนยันส่งกลับมา

เด็กชายคนนี้คือเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด!

สายตาที่เหล่าลูกศิษย์มองไปทางหลิ่วสือซุ่ยเต็มไปด้วยความตะลึงลาน

แต่สิ่งที่แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้คือนอกจากความตกตะลึงแล้ว พวกเขามิได้แสดงสีหน้าริษยาอีก แม้แต่สีหน้าอิจฉาก็หามีไม่

ความแตกต่างระหว่างพวกเขากับอีกฝ่ายมีมากเกินไป เรียกได้ว่าอยู่กันคนละระดับชั้น อิจฉาไปแล้วมีประโยชน์อันใด?

สำนักชิงซานมีลูกศิษย์อัจฉริยะที่มีพรสวรรค์โดดเด่นจำนวนนับไม่ถ้วน ทว่าในหลายปีมานี้มีเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดปรากฏขึ้นมากี่คน?

นอกจากศิษย์พี่เจ้าผู้นั้นแล้ว ก็มีเพียงศิษย์พี่จัวแห่งยอดเขาเทียนกวงที่ท่านเจ้าสำนักรับไว้เป็นศิษย์ก้นกุฏิผู้นั้น!

แล้วตอนนี้ในหมู่พวกเขามีคนแบบนี้ปรากฏตัวขึ้นมา จะไม่ให้พวกเขาตกตะลึงได้อย่างไร?

เซวียหย่งเกอผู้นั้นทราบข่าวเร็วที่สุด จึงตื่นขึ้นมาจากความตกตะลึงเร็วที่สุด เขามิได้สนใจศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นที่ยังคงมีสีหน้าเลอะเลือนเหล่านั้น หากแต่เดินเข้าไปยืนตรงหน้าหลิ่วสือซุ่ย ใบหน้าเผยรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยน

“ศิษย์น้องหลิ่ว พวกเราทุกคนต่างจะมีบ้านพักให้ได้ใช้พักผ่อน เจ้าคิดจะเลือกตรงไหนหรือ? หากมิกังวลว่าจะรำคาญเสียงลำธารในเวลากลางคืน แถวแรกหลังที่สี่นับเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว อยู่ไม่ไกลจากหอกระบี่ สามารถขอคำชี้แนะจากอาจารย์เซียนได้บ่อยๆ อีกทั้งด้านนอกบ้านพักยังมีดอกเจิ้งหยางปลูกไว้ด้วย ดอกไม้ส่งกลิ่นหอม สวยงามแลเงียบสงบ ส่งผลให้จิตใจนิ่งสงบ เป็นประโยชน์ต่อการฝึกของพวกเราทีเดียว”

ลูกศิษย์บางคนตามไม่ทัน ภายในใจครุ่นคิดศิษย์พี่เซวียที่ปกติหยิ่งยโสเย็นชา เหตุใดวันนี้ถึงได้ดูเป็นมิตรเพียงนี้? ลูกศิษย์บางคนฝืนยิ้มแห้งๆ ออกมา ภายในใจครุ่นคิดศิษย์พี่เซวียตอบสนองได้รวดเร็วเสียจริง ไม่มีผู้ใดรู้ว่าดอกเจิ้งหยางนั้นส่งผลดีต่อการบำเพ็ญพรตได้จริงหรือไม่ แต่ถ้าสามารถได้อยู่ใกล้ชิดกับเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดผู้นั้น นั่นจะต้องเป็นประโยชน์ต่อการบำเพ็ญพรตของเขาอย่างแน่นอน

เซวียหย่งเกอมิได้รับคำตอบจากหลิ่วสือซุ่ย เนื่องเพราะหลิ่วสือซุ่ยทราบว่าจิ๋งจิ่วไม่มีทางเลือกที่พักตรงนี้แน่

หลิ่วสือซุ่ยส่งยิ้มขอบคุณให้เซวียหย่งเกอ จากนั้นแบกสัมภาระเดินไปทางหอกระบี่ แล้วขอป้ายประตูบ้านพักสองหลังตรงภูเขาด้านหลังจากผู้ดูแล

เมื่อมองดูบุรุษชุดขาวและเด็กชายที่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดเดินลึกเข้าไปในทางเดิน เหล่าลูกศิษย์พากันตกใจจนพูดไม่ออก

เซวียหย่งเกอส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ กล่าวว่า “ช่างแปลกประหลาดเสียจริง”

เมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดมาเป็นคนรับใช้ให้คนอื่น ผู้ใดไม่คิดว่ามันประหลาดบ้าง?

เสียงพูดคุยด้านหน้าหอกระบี่ดังขึ้นมา ในนั้นย่อมต้องมีคนหัวเราะเยาะจิ๋งจิ่วอยู่เป็นแน่

เด็กผู้หญิงเหล่านั้นมีได้สนใจเรื่องเหล่านี้ หากแต่มองไปยังทางเดินนั้น

เด็กหญิงคนหนึ่งกล่าวเสียงเบาๆ ขึ้นมาว่า “คุณชายจิ๋งจิ่วผู้นั้น….ช่างรูปงามเสียจริง”

เด็กหญิงอีกคนกล่าวขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าเขาเป็นคนเจาเกอ มิรู้ว่าเป็นคุณชายจากบ้านไหนกัน”

……

……

ตรงส่วนลึกของทางเดิน ในป่าที่อยู่ห่างจากลำธารมีบ้านพักอยู่ติดกันสองหลัง

แสงอาทิตย์ถูกพุ่มไม้บดบังไว้ ภายในบริเวณบ้านพักมองเห็นได้อย่างชัดเจน

ประตูด้านหน้าถูกเปิดออก หลิ่วสือซุ่ยวางสัมภาระลงพลางกวาดตามองดูรอบๆ ก่อนจะปัดม้าหินตัวหนึ่งจนสะอาด จากนั้นเตรียมเก็บกวาด

“ไฉนเจ้าถึงรู้ว่าข้าไม่ชื่นชอบกลิ่นดอกเจิ้งหยาง?”

จิ๋งจิ่วนั่งลงบนม้าหิน พลางมองดูเขาอย่างสนใจ

ในเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ เขาพูดคุยกับหลิ่วสือซุ่ยไม่น้อย ทว่าอารมณ์เช่นนี้กลับน้อยครั้งนักที่จะได้เห็น

“ข้าไม่ทราบหรอก แต่ศิษย์พี่…ผู้นั้นบอกว่าบ้านพักอยู่ติดลำธาร”

หลิ่วสือซุ่ยกล่าวว่า “เสียงลำธารดังขนาดนั้น คุณชายชื่นชอบการนอน จะยอมอยู่ที่นั่นได้อย่างไร”

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “นั่นสิ ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท”

ภายในสวนเงียบสงบยิ่งนัก บ้านพักดูคล้ายกระท่อม แต่ความจริงแล้วด้านในคือถ้ำหิน ภายในบ้านสะอาดสะอ้าน เรียกได้ว่าไม่มีฝุ่นจับแม้แต่นิดเดียว

หากปกติไม่มีศิษย์มาพักอาศัย ความสะอาดเช่นนี้คงจะอยู่อย่างนี้ไปตลอด

เรื่องที่หลิ่วสือซุ่ยต้องทำมีไม่มาก งานปูเตียงพับผ้าห่มถูกจัดการเสร็จอย่างรวดเร็ว เขายกผลไม้ที่ผู้ดูแลแบ่งให้ก่อนหน้านี้เข้ามาในบ้านถาดหนึ่ง ก่อนจะวางลงบนโต๊ะหินหน้าจิ๋งจิ่ว

ครั้นเห็นสีหน้าไม่สบายใจบนใบหน้าเด็กชาย จิ๋งจิ่วพลันกล่าว “กลับไปที่พักของเจ้าเถอะ ถ้าอยากอ่านหนังสือเล่มนั้นก็ตั้งใจอ่านให้ดี”

หลิ่วสือซุ่ยเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าแดงเรื่อเล็กน้อย “ข้ามิใช่ว่าร้อนใจอยากรีบกลับไปอ่านเคล็ดการฝึกเล่มนั้น”

จิ๋งจิ่วรู้ว่าเป็นเพราะเขาได้ยินคำพูดเยาะเย้ยของเหล่าลูกศิษย์คนอื่น ถึงได้รู้สึกไม่สบายใจเช่นนี้ จึ่งยิ้มเล็กน้อย มิกล่าวกระไร

……

……

ลมภูเขาพัดโชย หยาดน้ำค้างสีขาวหยดลงมา

จิ๋งจิ่วจ้องมองผนังถ้ำด้านใน ความรู้สึกทอดถอนใจค่อยๆ เอ่อขึ้นมา สิ่งของยังคงเหมือนเดิม แต่คนไม่อยู่แล้ว เพียงแต่มันผ่านมานานเท่าไรแล้ว?

เขานั่งลงข้างหน้าต่าง พลิกเปิดหนังสือเล่มบางที่อยู่ในมือเล่มนั้น

เคล็ดการฝึกขั้นต้นของสำนักชิงซาน

ง่ายมาก ทั้งยังคุ้นเคยเป็นอย่างดี เมื่อเทียบกับกาลก่อนแล้วมีอยู่สองจุดเล็กๆ ที่เปลี่ยนไป

การเปลี่ยนแปลงสองจุดนี้ค่อนข้างน่าสนใจ แต่เขาก็ดูได้ไม่นานเท่าไร

ดวงตาจิ๋งจิ่วค่อยๆ หลับลง

เคล็ดการฝึกขั้นต้นเล่มนั้นวางอยู่บนขา

สายลมไหลเข้ามาในถ้ำ ค่อยๆ พัดโชยเสื้อผ้าเขาอย่างแผ่วเบา พัดจนหน้าหนังสือพลิกเปิดอย่างรวดเร็ว ประเดี๋ยวเปิดไปข้างหน้า ประเดี๋ยวเปิดไปข้างหลัง

หน้าหนังสือพลิกเปิดอย่างรวดเร็ว ตัวหนังสือมองดูไม่ชัดเจน มีเพียงรูปคนเล็กๆ ที่วาดอยู่บนหน้าหนังสือที่ขยับเขยื้อนมิหยุด

คนเล็กๆ คนนั้นประเดี๋ยวยืนม้าด้วยท่าทางแปลกๆ ประเดี๋ยวยืนตรงเหมือนต้นสน หลายๆ ครั้งปล่อยหมัดออกมาชุดหนึ่ง ดูดุดันและขยันขันแข็งยิ่งนัก

ทว่าจิ๋งจิ่วกลับนอนหลับไปแล้ว

……

……

ในตอนที่เขาตื่นขึ้นมา อาทิตย์ยามเย็นได้คล้อยตกไปยังด้านล่างหมู่ยอดเขา ท้องฟ้าบางส่วนยังคงมีสีแดงราวกับชาดทาปากหลงเหลืออยู่ บนพื้นราบริมผาที่อยู่ไม่ไกลตกอยู่ในความมืดจนมองอะไรไม่เห็น

เสียงเปิดประตูดังขึ้น หลิ่วสือซุ่ยผลักประตูบ้านวิ่งเข้ามา พลางตะโกนอย่างตื่นเต้นด้วยใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ “คุณ คุณ คุณ คุณชาย!”

จิ๋งจิ่วนึกถึงความทรงจำเมื่อหลายปีก่อนเหล่านั้นขึ้นมา พลางกล่าวเตือนเขาว่า “ต่อไปอย่าตะโกนเรียกคนอยู่ด้านนอกอย่างนี้อีก จะถูกตีเอาได้”

หลิ่วสือซุ่ยยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดเหงื่อบนใบหน้าพลางผงกหัวติดต่อกัน เขาคล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับพูดไม่ออก สีหน้าดูร้อนใจยิ่งนัก

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เข้าใจแล้วหรือ?”

หลิ่วสือซุ่ยพลันคุกเข่าลงตรงหน้าเขา ก่อนจะโขกศีรษะไปบนพื้น

……………………………………………………………………..

[1] งานชุมนุมเฉิงเจี้ยน หมายถึง งานชุมนุมสืบทอดกระบี่