บทที่ 7 เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

บทที่ 7 เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ Ink Stone_Fantasy

“แม่ น้อง พี่กลับมาแล้ว!” เย่เทียนเฉินผลักประตูเดินเข้าไปพลางตะโกนเสียงดัง

“แม่ แม่ได้ยินไหม พี่กลับมาแล้ว พี่ชายกลับมาแล้ว!”

เย่เฉี่ยนเหวินทนไม่ไหวรีบลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งตรงไปยังประตู หลัวเยี่ยนก็รีบตามออกไป เดิมทีคิดว่าลูกชายจะไม่ได้กลับมาแล้ว เวลานี้ได้ยินเสียงลูกชายของตน คนเป็นแม่ที่ไหนจะไม่ดีใจ

“พี่ชาย พี่ชาย!”

ไม่ทันไรเย่เทียนเฉินก็ถูกเย่เฉี่ยนเหวินกอดแน่น อดไม่ได้ที่จะหัวเราะพลางส่ายหัว ตั้งแต่เด็กเด็กสาวคนนี้ก็เป็นเช่นนี้ ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกซาบซึ้งใจ นี่เป็นความรักเป็นความสัมพันธ์ที่เข้มข้นเหนือสิ่งอื่น เขาในสมัยก่อนนั้น ไม่ว่าเขาจะทำตัวเหลวไหลอย่างไรก็ยังคงรักน้องสาวคนนี้ อีกทั้งตัวเขาในตอนนี้ได้สาบานอยู่ในใจนานแล้วว่าจะปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามี

“เทียนเฉิน ลูกกลับมาแล้วจริงๆ!” หลัวเยี่ยนเห็นว่าลูกชายของคนกลับมาอย่างปลอดภัย ก็อดไม่ได้ที่จะตาแดงขึ้นมา

“แม่ แม่เป็นอะไรไปครับ ร้องไห้ทำไม ลูกชายกลับมาบ้านก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว มาให้ผมกอดหน่อย” เย่เทียนเฉินกล่าวยิ้มๆพลางเข้าไปกอดผู้เป็นแม่

ความจริงเย่เทียนเฉินทราบว่าเป็นเพราะเรื่องของตนเองในสมัยก่อนทำให้ตระกูลเย่ไม่ได้มีความสามัคคีกันในหมู่สมาชิก พ่อของเย่เทียนเฉินเป็นลูกชายคนที่สาม แต่เดิมก็ไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของท่านปู่อยู่แล้ว รวมกับที่ตนเองกระทำผิดต่อตระกูลหลิ่ว ทำให้ตระกูลเย่ต้องตกอยู่ในวิกฤต ตอนนี้ยังมาถูกตระกูลฉีขอถอนหมั้น คาดว่าท่านปู่ ลุงใหญ่ และลุงสอง ทั้งสามคงคาดโทษคุณพ่อที่ทำให้เสียหน้าอีกครั้ง

พ่อของเย่เทียนเฉินเป็นรองนายกเทศมนตรีของเมืองh ตำแหน่งไม่ถือว่าใหญ่โตอะไร แต่ก็ยังพอไปได้ ผ่านการต่อสู้ชิงตำแหน่งมาหลายปีขนาดนี้ก็ทำให้มีประสบการณ์มากมาย แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถปืนขึ้นไปตำแหน่งสูงๆได้ ประการแรก หลังจากที่ตระกูลเย่แยกตัวออกมาจากท่านปู่ก็ไม่มีอำนาจ ทำเรื่องอะไรก็ไม่มีหน้ามีตา ประการที่สอง ตระกูลเย่ผิดใจกับตระกูลหลิ่วซึ่งเป็นตระกูลชั้นหนึ่งในจิงตู อำนาจของตระกูลหลิ่วยิ่งใหญ่กว่าตระกูลเย่มาก ไม่ว่าใครก็ไม่อยากจะผิดใจกับตระกูลหลิ่วเพราะตระกูลเย่

ดังนั้น เย่เทียนเฉินอยากจะชดใช้หนี้ที่ตนก่อไว้กับครอบครัวในหลายปีมานี้ และไม่อยากให้พ่อแม่และน้องสาวของตนมีช่วงเวลาที่ไม่สบายใจแต่ตนเองกลับมีรอยยิ้มเต็มหน้าอยู่เสมอ

“ลูก ไหนมาให้แม่ดูหน่อย ให้แม่ดูหน่อยสิ ได้รับบาดเจ็บมารึเปล่า ผอมลงรึเปล่า?” หลัวเยี่ยนมองเย่เทียนเฉินด้วยความตื่นเต้นกังวลพลางกล่าวถามเย่เทียนเฉิน

“แม่ ผมไม่เป็นไรครับ พวกเราไปกันเถอะ!” เย่เทียนเฉินไหล่ผู้เป็นแม่เบาๆพลางกล่าวออกมา

“พี่ พวกเราจะไปไหนกันเหรอ?”  เย่เฉี่ยนเหวินถามอย่างสงสัย

“ใช่ๆ พวกเราจะไปไหนกัน?” หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่กล่าวถาม พลางมองเย่เทียนเฉินแปลกๆ

เย่เทียนเฉินมองของสาวกับแม่ครู่หนึ่ง นำกระเป๋าเป้ทหารโยนไว้บนโซฟา กล่าวยิ้มๆว่า “ผมขอประกาศว่าผมปลดประจำการอย่างเป็นทางการแล้ว จากนี้ก็จะตั้งใจอยู่เป็นเพื่อนแม่กับน้อง ตอนนี้พวกเราไปบ้านเดิมตระกูลเย่กัน”

ได้ยินว่าตนปลดประจำการแล้ว ในใจหลัวเยี่ยนก็ยังรู้สึกดีใจ เริ่มแรกลูกชายยืนยันว่าจะไปเป็นทหารให้ได้ เธอก็ไม่เห็นด้วย รวมกับเกือบจะเกิดอุบัติเหตุ ในใจของเธอก็ยิ่งไม่สบายใจ ตอนนี้ลูกชายปลดประจำการด้วยตัวเอง นี่เป็นเรื่องดี จะได้ลดความกังวลใจตลอดวันลงได้

“พี่ชาย ย้ายก็ย้าย อย่างมากพวกเราก็แค่ไม่ได้อยู่ในจิงตู ย้ายกันไปทั้งครอบครัว อยู่กันอย่างสบายอกสบายใจ” เย่เฉี่ยนเหวินกล่าวออกมาด้วยใบหน้าบึ้งตึงด้วยกลัวว่าพี่ชายจะไม่สบายใจ

“เทียนฉิน เรื่องตระกูลฉี มีพ่อของเธอไปจัดการให้ก็พอแล้ว พวกเราไม่ต้องไปยุ่งหรอก หิวแล้วใช่ไหม เดี๋ยวแม่ทำบะหมี่ไข่ไก่ที่ลูกชอบที่สุดให้กิน” หลัวเยี่ยนเองก็หยุดร้องไห้แล้วกล่าวออกมา

“แม่ ยังไงเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของผม ผมอยากจะไปจัดการเอง” เย่เทียนเฉินพูดออกมาอย่างจริงจัง

ได้เห็นเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกชายมีความเข้มขรึมจริงจังเช่นนี้ หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ตั้งแต่เล็กจนโต เย่เทียนเฉินไม่มีวิชาความรู้ พอเกิดเรื่องขึ้นก็จะให้พ่อแม่ไปจัดการ ไม่เคยมีท่าทีเช่นวันนี้ ลุกขึ้นยืนอย่างกล้าหาญ บอกว่าจะแก้ไขด้วยตัวเอง

หลัวเยี่ยนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เขย่งเท้าเอามือสัมผัสหน้าผากลูกชาย ถามอย่างสงสัยว่า “ลูก ลูกไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“พี่ พี่เป็นไรไป?” เย่เฉี่ยนเหวินเองก็พูดออกมาพลางมองพี่ชายแปลกๆ

เย่เทียนเฉินอับจนคำพูด ตนเองเมื่อก่อนเสเพล ตอนนี้ไม่ง่ายเลยที่จะเปลี่ยนแปลง เติบโตสมชายคราหนึ่ง แม่กับน้องสาวมองเขาราวกับมองมนุษย์ต่างดาว เหมือนกับพวกเขาไม่เชื่อว่าตัวเองจะสามารถเปลี่ยนมาเป็นปกติเช่นนี้ได้

“ไปเถอะ ไปบ้านเดิมตระกูลเย่ เรื่องของผม ผมจะจัดการเอง” เย่เทียนเฉินสองมือจูงน้องสาวและแม่เดินมุ่งหน้าออกไปจากบ้าน

“ลูก ลูก….”

“แม่ ยี่สิบปีแล้ว ลูกชายไม่ได้ทำให้พวกแม่สบายใจเลย ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ผมจะรับผิดชอบครอบครัวเอง” เย่เทียนเฉินพูดขัดแม่

เย่เฉี่ยนเหวินกับหลัวเยี่ยนตะลึงงัน พวกเธอคิดไม่ถึงเลย ในสายตาของพวกเธอ พี่ชายที่เสเพล ลูกชายที่ไม่เอาถ่าน เติบโตขึ้นมาแล้วจริงๆ รู้เรื่องอะไรควรไม่ควรแล้ว หลัวเยี่ยนเกือบจะร้องไห้ออกมา แต่เมื่อมองใบหน้าของลูกชายที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มก็พยายามอดทนไว้ ลูกชายรู้เรื่องรู้ราวขึ้นมาเป็นเรื่องที่เธอดีใจที่สุด

ระหว่างทางไปบ้านเดิมตระกูลเย่ ไม่ง่ายเลยที่เย่เทียนเฉินที่ใช้เหตุผลต่างๆนาๆมารับมือกับน้องสาวและแม่อย่างลวกๆ มิฉะนั้นพวกเธอจะตามถามอยู่ตลอด ทั้งเรื่องตอนที่ตนเองอยู่ในกองทัพและยังมีเรื่องความเปลี่ยนแปลงของตนเองอีก

ถึงบ้านเดิมตระกูลเย่แล้ว เย่เทียนเฉินพาน้องสาวและแม่ผลักประตูใหญ่ของบ้านเดิมแล้วเดินเข้าไปด้วยกัน ภายในบ้านตระกูลเดิม มีเย่หงพ่อของเย่เทียนเฉิน เย่หย่วนซานปู่ของเขา ลุงใหญ่เย่มู่ไป๋ ลุงสองเย่เห่อกั๋ว และมีอีกคนหนึ่งที่เย่เทียนเฉินไม่รู้จัก แต่ดูจากการที่คนๆนั้นพูดคุยกับเย่หย่วนซานอย่างร่างเริงแล้ว ฐานะของคนๆนี้คงจะไม่ต่ำต้อย

“พ่อ!” เย่เทียนเฉินตะโกนเรียกเย่หง พลางเดินตรงเข้าไปโดยที่ไม่มองคนอื่นเลยสักนิด

เย่หงเห็นว่าเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกกลับมาแล้ว ก็รู้สึกยินดี ดูแล้วลูกชายของตนเองจะไม่เป็นอะไร ขอแค่ปลอดภัยก็ดีแล้ว แต่คงไม่ดีนักที่จะแสดงท่าทีตื่นเต้นยินดีต่อหน้าแขก เกรงว่าจะทำให้ตระกูลเย่เสียมารยาทได้

แต่ปู่ของเย่เทียนเฉิน ลุงใหญ่ ลุงสอง พบว่าเย่เทียนเฉินรอดกลับมา ต่างก็รู้สึกตกใจ เพราะจากข่าวที่ได้ยินมา พวกเขาออกไปปฏิบัติภารกิจของทหารหน่วยรบพิเศษ ถูกลอบโจมตี ไม่มีหวังจะรอดกลับมา และเป็นเพราะเหตุนี้ ตระกูลเย่ที่อยากจะยกเลิกการหมั้นอยู่แต่แรกแล้วก็รีบมาถึงประตู กลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้น

“เทียนเฉินกลับมาแล้ว งั้นก็ดีเหลือเกิน ผู้อาวุโสเย่ ต้องขออภัยจริงๆ การยกเลิกการหมั้นหมายในครั้งนี้เป็นพวกเราตระกูลเย่ที่ไม่ดีเอง แต่อับจนหนทางจริงๆ หรูเสวี่ยของพวกเราหัวแข็งดื้อรั้น ถูกผมตามใจจนเสียคน หวังว่าผู้อาวุโสจะเข้าใจ”

คนที่เปิดปากพูดนั้นกำลังนั่งอยู่บนที่นั่งวีไอพีของห้องรับแขกใหญ่ เขาคือคนจากตระกูลฉี ฉีชางเซิ่ง ตระกูลฉีเป็นตระกูลชั้นสองในจิงตู แต่เดิมก็ไม่สามารถแต่งงานกับตระกูลชั้นสามอย่างตระกูลเย่ได้ แต่หลังจากมีการเจรจาของผู้อาวุโสตระกูลเย่และผู้อาวุโสตระกูลฉีหลายครั้ง จึงได้มีมติเป็นเอกฉันท์ ต้องการพันธมิตรที่แข็งแกร่ง

แต่หลังจากที่เกิดเรื่องเย่เทียนเฉินแอบดูหลิ่วหรูเหมยคุณหนูใหญ่จากตระกูลชั้นหนึ่งของจิงตูอาบน้ำ ตระกูลฉีก็มาขอถอนหมั้นหลายครั้ง ต่างก็ถูกผู้อาวุโสตระกูลเย่เกลี้ยกล่อมว่าเป็นเพียงการเข้าใจผิด ผู้อาวุโสตระกูลเย่นั้นไม่มีอำนาจแล้ว แต่ก็ไม่อยากเห็นตระกูลเย่เสื่อมลง ดังนั้นจึงอยากอาศัยการเป็นพันธมิตรกับตระกูลฉีมาทำให้ตระกูลรุ่งโรจน์ขึ้นบ้าง ใครจะรู้ว่าครั้งนี้ฉีชางเซิ่งจะมาขอถอนหมั้นด้วยตัวเองถึงประตู ยากที่จะปฏิเสธ

แต่ก่อนที่ฉีชางเซิ่งจะมา  ก็ได้รับคำแนะนำจากพ่อมาแล้ว ตระกูลเย่แม้ว่าจะตกต่ำ ไม่มีผู้มีอำนาจในมือ แต่จะอย่างไรปีนี้เป็นปีที่ดีของผู้อาวุโสตระกูลเย่ เย่หย่วนซาน อีกทั้งยังเป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาทางสังคม ในเมืองจิงตูที่เป็นสถานที่รวมตัวของเหล่าเสือเหล่ามังกรไว้ข้างใน หากสามารถไม่ล่วงเกินใครได้ ก็อย่าไปล่วงเกิน หาคำพูดเหมาะสมเพื่อถอนหมั้นก็โอเคแล้ว ดังนั้นคำพูดที่ตระกูลฉีนำมาใช้ก็คือ ชีวิตความเป็นความตายของเย่เทียนเฉินนั้นไม่แน่นอน ฉีหรูเสวี่ยกลัวที่จะแต่งงานด้วย และมีคนที่พึงใจอยู่แล้ว จึงรอไม่ไหว ดังนั้นจึงอยากที่จะถอนหมั้น

เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินกลับมาแล้ว คนปลิ้นปล้อนเช่นฉีชางเซิ่ง แน่นอนว่าสามารถโยนคำแก้ตัวทิ้งไปในทันที ยกเรื่องลูกสาวมีคนรักอยู่แล้วขึ้นมาพูดใหม่

“ผู้ว่าการฉี ครึ่งปีที่แล้วตระกูลฉีกับตระกูลเย่เกี่ยวดองกัน แม้แต่ของหมั้นหมายก็แลกเปลี่ยนกันเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ตระกูลฉีอยากจะเปลี่ยนใจ เห็นตระกูลเย่ของพวกเราเป็นอะไร?”

“พี่เย่อย่าได้โกรธไป เรื่องแบบนี้มันบังคับกันไม่ได้ คุณชายตระกูลฉิน ฉินเหิงกับหรูเสวี่ยของตระกูลเราเกิดรักแรกพบ ดังนั้น….ต้องขอให้ผู้อาวุโสเย่เข้าใจด้วย การแต่งงานของหนุ่มสาว คนเป็นพ่อแม่อย่างพวกเราไม่สามารถบีบบังคับได้หรอก” ฉีชางเซิ่งยิ้มออกมาอย่างเสแสร้งพลางกล่าวออกมา

หลัวเยี่ยนแม่ของเย่เทียนเฉินได้ยินคำกล่าวของฉีชางเซิ่งก็โกรธมาก เห็นได้ชัดว่านี่เป็นข้ออ้างของตระกูลฉี ว่ากันตามตรงก็คือวันนี้ดูถูกตระกูลเย่ อยากจะถอนหมั้น อะไรคือการแต่งงานของหนุ่มสาวพ่อแม่บีบบังคับไม่ได้ ในจิงตูท่ามกลางตระกูลใหญ่เหล่านี้ การแต่งงานของบุตรธิดาหลายครั้งเป็นการแต่งงานทางการเมือง เพื่อให้ทั้งสองตระกูลสามารถร่วมมือกัน เติบโตขึ้นไปอีกขั้น หลายครั้งที่บุตรธิดาเหล่านี้ไม่ได้เป็นผู้เลือก

เมื่อเห็นว่าหลัวเยี่ยนภรรยาของตนอยากจะเข้าไปโต้แย้ง เย่หงก็รีบลุกขึ้นยืน เขาไม่อยากให้ภรรยาเข้ามายุ่ง เดิมทีเพราะเรื่องตระกูลหลิ่ว ท่านพ่อ พี่ใหญ่ พี่รอง ทั้งสามต่างก็ไม่สบายใจกับครอบครัวของเขามากแล้ว ตอนนี้ถ้าภรรยาโวยวายขึ้นมาอีก ก็ยิ่งตำหนิตนเองมากขึ้น อีกทั้งเขาไม่อยากให้ภรรยาต้องพบกับความอยุติธรรมอีกด้วย

“ผู้ว่าการฉี….”

“พี่เย่ เรื่องนี้จริงๆแล้วก็เป็นความผิดของตระกูลฉีของเรา ดังนั้นเพื่อเป็นการชดเชย อีกหนึ่งปีเลขานุการคณะกรรมการของเมืองh เลขาฯหยางจะเกษียณ ถึงตอนนั้นตำแหน่งนี้ พวกเราจะพยายามเพื่อให้พี่เย่ได้ไป” ฉีชางเซิ่งไม่รอให้เย่หงพูดก็รีบเปิดปากพูดออกมาก่อน

เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ของฮีชางเซิ่ง ผู้อาวุโสตระกูลเย่ พี่ใหญ่และพี่รองของเย่หง ต่างก็มีรอยยิ้มยินดีบนใบหน้า จากรองผู้ว่าดารขึ้นไปเป็นเลขานุการคณะกรรมการ เป็นการข้ามไปหลายขั้น สามารถขึ้นไปสู่ตำแหน่งใหญ่โตเช่นนี้ได้ ตระกูลเย่คิดไม่ถึงจริงๆ

“ผมไม่ต้องการ ผมแค่อยากจะคุยข้อตกลงเพื่อลูกชายของผมเท่านั้น” เย่หงไม่หวั่นไหว ในสายตาของเขาครอบครัวญาติพี่น้องนั้นสำคัญกว่าทุกสิ่ง

“เหอๆ ผู้อาวุโสเย่ อย่างไรเสียคราวนี้ก็เป็นตระกูลฉีของผมที่ทำไม่ถูก เพื่อแสดงความขอโทษ ผู้อาวุโสก็พูดแล้วว่า จะโอนหุ้นครึ่งหนึ่งของเครือไห่หวางให้ตระกูลเย่” ฉีชางเซิ่งหัวเราะแห้งๆสองครั้ง เสนอสิ่งแทนสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพไปอีกครั้งหนึ่ง

ในตอนที่คนตระกูลเย่ยังไม่ตอบนั้น เย่เทียนเฉินก็ลุกขึ้น บิดขี้เกียจครั้งหนึ่งก่อนจะพูดว่า “ในเมื่อตระกูลฉีมีความจริงใจเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงแล้วกัน อย่างแรก พ่อของผมตำแหน่งเลขานุการคณะกรรมการของพ่อผมต้องได้ อย่างที่สองหุ้นครึ่งหนึ่งของเครือไห่หวางก็โอนมาให้ผม หากว่าทำไม่ได้อย่างที่พูด ตระกูลฉีคงต้องเสียหน้าครั้งใหญ่แล้ว ผมคิดว่าตระกูลฉีคงไม่อยากเสียหน้าหรอกนะครับ?”

…………………………