บทที่ 7 ทรงอำนาจ ProjectZyphon
ในฐานะที่เป็นวัยรุ่นในศตวรรษที่ 21 ผู้ปฏิบัติตามกฎหมาย เมื่อก่อนแค่เห็นเด็กๆ ถูกขโมยอมยิ้มบนเวยป๋อก็โกรธหัวร้อนอยู่หลังคีย์บอร์ดไปสามวันเจ็ดวัน หลี่มู่อ่านคำร้องแล้วไฟโทสะสุมอยู่ภายในจิตใจ
“ไร้เหตุผลสิ้นดี ทหาร ไปเดี๋ยวนี้ ไปเอาตัวเจ้าของร้านกับเจ้าสุนัขชั่วโฉดที่ลงมือนั่นมา…จับตัวมันมาฟังการไต่สวนทั้งหมด”
หลี่มู่เคาะไม้ปลุกสติเสียงดังด้วยแรงโกรธ
ตอนแรกหลี่มู่คิดว่าจะมาแสร้งทำเป็นตัดสินคดี แต่ในเวลานี้เขาโกรธขึ้นมาแล้วจริงๆ
องครักษ์ทั้งหกคนที่อยู่ศาลได้ยินดังนั้นก็แสดงสีหน้าประหลาด และไม่ได้น้อมรับคำสั่ง
“เป็นอะไรไป?” หลี่มู่จ้องไปที่เหล่าองครักษ์
“เอ่อ…ใต้เท้า เรื่องเป็นแบบนี้” องครักษ์คนเดิมที่คอยส่งสัญญาณทางสายตาเข้ามาใกล้อีกครั้ง ก่อนเอ่ยกระซิบที่ข้างหู
ที่แท้ร้านโอสถเทพนี่ก็มีอำนาจหยั่งลึกในอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์ มีพรรคจอมยุทธ์คอยหนุนหลัง ว่ากันว่าเป็นพรรคเสินหนง หนึ่งในสี่ผู้มีอิทธิพลด้านผลผลิตเกษตรกรรมในอำเภอเมืองนี้ เหิมเกริมอยู่ที่นี่มาเนิ่นนาน ทำร้ายและฆ่าคนเป็นเรื่องปกติ ก่อนหน้าพวกขุนนางในที่ว่าการจึงได้แต่ปิดตาข้างหนึ่งเอาไว้
“ข้าไม่สน ไปจับมันมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ จับมาให้ครบทุกคน เมื่อก่อนก็ส่วนเมื่อก่อน ตอนนี้ข้าเป็นขุนนางเมือง เรื่องพวกนี้ข้ามีสิทธิ์จัดการ” หลี่มู่โกรธจนลมออกหูแล้ว
หนึ่งในสี่ผู้มีอิทธิพลแล้วอย่างไร บังอาจเหิมเกริมเข่นฆ่าผู้คนเป็นเรื่องปกติ บัดซบเกินไปแล้ว
‘นี่มันแก๊งยามากุจิที่เป็นสังคมด้านมืดในต่างโลกดีๆ นี่เอง
แต่เราไม่สน เราคือขุนนางเมือง เป็นใหญ่ที่สุดในอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์’
ในใจหลี่มู่รู้สึกรังเกียจมาก ต่อให้เป็นแก๊งยามากุจิ อย่างไรก็สู้ขุนนางเมืองไม่ได้หรอก
“คือ…” องครักษ์คนนั้นลังเล
องครักษ์คนอื่นที่ยืนห่างๆ กัน แต่ละคนก้มหน้าก้มตา เกรงว่าหลี่มู่จะสั่งพวกตนไปจับคนมา
“ยืนนิ่งอยู่ทำไม ไปมันให้หมด จับคนกลับมาให้ข้า” หลี่มู่รู้สึกว่าศักดิ์ศรีความเป็นขุนนางเมืองของตัวเองถูกท้าทาย เขาจึงสั่งเสียงดังด้วยคำพูดดุดัน
ในที่สุด ภายใต้คำสั่งเด็ดขาดของขุนนางเมืองหลี่มู่ องครักษ์ทั้งหกตัวสั่นเทิ้ม ฝืนใจออกไปจับคนด้วยสีหน้าหวาดกลัว
ตอนนี้ภายในศาลดูโล่งไปถนัดตา
เด็กน้อยฉินเอ๋อร์ร้องไห้ออกมาเบาๆ ก็ยังได้ยินชัดเจน
หลี่มู่รู้สึกเห็นใจ จึงลุกแล้วเดินไปตรงกลาง ปลอบโยนเด็กหญิงที่กำลังร่ำไห้ด้วยความตื่นกลัว ท่าทางแสดงออกถึงความยึดมั่นในความยุติธรรม ตบหน้าอกตัวเองแล้วพูดกับหญิงผู้นั้นว่า “พวกเจ้าโปรดวางใจ ข้าจะทวงความยุติธรรมให้พวกเจ้าเอง”
หากขุนนางไม่ทำเพื่อประชาชน สู้กลับบ้านไปขายมันหวานไม่ดีกว่าหรือ
แม้ว่าหลี่มู่จะเป็นตัวปลอม แต่เขาก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเที่ยงธรรม ในเมื่อเขาแอบอ้างตัวเป็นขุนนางเมือง ก็ต้องทำหน้าที่ของมันให้ดี
“ขอบคุณใต้เท้ามากเจ้าค่ะ” ในแววตาพร่ามัวของหญิงม่ายเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
นางบาดเจ็บหนัก ยามเอ่ยวาจาจึงหายใจขาดห้วง มุมปากมีโลหิตไหลออกมา
พูดตามตรง การมาร้องทุกข์ ณ ที่ว่าการเป็นการเดิมพันครั้งสุดท้ายของนางขณะอับจนหนทาง นางก็ไม่กล้าคาดหวังสิ่งใดมาก แต่ดูแล้วขุนนางเมืองคนใหม่เหมือนจะเป็นตงฉินที่เกลียดชังความชั่วร้าย ทำให้หญิงที่น่าสงสารอย่างนางมีความหวังขึ้นมา
ประจวบเหมาะกับที่หมิงเยวี่ยวิ่งเข้ามาพอดี
หลี่มู่หันศีรษะไปมอง “เจ้า ใช่เจ้านั่นแหละ รีบไปตามหมอในเมืองมารักษาพี่สาวท่านนี้ก่อน”
หมิงเยวี่ยชะงักฝีเท้า ใบหน้าเบิกบานกลับกลายเป็นแข็งค้าง แล้วส่ายหน้าเหมือนกลองป๋องแป๋ง “ไม่เอา ข้าอยากดูเรื่องสนุกที่นี่ ให้เขาไปสิ” คนที่เด็กโง่งมหมายถึงก็คือชิงเฟิงคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะเพื่อจดบันทึกคำให้การ
หลี่มู่หัวเราะเยาะ “เจ้ารู้หนังสืองั้นหรือ เจ้าเขียนหนังสือเป็นไหมล่ะ เขียนบทความได้ไหม เจ้าจดบันทึกคำให้การได้หรือไม่?”
พูดยังไม่ทันจบ หมิงเยวี่ยพูดไม่ออก ได้แต่หันหลังเอามือปิดหน้าด้วยความอับอายพลางวิ่งออกจากศาลไปตามหมอ
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยามอย่างรวดเร็ว
ในเวลานั้น องครักษ์ที่ส่งไปกลับมาหนึ่งคน รายงานด้วยสีหน้าสอพลอว่าวันนี้เถ้าแก่ร้านโอสถเทพค่อนข้างยุ่ง ไม่สามารถมาให้การได้ หากวันไหนมีเวลาค่อยว่ากัน…
หลี่มู่โมโหจนควันออกหู
“ไปบอกเขาว่าในหนึ่งก้านธูป หากไม่มาที่ศาล ข้าจะไปพังร้านยานั้นด้วยตัวเอง”
หลี่มู่กัดฟันกรอด
มารดาเจ้าสิ ยุ่งก็เลยไม่มางั้นรึ? ยังกล้าเสแสร้งต่อหน้าขุนนางเมืองอีก
สิ่งที่หลี่มู่ชอบมากที่สุดคือการแสร้งทำ สิ่งที่รับไม่ได้ที่สุดคือมีคนมาเสแสร้งต่อหน้าเขา
องครักษ์อับจนหนทาง ออกไปด้วยหน้าตาเศร้าหมอง
สิบกว่านาทีต่อมา หมิงเยวี่ยพาท่านหมอเคราแพะผู้หนึ่งเข้ามาในศาล เมื่อตรวจอาการจางหลี่ก็พบว่ามีอาการบาดเจ็บภายใน แต่ไม่มีอันตรายถึงชีวิต ขอเพียงได้นอนพักรักษาตัวและกินยาตรงเวลาก็จะดีขึ้นภายในสามถึงห้าเดือน เด็กน้อยฉินเอ๋อร์กล่าวขอบคุณเป็นพันครั้งอยู่ด้านข้าง แล้วคุกเข่าโขกศีรษะคำนับท่านหมอ สร้างความสงสารแก่คนที่พบเห็น
หลี่มู่ลอบถอนหายใจอยู่ในใจ
บ้านของเด็กหญิงสามารถเปิดร้านขายยาเล็กๆ ในอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์ นับว่าไม่ได้ยากจน จะบอกว่าเป็นชนชั้นกลางก็ได้ อย่างน้อยก็หมดห่วงเรื่องกินอยู่ แต่เมื่อโดนคนชั่วช้ารังแกกลับไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ ครอบครัวตายจากแทบจะภายในชั่วข้ามคืน
สาเหตุแท้จริงยังเป็นเพราะอ่อนแอเกินไป
ในโลกที่มีอารยธรรมล้าหลังเหมือนสมัยจีนโบราณแห่งนี้ กฎปลาใหญ่กินปลาเล็กยิ่งปรากฏให้เห็นชัดอย่างบ้าคลั่ง
เรื่องนี้ทำให้หลี่มู่รู้ว่าความแข็งแกร่งของพลังยุทธ์มีความสำคัญในโลกแบบนี้มากแค่ไหน
ประมาณครึ่งชั่วยามให้หลัง
องครักษ์หกคนมายังศาลพร้อมกับชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อผ้าชั้นดี
“เถ้าแก่หวง เชิญท่าน” องครักษ์นอบน้อมต่อชายวัยกลางคนยิ่ง หลังจากนำทางให้เข้ามาก็หันกายมาคารวะหลี่มู่แล้วกล่าวว่า “รายงานใต้เท้า ข้าพาเถ้าแก่หวงแห่งร้านโอสถเทพมาแล้ว”
“ผู้น้อยคารวะท่านขุนนางเมือง” ตัวเขาไม่สูงมาก มีผิวขาว อ้วนท้วมสมบูรณ์ ใส่ชุดคลุมหรูหรา คารวะพร้อมรอยยิ้ม
ถึงแม้อีกฝ่ายจะยิ้มยินดี แต่หลี่มู่ฝึกพลังก่อนกำเนิด ทำให้ประสาทสัมผัสการรับรู้ของเขาดีขึ้นจนต่างจากคนธรรมดาทั่วไป สามารถรับรู้ถึงท่าทีดูถูกดูแคลนจากร่างกายและสีหน้าของอีกฝ่ายได้ชัดเจน
“จางหลี่ ชายคนนี้ใช่ฆาตกรหรือไม่?” หลี่มู่ถามหญิงผู้นั้น
หญิงม่ายจ้องหวงเหวยเขม็ง แต่ท้ายที่สุดก็พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เรียนใต้เท้า ข้าไม่รู้จักเขา เขาไม่ใช่คนที่ฆ่าพ่อแม่สามีและสามีของข้า”
ภายในใจของหลี่มู่ขุ่นเคือง ก่อนมองไปที่เหล่าองครักษ์
องครักษ์ตัวสั่น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา
หวงเหวยหัวเราะน้อยๆ ราวรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ กล่าวว่า “เรียนใต้เท้า คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน พวกท่านไปพบวันนี้ ผู้น้อยถึงเพิ่งจะรู้ว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น จึงรีบตรวจสอบดู แล้วพบว่าผู้ดูแลร้านฝึกหัดคนหนึ่งในร้านโอสถเทพของข้ากับศิษย์คนอื่นๆ เป็นผู้กระทำ แต่เมื่อสามวันก่อนคนเหล่านี้ทำผิดศีลธรรม จึงถูกพวกเราร้านโอสถเทพไล่ออกไปแล้ว…ส่วนเรื่องบ้านสกุลจาง ผู้น้อยก็เห็นใจนัก แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเราอีกต่อไป”
หืม?
มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย
ไม่นึกว่าจะเล่นแบบนี้
นี่มันกฎหมายพนักงานชั่วคราวบนโลกมนุษย์ไม่ใช่เหรอ?
หลี่มู่หายมึนก็โมโหเดือดดาล
นี่มันกำลังหลอกลวงกันชัดๆ
“เหลวไหล มีเรื่องบังเอิญแบบนี้ที่ไหนกัน!” หมิงเยวี่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างโกรธจนหน้าอกกระเพื่อมรุนแรง อดไม่ได้ที่จะตะโกนด่า….ด้วยถ้อยคำที่หยาบคายมาก
หวงเหวยมองหมิงเยวี่ยแวบหนึ่ง ครั้นเห็นว่านางเป็นเพียงเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่ง เขาก็ยิ้มหยันแล้วไม่พูดอะไร
“มองแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร? เชื่อหรือไม่ว่าคุณชายของข้า…ฆ่าเจ้าได้ในหมัดเดียว” หมิงเยวี่ยอายุสิบเอ็ดสิบสองปี ฟันขาวผ่องรูปโฉมงาม ผิวสวยเหมือนหยกที่เจียระไนแล้ว เป็นเด็กหญิงผู้งดงามแต่มีอารมณ์ร้ายเหมือนแม่หมาป่าตัวน้อย หากไม่ได้องครักษ์ที่อยู่ด้านข้างห้ามไว้คงเข้าไปกัดคนแล้ว
ปัง!
หลี่มู่ตีไม้ปลุกสติ กัดฟันกรอดแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่สนใจมากเพียงนั้น ภายในสามวันร้านโอสถเทพต้องส่งตัวฆาตกรพวกนั้นมาให้ข้า มิเช่นนั้นก็นับวันรอปิดตายประตูร้านเจ้าได้เลย ร้านยาที่ยึดมาก็จงรีบคืนให้สกุลจางในทันที และจ่ายเงินชดเชยค่ายาให้จางหลี่ห้าร้อยตำลึงเงิน รวมถึงค่า…เอ่อ ค่ากระทบกระเทือนทางจิตใจให้ด้วย”
พนักงานชั่วคราวชุดนี้ทำให้ขายหน้าแล้ว
ในเมื่อร้านโอสถเทพไม่พูดกันด้วยเหตุผล หลี่มู่ตัดสินใจที่จะไม่ตัดสินด้วยเหตุผลเช่นกัน
“ใต้เท้า ท่านทำให้ข้าลำบากใจนะขอรับ” หวงเหวยเหงื่อตกเล็กน้อย แสร้งยิ้มก่อนตอบว่า “ฆาตกรเหล่านี้ไม่ใช่คนของร้านโอสถเทพแล้ว แต่ร้านยาสกุลจางพวกเราซื้อมาด้วยเงินก้อนใหญ่ จะบอกว่าเรายึดมาได้อย่างไร? สัญญาฉบับนี้คือหลักฐานซึ่งมีรอยประทับมือของจางหลงผู้เป็นเจ้าของร้าน…” เขาเอ่ยพลางนำหลักฐานออกมาจากอกเสื้อแล้วส่งให้องครักษ์
“ของปลอม นั่นมันของปลอม…” จางหลี่ที่บาดเจ็บอยู่ไม่น้อยเห็นแล้วก็หุนหัน ดิ้นรนจะพุ่งไปหาหวงเหวย กล่าวด้วยความโมโหว่า “นั่นคือสิ่งที่เจ้าทำขึ้นมา เป็นพวกเจ้าแน่ที่ฆ่าพ่อสามีข้าแล้วเอานิ้วของเขาประทับ หากพ่อสามีข้ายอมขายร้าน พวกเจ้าจะฆ่าเขาไปทำไมกัน? เจ้าพวกปีศาจเดรัจฉานในร่างมนุษย์…ข้าจะสู้ตัวตายกับพวกเจ้า…”
องครักษ์ด้านข้างรีบห้ามนาง ตะคอกว่า “นี่คือในศาล ห้ามเอะอะ”
“อึก…” หญิงนางนั้นทั้งร้อนรนทั้งโมโห กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
“ท่านแม่ ท่านแม่…ท่านอย่าทำให้ฉินเอ๋อร์ตกใจสิ ท่านตื่นขึ้นมาเถอะ ฉินเอ๋อร์ขาดพ่อไปคนแล้วนะ…” ฉินเอ๋อร์ยังเป็นเด็กที่อ่อนต่อโลก นางมีดวงหน้าที่งดงาม ไม่กี่วันมานี้นางเหมือนตกจากสวรรค์มาอยู่ในนรก ทุกอย่างหายไปในพริบตาเดียว นางร้องไห้จนดวงตาทั้งสองบวมเป่ง ตื่นตกใจเหมือนลูกเป็ดตัวสั่นอยู่ท่ามกลางพายุฝน
หลี่มู่รับหนังสือสัญญามา แต่ไม่ชายตามองสักนิด ฉีกทิ้งทันที
“ท่าน…” หวงเหวยหน้าเปลี่ยนสี จ้องมองไปที่หลี่มู่ ก่อนจะแสร้งยิ้มกล่าวว่า “ใต้เท้า ในสัญญามีตราประทับของผู้ช่วยขุนนางเมืองโจว ท่านจะฉีกโดยไม่สนใจเลยเชียวหรือ?”
หลี่มู่ลุกขึ้น เดินออกจากหลังโต๊ะไปยืนด้านหน้าหวงเหวย ขณะจ้องเขม็งก็พลันหัวเราะออกมา
“ข้าไม่กลัวที่จะสะสางความจริงเรื่องนี้ในตอนนี้ แล้วก็จะไม่เล่นลิ้นเพ้อเจ้ออะไรกับพวกเจ้าด้วย อะไรคือความจริงเจ้าย่อมรู้ดีแก่ใจ ที่มาของสัญญาฉบับนี้เจ้าก็รู้ชัดดี…ทั้งหมดเมื่อครู่นี้ ข้าพูดแล้วไม่คืนคำ เจ้าจงจำคำข้าให้ดี แล้วกลับไปบอกนายเจ้าว่าหากไม่สามารถทำได้ภายในสามวัน ข้าจะพาคนไปพังร้านของเจ้าด้วยตัวเอง”
……………………….