ตอนที่ 9 สาวน้อยจอมพลัง Ink Stone_Romance
พลังเซียนของหลิวหลีไหลเวียนซ้ำไปซ้ำมา จนสุดท้ายกระดูกทุกชิ้นและเนื้อเยื่อทุกส่วนล้วนถูกพลังเซียนหล่อเลี้ยง แล้วนางก็เป็นราวกับพลังเซียนร่างมนุษย์ ดีที่ได้อานิสงฆ์จากระฆังน้อย มิเช่นนั้นหลิวหลีคงกลายเป็นพระถังซัมจั๋งที่เนื้อหอมน่ากินในตำนานไปแล้ว เมื่อหลิวหลีลืมตาขึ้นมา นางจะด่าเจ้างูตัวแดงตัวนั้นก่อนสักยก ทำเอานางเกือบตาย หลังจากนั้นจึงดูพลังบำเพ็ญเพียรของตนเอง ฝึกลมปราณจนไปถึงขั้นที่ 8 แล้ว จึงค่อนข้างจะพอใจ หลิวหลีได้รับอิทธิพลมาจากพวกนิยาย นางรู้สึกว่าพลังบำเพ็ญเพียรที่ข้ามขั้นอย่างรวดเร็วจะไม่มั่นคง ถือเป็นพลังที่เปราะบางและไม่มีอานุภาพสังหาร ดังนั้นการโคจรพลังเซียนซ้ำไปซ้ำมาเป็นการทำให้พลังมั่นคง ยั่งยืนและมีพลังสังหาร ตนเองควรจะคิดเรื่องฝึกวิชาสักหน่อย มิเช่นนั้นวันข้างหน้าคงจะมีแต่พลังบำเพ็ญเพียร แต่ไม่มีวิชาป้องกันตัว นี่จะเท่ากับว่า ‘มีเพียงความสามารถด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น’ หรอกหรือ คิดถึงตรงนี้ หลิวหลีพบว่านางหิวแล้ว หิวขนาดที่กินวัวได้ทั้งตัว แต่ไม่ได้สำรวจสภาพรอบตัวแม้แต่น้อย หลิวหลีลุกขึ้นแล้ววิ่งเข้าครัว นางอยากทำของอร่อยมาชดเชยให้ตนเอง
พวกเสวียนหั่วเห็นศิษย์มองข้ามตนเอง วิ่งโร่เข้าไปในห้องเล็ก การมีตัวตนของพวกเขาช่างต่ำต้อยนัก
“ท่านอาจารย์ เขตแดนปราการแก้วของท่านยังไม่สลายไป” จื่ออินกล่าวเตือน เพราะเมื่อครู่กลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของอาจารย์อา เทียนเย่าสร้างเขตแดนปราการแก้ว ดูเหมือนว่าอาจารย์อาไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขา
เทียนเย่ากระแอมอย่างกระอักกระอ่วนใจ จากนั้นก็เก็บเขตแดนเข้าไป
พอได้ยินเสียงร้องโหยหวนของหลิวหลี หลายคนก็หายตัวไป นางเป็นอะไรอีกล่ะ
หลิวหลีมองไปยังหม้อใบเล็กที่แตกละเอียด เพราะเหตุใดกัน ทำไมหม้อที่นางคุ้นเคยใช้ปรุงอาหารมาหลายเดือนจู่ๆถึงเปราะบางเช่นนี้ คิดดูแล้วอาจเป็นเพราะสาเหตุอื่น หลิวหลีหยิบตะหลิวขึ้นมาก็พบว่าตัวนางบีบหัก หักแล้วเหรอ หลิวหลีมองสองมืออย่างเหลือเชื่อ จบเห่แล้ว นางกลายเป็นสาวทรงพลังไปแล้ว สาวน้อยทรงพลัง นางไม่ได้อยากจะมาสายนี้หรอกนะ ดังนั้นจึงกรีดร้องโหยโหนขึ้นมา
มีคนเข้ามาสองสามคนมองหลัวหลีที่กำลังจับตะหลิวหักคามือ หลิวหลีเห็นว่ามีคนมาจึงพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของจื่ออินที่อยู่ด้านหลังราวกับประทัดน้อย พูดเสียจนจื่ออินอยากเข้าฌานไม่ต้องออกมาอีกเลย
“ศิษย์พี่ ข้าทำหม้อใบเล็กและตะหลิวที่ท่านให้แตกแล้ว ข้ายังไม่ทันได้ออกแรงเลยนะ” หลิวหลีอธิบายอย่างตั้งใจพลางร้องห่มร้องไห้ พวกเทียนเย่ามองจื่ออินและสาวน้อยน่ารักในอ้อมแขนเขา เสวียนหั่วกระตุกยิ้มที่มุมปาก ศิษย์เอ๋ย…นี่เจ้าเพิกเฉยต่ออาจารย์เช่นนี้เลยหรือ
“อะแฮ่ม” เขาแกล้งกระแอมเสียงอย่างเย็นชาสองสามที
หลิวหลีถึงรู้ว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย นางหน้าแดงขึ้นมา เหตุใจจึงมีคนอื่นอยู่ด้วยเล่า น่าขายหน้าเสียจริง
“คารวะศิษย์พี่ทุกท่าน เอ๊ะ…ท่านอาจารย์ ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร” หลิวหลีกล่าวทักทาย จากนั้นก็พบว่าอาจารย์สองสามคน ที่ตนเองเคยเจอหน้ามาก่อนก็อยู่ที่นี่ด้วย ศิษย์พี่จื่ออินได้รู้ความจริงเรื่องที่ตนมีสถานะเป็นศิษย์หลานแล้ว จึงเกิดอาการใจฝ่อขึ้นมาอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ
“ศิษย์เอ๋ย เจ้านี่ช่างสร้างปรากฏการณ์สะเทือนเลื่อนลั่นเสียจริง” เสวียนหั่วมองไปยังดวงตาที่หวาดกลัวของศิษย์ ยังรู้จักใจฝ่อด้วยหรือ
“อาจารย์ ข้ายังไม่ได้ทำสิ่งใดเลยนะ” หลิวหลีที่ไม่รู้จัวว่าตนเองได้สร้างปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าดินเลยสักนิด หลิวหลีมองบุคคลสำคัญรอบตัวด้วยสายตางุนงง จริงด้วย…วันนี้มันวันอะไรกัน เหตุใดเหล่าอาจารย์จึงมารวมตัวกันที่หอโอสถ แถมยังมาปรากฏตัวในที่พักของนางอีก หรือว่ามาเดินเล่นอย่างจนมาถึงที่นี่
“ใช่สิ เจ้าไม่ได้ทำอะไรเลย ก็แค่บรรลุช่วงแล้วไม่ระวังไปดูดเอาพลังเซียนของหอโอสถไปมากกว่าครึ่ง” เทียนเย่ามองดูหอโอสถที่พลังเซียนเบาบางลงไป ศิษย์น้องเจ้าไม่รู้สึกผิดหรือ จนก่อเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าจะบอกว่าไม่ได้ทำอะไร ทำให้พวกคนแก่อย่างเราๆมันเกินจะรับไหว คิดว่าพวกเรามาเดินเล่นจริงหรือ
“ท่านอาจารย์ ข้าเป็นคนทำจริงๆหรือเจ้าคะ” สีหน้าหลิวหลีอึ้งไปเล็กน้อย เด็กสาวผู้น่ารักบอบบางจะทำสิ่งที่โหดร้ายเช่นนั้นออกมาได้อย่างไรกัน แต่ก็ได้ว่าตนเองกลายเป็นสาวน้อยจอมพลังและน่าจะโน้มไปทางสาวน้อยคิงคองบึกบึนอีกต่างหาก
“ท่านอาจารย์ ศิษย์ป่วยแล้ว หลิวหลีกลายเป็นสัตว์ประหลาดไปแล้ว” หลิวหลียิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บปวด เหตุใดตนจึงกลายเป็นสาวน้อยจอมพลังไปได้นะ โลกนี้ช่างไร้ซึ่งความเมตตา
“ศิษย์เอ๋ย เจ้าลองกำหมัดต่อยกำแพงฝั่งตรงข้ามโดยไม่ใช้พลังเซียนดูสิ” เสวียนหั่วคิดครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นมา
หลิวหลีพยักหน้ารับพลันหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็เหวี่ยงหมัดไปที่กำแพง เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น กำแพงพังทลายลงมา จุดที่หมัดสัมผัสโดยตรงกลายเป็นผุยผง หลิวหลีอึ้งเหมือนมีลมพัดตีผ่านหน้าของนางไป
“เจ้ารู้สึกเช่นไร” เสวียนหั่วเอ่ยถาม
“สบายมากเจ้าค่ะ” หลิวหลีคิดถึงความรู้สึกเมื่อครู่จากนั้นจึงเอ่ยตอบ
เสวียนหั่วขมวดคิ้ว เกิดสิ่งใดขึ้นกับศิษย์ตัวน้อยของเขากันแน่ เทียนหลิงจื่อคิดอยู่สักพักจึงนำกระบี่หนักเล่มหนึ่งส่งให้นาง
“ศิษย์น้อง เจ้าลองยกขึ้นดู”
หลิวหลีรับกระบี่หนักเล่มนั้นมา ถือด้วยมือข้างเดียวไม่ค่อยถนัดนักจึงถือด้วยมือทั้งสองข้าง
“เป็นเช่นไรบ้าง?”
“น้ำหนักพอได้ แต่มันยาวเหลือเกิน” หลิวหลีสรุป
มองดูสาวน้อยจอมพลังตรงหน้าที่ถือกระบี่อันใหญ่ไม่สมตัว มันยาวเกินไปจริงๆ
“นี่คือกระบี่หนักที่ทำมาจากเหล็กกล้าน้ำหนัก 300 กิโลกรัม อาจารย์อา ศิษย์น้องสามารถฝึกวิชากระบี่ได้ นางจะกลายเป็นนักดาบที่ยอดเยี่ยม” เทียนหลิงจื่อพูดด้วยดวงตาเป็นประกาย ช่างมีพรสวรรค์โดดเด่นนัก สภาพร่างกายที่แข็งแรงนี้ ทนทานต่อการรับ รุก โจมตีและบำเพ็ญเพียร แย่แล้ว… ทำไมต้องมาแย่งเข้าหอกระบี่กับอาจารย์อาด้วย
“หลิวหลี เหตุใดเจ้าจึงกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้” เสียงของโจวอีดังขึ้น หลังจากผู้อาวุโสหลายท่านออกไปแล้ว ก็มีอยู่หลายคนที่ไม่กล้าออกไปตามอำเภอใจ จนหลิวหลีต่อยกำแพงถล่ม ยกกระบี่หนัก โจวอีจึงถามอย่างอดไม่ได้
รูปปั้นแกะสลักของหลิวหลีแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ เหตุใดเพื่อนของนางจึงได้เห็นสภาพสาวน้อยจอมพลังแสนประหลาดของนาง จะว่าไปพวกเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร อาจารย์ไม่ควรจะจัดการสถานการณ์ให้เรียบร้อยก่อนหรือไง หลิวหลีตำหนิอาจารย์ขึ้นมา
“พวกเจ้ากลับกันไปก่อนเถอะ โจวอีโจวมั่วพวกเจ้ากลับไปเก็บของแล้วเปลี่ยนเข็มกลัดเป็นศิษย์ในสำนักเสีย โจวซานพวกเจ้าไปจัดการเรื่องภารกิจสองส่วน ข้าจะรอจนพวกเจ้าบรรลุช่วงพื้นฐาน แล้วพวกข้าจะเลือกรับไว้เป็นศิษย์ใต้นาม” เทียนเย่ากล่าว พี่น้องสกุลโจวใช้ได้ทีเดียว ซื้อใจพวกเขาใช้ได้ทีเดียว
“ขอบคุณท่านเจ้าหอขอรับ” พวกโจวซานตอบอย่างดีใจ ถือเป็นข่าวดีเข้ามาอีกเรื่องจริงๆ หลังจากนั้นคนไม่น้อยที่รับรู้ข่าวนี้เข้าก็อยากเจอกับสาวน้อยผู้ทรงพลังตามคำร่ำลือ อย่างไรเสียหลิวหลีได้เข้าสู่ช่วงเวลาการฝึกฝนอันแสนหฤโหดแล้วและไม่ปรากฏตัวในสำนักเลย และแน่นอนว่าหลังจากข่าวนี้ลือไปถึงหูคนนอกสำนักอย่างหลิงจูที่กำลังทุกข์ทนจนเป็นบ้าเมื่อรู้แล้ว ก็ยิ่งทำให้นางใจสลาย
“ขอรับ ท่านเจ้าหอ” พวกโจวซานเอ่ยตอบ โจวอีและโจวมั่วที่อยากจะพูดอะไรกับหลิวหลีสักหน่อยก็ถูกโจวซานและโจวอู่ลากออกไป โจวอีคิดว่าถึงอย่างไรก็ต้องเจอกันบ่อยจึงวางใจและออกไปกับพี่สาวและพี่ชาย
“ศิษย์เอ๋ย สถานการณ์ของเจ้าค่อนข้างพิเศษ เจ้ากลับไปที่หอกับข้า ข้าจะวินิจฉัยดูสักหน่อย” เสวียนหั่วพูดพลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
ท่านอาจารย์ ใช้คำว่า ‘วินิจฉัย’ กับศิษย์รักของท่านได้อย่างกัน คำนี้มันดีแล้วหรือ นางไม่ใช่หนูทดลองสักหน่อย
เสวียนหั่วปล่อยโอกาสให้นางวิจารณ์ในใจ หลังจากนั้นจึงพาหลิวหลีจากไปด้วยท่าทีสง่างาม และทิ้งพวกเสวียนอวี่ที่พูดไม่ออกไว้
“อะแฮ่ม ภายในสำนักยังมีงานต้องสะสาง ข้ากลับไปก่อน” เสวียนอวี่ได้สติขึ้นมา หากไม่แยกย้ายตามไป จะรอให้ถูกเชือดก่อนหรือไง พอพูดจบก็หายตัวไปทันที
“ลูกศิษย์คนใหม่ของข้ากำลังรอข้าสอนกระบวนท่ากระบี่อยู่ เทียนเย่า ข้าขอตัวก่อน” ช่างน่าขัน เทียนเย่าผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องขูดรีด จะรอให้ขูดถึงผิวชั้นในหรือไรเล่า
คนที่เหลืออยู่ก็ล้วนแต่หาข้ออ้างเพื่อปลีกตัวหนี ช่างน่าขันนัก ไม่รีบหนีแล้วจะรอให้ถูกเอาเปรียบหรือไง ไม่เห็นหรือตัวต้นเรื่องเผ่นหนีไปแล้ว
เทียนเย่ามองแต่ละคนที่หาเหตุผลปลีกตัวกลับ มองพลังเซียนอันเบาบางบนสำนัก เฮ้อ…แค่จะยืมหินวิญญาณเล็กๆน้อยๆสักหน่อยมันยากเย็นนักหรือ ข้าอยากจะหักลดยาของพวกเขาให้หมด
เมื่อถูกพากลับมายังยอดเขาที่ตนเคยมาครั้งแรก หลิวหลีก็รู้สึกเวียนหัวตาลาย และหลังจากอาการตื่นตระหนกหายไปก็กลับมาหิวอีกครั้ง
ดังนั้นนี่ก็เป็นฉากทิวทัศน์ที่หลิวหลีถูกพาตัวมาเป็นครั้งแรก
“ท่านอาจารย์ หลิวหลีหิวแล้ว” หลิวหลีพูดพลางใช้มือลูบท้อง
ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของเสวียนหั่วคือรู้สึกขัดใจคำว่าหิวของศิษย์ตน ศิษย์หิวแล้ว นางต้องกินข้าว นางไม่ชอบยาปี้กู่ตาน(ยาทิพย์)
“ท่านอาจารย์หลิวหลีรู้สึกหิวจนเหมือนจะกินวัวได้ทั้งตัว” หลิวหลีพูดต่อ
วัวทั้งตัว ทำให้เสวียนหั่วนึกถึงอสูรชนิดหนึ่ง พละกำลังมาก น่าจะเป็นเนื้อชั้นดี
“รอก่อน” เสวียนหั่วพูดจบก็หายตัวไปรอบนี้หลิวหลีไม่ได้โง่เขลารออยู่ด้านนอกเหมือนเคย เข้าไปข้างในแล้วค่อยว่ากัน อุณหภูมิต่ำขนาดนี้ผู้บำเพ็ญเพียรตัวเล็กๆอย่างนางเสพสุขไม่ไหวหรอก
เสวียนหั่วเข้าป่าที่ใกล้ที่สุดเพื่อไปจับวัวป่าสักตัวด้วยความรวดเร็ว จากนั้นจึงให้ทางโรงครัวย่างให้ แล้วห่อกลับมาให้ศิษย์ตัวน้อย
หลิวหลีนั่งนับนิ้ว เสวียนหั่วก็กลับมา เมื่อมองเห็นวัวที่มีขนาดใหญ่กว่านางถึงเท่าตัวก็ตกใจขึ้นมาเล็กน้อย หลิวหลีที่หิวแทบทนไม่ไหวจึงเริ่มกิน เนื้อทั้งสดและนุ่ม มีแต่รสเค็มจากเกลือ รสสัมผัสยังไม่ถือว่าดีนัก หลิวหลีวิจารณ์ไปกินไปอย่างออกรสออกชาติ ไม่นานหลิวหลีก็กินวัวทั้งตัวหมดอย่างรวดเร็วแล้วเช็ดปาก
“เจ้ากินเสร็จแล้วหรือ” เสวียนหั่วถาม
“เจ้าค่ะ ไม่หิวแล้ว” หลิวหลีตอบ เฮ้อ …แต่ก็แค่อยู่ท้องเท่านั้น ปริมาณอาหารที่กินนั้นดีขึ้นมาก
เสวียนหั่วขมวดคิ้ว คำพูดนี้ของนางแปลว่ายังไม่อิ่ม อาหารที่เกิดขึ้นหลังจากที่ศิษย์บรรลุช่วงอย่างประหลาดหนักหนาเอาการ
“พูดสิ ว่าเหตุใดจู่ ๆเจ้าถึงบรรลุงช่วงอย่างกะทันหันเช่นนี้ โชคดีที่เจ้ารู้ตัว ไม่เช่นนั้นเส้นชีพจรในตอนนี้ของเจ้าอาจจะเสียหายอย่างร้ายแรง” เสวียนหั่วพูดขึ้นอย่างจริงจัง
“ท่านอาจารย์ ศิษย์เป็นผู้บริสุทธิ์นะเจ้าคะ ข้าแค่ออกไปเรียนรู้กับเหล่าสหายข้างนอก หลังจากกินข้าวเสร็จ ข้าเผลอไปเหยียบงูตัวหนึ่งโดยบังเอิญจึงต้องการล้างแค้นด้วยการทำซุปงู ใครจะรู้ว่างูตัวนั้นยังไม่ตาย ทั้งยังนอนจ้องข้าอยู่ในกระบอกไม้ไผ่ ศิษย์ตกใจแทบตาย หลังจากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นว่าข้าต้องบำเพ็ญเพื่อบรรลุงช่วง” หลิวหลีระบายความขมขื่นให้อาจารย์ฟัง เหตุใดนางถึงซวยเช่นนี้
“เจ้าพูดว่าเจ้าเหยียบงูตัวหนึ่ง” ดูเหมือนเสวียนหั่วจะรู้แล้วว่าปัญหาอยู่ที่งูตัวนั้น
“เจ้าค่ะ” หลิวหลีพยักหน้า
“ใช่แล้ว ดูเหมือนข้าจะทำพันธสัญญาอะไรบ้างอย่าง” หลิวหลีคิดแล้วจึงตอบออกมา
เสวียนหั่วขมวดคิ้ว ยังขบคิดอยู่ว่ารอให้ศิษย์ของตนบรรลุช่วงอมตะก่อนแล้วจะไปหาอสูรภูตเผด็จการสักตัวมาให้ศิษย์น้อยแต่คงเป็นไปไม่ได้แล้ว
“เจ้าสร้างพันธะสัญญากับสิ่งใด”
“ดูเหมือนจะเป็นงูตัวนั้น” หลิวหลีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น
งูตัวหนึ่ง งูจักรพรรดิเก้าเศียร นาคีเขมือบนภา หรืออาจจะเป็นงูสายเลือดชั้นสูง เสวียนหั่วขบคิดไปต่างๆนาๆ
“เอาอสูรภูตของเจ้าออกมาดูหน่อย” เสวียนหั่วพูด
“ท่านอาจารย์ มันพูดว่าพวกเราระดับต่ำต้อยไป ไม่พบ” หลิวหลีอยากจะพูดคุยกับงูแดงตัวนั้น ผลคือมันไม่ได้อยากจะเจอหน้านาง ก็แค่งูตัวเดียวสูงส่งมาจากไหนกันเชียว
“ออกมา” หลิวหลีโกรธจึงตวาดเสียงดัง จากนั้นก็มีงูสีแดงออกมาจากร่างของหลิวหลี เห็นเอ๋าเลี่ยแสดงสีหน้ารำคาญใจ อายุก็ตั้งหลายหมื่นปีแต่ดันลืมดื่มเลือดของอีกฝ่ายก่อน ซึ่งต่อให้พันธะสัญญาจะเท่าเทียมแต่ก็ต้องฟังคำสั่งของอีกฝ่ายอยู่ดี เขาพลาดแล้ว
…………………………………………………….