“เจ้าของชิ้นนี้…คืออะไรกันแน่?”

หลิงม่อจับ “แมงกะพรุน” ก้อนนั้นไว้ในมือ แล้วถามอย่างสงสัย

มันทั้งนิ่มนิดๆ สัมผัสเย็นหน่อยๆ ถึงแม้จะมีกลิ่นเหมือนน้ำเมือกพวกนั้นมาก แต่แค่ดูจากรูปร่างของมันอย่างไรก็ไม่สามารถเดาได้ว่ามันเกี่ยวข้องกันอย่างไร

“พวกเธอมาที่นี่เพื่อเจ้าสิ่งนี้สินะ?” พวกเธอไม่ตอบ หลิงม่อจึงหันไปมองหน้าอวี๋ซือหราน

ถูกหลิงม่อจ้อง สีหน้าของอวี๋ซือหรานแสดงถึงความอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด

ถึงแม้จะไม่ได้โดนด่า และไม่ได้โดนทำโทษอะไร แต่ในใจของเธอกลับรู้สึกไม่สบายเอาเสียเลย

อวี๋ซือหรานก้มหน้ามองหน้าอกตัวเอง แล้วคิดอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย “ไม่แน่ว่าความรู้สึกแปลกๆ ตรงหน้าอกนี้ อาจไม่เกี่ยวกับเรื่องการเผาผลาญพลังงานทางร่างกายเลยก็ได้…”

แต่ว่า…ความรู้สึกอย่างนี้มันแปลกมากจริงๆ

ตอนที่อยู่กับป้านเยว่ เธอไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อนเลยซักครั้ง

และตอนทำเรื่องนี้ เธอก็ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้

ขายเพื่อน? แล้วยังไงล่ะ!

ก็ไม่ใช่คู่ครองซักหน่อย อีกอย่างคนที่ทำร้ายเสี่ยวป๋ายก็ไม่ใช่เธอนี่!

แต่…ทำไมเวลามองตาหลิงม่อทีไร เธอถึงได้รู้สึกไม่กล้าเงยหน้านะ?

นอกจากนี้เธอหลบหนีไม่สำเร็จ ความจริงต้องรู้สึกโมโหถึงจะถูกสิ!

แต่ทำไมหลังจากใจเย็นลง เธอกลับพบว่าความจริงตัวเองไม่ได้อยากกินเฮยซือจริงๆ ล่ะ?

ความรู้สึกนี้มัน…ช่างซับซ้อน

พยายามหลบหนี หนีไปจากมนุษย์คนนี้และเหล่าเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ที่เลือกเดินผิดทางให้ไกลที่สุด นั่นคือสิ่งที่เธอต้องการอย่างแรงกล้ามาตลอดไม่ใช่หรือ?

ซอมบี้โลลิสับสนเล็กน้อย จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าเจ้ามนุษย์ไส้กรอกคนนี้พูดถูกอยู่ประโยคหนึ่ง

เธอไม่รู้แม้กระทั่งว่าสมองของตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ในตอนนี้

นี่ไม่ใช่สมองที่ซอมบี้ควรมีนะ! ความคิดของซอมบี้ควรจะง่าย และตรงไปตรงมามากกว่านี้สิ!

อวี๋ซือหรานรู้สึกหงุดหงิดมาก…

“นี่ ฉันถามเธออยู่นะ” หลิงม่อกำ “แมงกะพรุน” ไว้ในมือ พลางยกมือข้างนั้นขึ้นเขกกะโหลกอวี๋ซือหราน

“อ๊ะ…” อวี๋ซือหรานสะดุ้ง แล้วตอบอึกอักว่า “ใช่…”

“ถ้าอย่างนั้นมันคืออะไรกันแน่?” หลิงม่อถาม

“ไม่รู้…น่าจะเป็นของใช้ทารกอะไรซักอย่าง…” อวี๋ซือหรานเบนสายตาไปทางซอมบี้ทารกที่ถูกซย่าน่าจับไว้

หลิงม่อมองตามสายตาของเธอ แล้วก็อึ้งไป

เขาก้มหน้ามอง “แมงกะพรุน” ในมือตัวเอง จากนั้นก็หันไปมองซอมบี้ทารกตัวนั้น แล้วก็ถามด้วนสีหน้ายุ่งเหยิง “เธอคงไม่ได้ไปเอามาจากมันหรอกใช่ไหม?”

“อืม…มันเป็นคนทำให้พวกเราเจอที่นี่ เพราะเวลาออกล่ามันทำตัวโจ่งแจ้งเกินไป…” อวี๋ซือหรานตอบเสียงเบา

“อ่า…” สายตาของหลิงม่อฉายแววครุ่นคิด

หลังเงียบไปหลายวินาที จู่ๆ เขาก็คำรามขึ้นมา “เป็นเพราะพวกเธอวิ่งเพ่นพ่านไปทั่วไม่ยอมฟังเสียงเรียกต่างหาก! ไม่อย่างนั้นจะมาเจอเจ้านี่ได้ยังไง!””

แต่เรื่องมันก็เกิดขึ้นไปแล้ว หลิงม่อจึงบ่นแค่คำสองคำ จากนั้นก็หันกลับมาสนใจ “แมงกะพรุน” ในมือต่อ

“แล้ว วิธีใช้ล่ะ? ดื่มนม?”

พอเห็นหลิงม่อหันกลับมามองตัวเองอีกครั้ง อวี๋ซือหรานก็ตอบออกไปอย่างรู้หน้าที่ “ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน…”

“…”

“อย่าเขกหัวฉันนะ! แค่ไม่แน่ใจเฉยๆ ไม่ได้บอกว่าไม่รู้อะไรเลยนี่นา” อวี๋ซือหรานรีบเอนหลังหลบทันที ตอนนี้เธอถูกปล่อยให้เคลื่อนไหวอย่างอิสระได้แล้ว ทว่าในสถานการณ์อย่างนี้ เธอไม่มีอารมณ์คิดจะหนีไปไหนแล้ว

“สัตว์ประหลาดตัวเล็กนั่น…” อวี๋ซือหรานชี้ไปทางซอมบี้ทารก แล้วบอกว่า “ในปากของมันมีหลอดดูดอยู่เส้นหนึ่ง พวกนายรู้หรือเปล่า?”

“รู้แน่นอนอยู่แล้ว…” หลิงม่อพยักหน้าตอบ

อวี๋ซือหรานทำท่าหวนนึก พลางบอกว่า “หลอดดูดนั่นของมันไม่เพียงสามารถฉีดเชื้อไวรัสในตัวของมันใส่ร่างกายซอมบี้ตัวอื่นได้ ยังสามารถดูดของอีกฝ่าย…”

“เดี๋ยวๆ ดูดอะไร?” หลิงม่อขมวดคิ้วทันที

อวี๋ซือหรานส่ายหน้าอย่างซื่อๆ “เรื่องนี้ฉันไม่รู้ ตอนที่ฉันเห็น มันก็กำลังอยู่บนหัวของซอมบี้ตัวหนึ่ง ตอนแรกฉันก็นึกว่า…”

“ซอมบี้ตัวแม่?” หลิงม่อพูดเสริมให้

“อืม…” อวี๋ซือหรานพยักหน้า สีหน้าของเธอเริ่มดูประหลาดขึ้น เสียงก็เริ่มเบาลงกว่าเดิม “แต่พอดูไปสักพัก ถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่เลย มันกำลังแทงหลอดดูดนั่นเข้าไปในสมองของซอมบี้ตัวนั้น เหมือนกำลังดูดอะไรบางอย่างอยู่ พอดูดเสร็จ ซอมบี้ตัวนั้นกลับยังไม่ตาย”

“จากนั้น มันก็เอาของที่ดูดออกมา มาปล่อยไว้ในนี้” อวี๋ซือหรานมอง “แมงกะพรุน” ก้อนนั้นด้วยแววตาร้อนรุ่ม แล้วพูดเสริมว่า “จริงๆ แล้วเจ้าสิ่งนี้งอกอยู่บนหัวมันล่ะ…”

“อะไรนะ?” หลิงม่อถือ “แมงกะพรุน” ไว้ในมือ พลันอึ้งไป

“พวกเราดึงมันออกมาตอนที่ลอบโจมตีมัน จากนั้นมันก็เอาแต่ไล่ตามพวกเราไม่ยอมปล่อย เจ้าของสิ่งนี้ก็ตกอยู่ในลานจอดรถ ต่อมา…”

“เธอก็ทิ้งเสี่ยวป๋ายไป ปล่อยให้มันไปเผชิญหน้ากับซอมบี้มากมายขนาดนั้น แล้วตัวเองก็หาโอกาสไปตามเก็บสิ่งนี้กลับคืนมา?” หลิงม่อตัดบทเธอ แล้วพูดแทรกแทน

อวี๋ซือหรานหลุบตาต่ำลง มือสองข้างประสานเข้าหากันพร้อมพยักหน้า

หลิงม่อจ้องซอมบี้โลลิอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ ยัด “แมงกะพรุน” ใส่กระเป๋าตัวเอง “ทางรุ่นพี่น่าจะใกล้แล้วล่ะ พวกเรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ”

“แต่ว่าเสี่ยวป๋าย…” อวี๋ซือหรานชี้ไปทางเสี่ยวป๋าย

เธอเพิ่งจะพูดจบ ดวงตาก็เบิกกว้างขึ้นทันที

เจ้าหมีแพนด้ากลายพันธุ์ทีเมื่อกี้สภาพเหมือนใกล้ตาย ตอนนี้กลับพลิกตัวและลุกขึ้นมา

ถึงแม้ท่าทางเหมือนยังไม่หายดีเต็มที่ แต่สภาพดูคนละเรื่องกับเมื่อกี้โดยสิ้นเชิง

“แกๆๆ…” อวี๋ซือหรานอึ้งจนไม่สามารถหุบปากลงได้

หลิงม่อยื่นมือไปลูบหัวเจ้าหมีแพนด้ากลายพันธุ์เบาๆ แล้วบอกว่า “อย่างไรฉันก็มียาอยู่นะ ถึงแม้มันจะติดเชื้อ แต่ถ้าหากมันเป็นปริมาณที่เหมาะกับการฟื้นฟูเรี่ยวแรงกลับมาได้ก็ไม่มีปัญหา”

“ถ้าอย่างนั้น…เมื่อกี้…” อวี๋ซือหรานยังคงช็อกไม่หาย

“หลอกล่อเธอให้มาติดเย็ดเฉยๆ” หลิงม่อกระชับกระเป๋าเป้ พลางบอก

ไม่รอให้อวี๋ซือหรานมีปฏิกิริยาตอบกลับ หลิงม่อก็พูดเสริมเข้าไปอีกคำ “แต่ว่า…ที่เธอกลับมาช่วยเสี่ยวป๋าย ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก”

อวี๋ซือหรานยังคงสับสนงุนงงอยู่ เธอมองแผ่นหลังของหลิงม่ออยู่อย่างนั้น

ทว่าเธอกลับได้ยินเสียงหลิงม่อกับซย่าน่าคุยกันรางๆ—

“ถ้าหากว่าเธอทิ้งเสี่ยวป๋ายไปจริงๆ พี่จะไล่เธอไปหรอ?” ซย่าน่าถาม

“หื้ม?”

“อย่ามาทำเสียงอย่างนี้ พี่ตอบมาให้ชัดเจนเลยนะ!”

“นี่ พี่หลิง!”

หลังนิ่งไปหลายวินาที จู่ๆ อวี๋ซือหรานก็ได้สติกลับคืนมา จากนั้นก็ค่อยๆ กำหมัดแน่น

“ทำไมฉันต้องไปช่วยเสี่ยวป๋ายด้วย! ทั้งๆ ที่อาจจะถูกไล่ไปอย่างมีความสุขแล้วแท้ๆ!” อวี๋ซือหรานทำหน้าเสียดายอย่างสุดซึ้ง

“เฮยซือแกหุบปากไปเลย! ตอนนี้ฉันยังไม่อยากคุยกับแก! ถ้าย้อนเวลากลับไปอีกครั้งงั้นหรอ! ถ้าย้อนเวลากลับไปได้อีกครั้ง…ฉันก็คงน่าจะ…”

“ยัยหมาเลว! อย่าคิดว่าเข้าไปในสมองฉันแล้วจะทำอะไรก็ได้นะ!”

“…โอ๊ย! ห้ามใช้มือของฉันหยิกแก้มฉันนะ!”

………..

“ใช่สิ” หลิงม่อหันไปมองซย่าน่า แล้วถามว่า “ที่รูปร่างเฮยซือประหลาดไปอย่างนี้…”

“ก็เอาเถอะ เราเปลี่ยนคำถามกันดีกว่า สติปัญญาของมันอยู่ในระดับไหนแล้ว?” หลิงม่อเปลี่ยนคำถามที่ยากจะเข้าใจสำหรับตัวเอง

ซย่าน่าเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “น่าจะถึงระดับที่สามารถด่าคนได้แล้วนะ”

“อย่างเช่น?” หลิงม่อเริ่มสนใจ

“โฮ่ง!” ซย่าน่าเลียนเสียงเห่าเบาๆ แล้วยังจ้องหลิงม่อด้วยดวงตาน่าเอ็นดูอย่างตั้งอกตั้งใจ เหลือก็แต่ยื่นอุ้งเท้าออกมาเท่านั้น

“ถึงจะน่ารักมาก…แต่มันแปลว่าอะไร?” หลิงม่อถามอย่างสงสัย

“ช่างเป็นมนุษย์ที่โง่เขลาจริงๆ แค่ทำท่าทางน่าสงสารเข้าหน่อย ก็สามารถหลอกให้ตายใจได้แล้ว…หึหึหึหึ”

สีหน้าของซย่าน่าพลันดูร้ายกาจขึ้นมาทันที น้ำเสียงก็ฟังดูแปลกๆ โดยเฉพาะเมื่อเธอยังคงทำท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูอย่างเมื่อกี้อยู่ ความขัดแย้งที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนอย่างนี้จึงดูแปลกไม่น้อย

หลิงม่อทำหน้ายุ่งแล้วสบตากับซย่าน่าอยู่ครู่หนึ่ง เขาขยับปาก จากนั้นก็พูดว่า “ความหมายของมันยาวจังเลยนะ”

“ใช่ไหมล่ะ?! ยัยหมาตัวเมียนั่น…ความจริงพูดมากจะตาย” สีหน้าของซย่าน่ากลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เธอส่ายหน้ารำพึงรำพัน พร้อมเดินนำไปข้างหน้า

“งั้น…หรอ?”

หลิงม่อขมวดคิ้ว แล้วหันกลับไปเอาไฟฉายส่องตรงลำคออวี๋ซือหราน

ผ้าพันคอผืนนั้น…พูดมากขนาดนั้นเชียวหรอ?

………..

สองนาทีต่อมา พวกหลิงม่อมองเห็นทางออกอยู่ตรงหน้า

ที่นี่น่าจะอยู่ห่างจากห้างฯ ขายมือถือโดยมีทางเดินอย่างน้อยสองเส้นกั้นอยู่ พวกมู่เฉินไม่มีทางตามหามาจนถึงที่นี่

“แต่ว่า…พวกเราต้องให้สัญญาณอะไรพวกเขาหน่อย”

หลิงม่อล้วงวัตถุทรงกลมขนาดเล็กลูกหนึ่งออกมาจากกระเป๋า จากนั้นก็เขาก็เดินข้ามประตูทางออกเป็นคนแรก

—————————————————————————–