ตอนที่ 21 สร้างบารมี (3) / ตอนที่ 22 เจ้าเป็นปีศาจใช่หรือไม่ (1)

เฟิงหรูชิง องค์หญิงหมอเทวดา

ตอนที่ 21 สร้างบารมี (3) 

 

 

ฉินหมัวมัวมองเฟิงหรูชิงด้วยความกลัวและกังวล ความหวาดกลัวในแววตาของนางเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเต็มล้น 

 

 

จุดประสงค์ที่หรงกุ้ยเฟยส่งนางมาคือการหาวิธีกำจัดคนที่อยู่รอบตัวองค์หญิงให้กระเด็นไปที่อื่น ถ้านางถูกไล่กลับไป หรือถูกไล่ออกจากวัง นางต้องตายสถานเดียว เพราะหรงกุ้ยเฟยไม่มีทางปล่อยนางไปแน่! 

 

 

“องค์หญิงโปรดไว้ชีวิตด้วย องค์หญิงโปรดไว้ชีวิตด้วย บ่าวไม่อยากจากองค์หญิงไป ขอองค์หญิงได้โปรดให้อภัยบ่าวสักครั้งเพคะ” ในที่สุดฉินหมัวมัวก็รู้สึกหวาดกลัว นางโขกหัวคำนับไม่หยุดและร้องขอเสียงสั่น 

 

 

เฟิงหรูชิงโบกมือไล่ด้วยความรำคาญ “งั้นก็ลากออกไปตีให้ตายเถอะ” 

 

 

“บ่าว…บ่าว…ไปจากวังหลวงก็ได้เพคะ” 

 

 

ฉินหมัวมัวตกใจจนแทบร้องไห้ออกมา เดิมนางคิดว่าจู่ๆ องค์หญิงก็กลายเป็นคนเมตตากรุณาขนาดนี้ น่าจะใจอ่อนกับนางบ้าง แต่คิดไม่ถึง…องค์หญิงอันธพาลคนนี้ยังคงทำอะไรหุนหันพลันแล่นเหมือนเดิม 

 

 

เฟิงหรูชิงทำมุมปากแบบยิ้มก็ไม่ใช่ไม่ยิ้มก็ไม่เชิง ฉินหมัวมัวคิดหรือว่าเมื่อออกจากวังหลวงไปแล้วจะหมดเรื่อง นางรู้ความลับของหรงกุ้ยเฟยมากเกินไป ผู้หญิงคนนั้น…ไม่มีทางปล่อยนางไปแน่! 

 

 

… 

 

 

ตำหนักหัวชิง 

 

 

หลิวหรงนั่งอยู่บนตั่ง สายตาจ้องเขม็งไปที่นางกำนัลซึ่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น รังสีอำมหิตพุ่งออกมาจากดวงตาของนาง ไม่นุ่มนวลเหมือนตอนมองดูเฟิงหรูชิงดังเช่นอดีต 

 

 

“เฟิงหรูชิงไล่ฉินหมัวมัวออกไปแล้วหรือ” 

 

 

“ทูลพระชายากุ้ยเฟย บ่าวได้ยินเช่นนั้นเพคะ” 

 

 

“ดูท่าตั้งแต่ชิงเอ๋อร์ฟื้นกลับมา นางเปลี่ยนไปมากจริงๆ” 

 

 

หลิวหรงมองต่ำ มือที่วางอยู่ข้างเข่าทั้งสองกำแน่นอย่างไม่รู้ตัว 

 

 

เล็บทิ่มเข้าไปที่กลางฝ่ามือของนาง เป็นความรู้สึกเจ็บปวด 

 

 

เฟิงหรูชิงเคยสลบไปครั้งหนึ่ง เมื่อฟื้นขึ้นมา กลับกลายเป็นคนที่บงการยากเสียแล้ว 

 

 

“วันนี้ชิงเอ๋อร์ออกไปไหนมาบ้าง” ถามขึ้นหลังพูดงึมงำกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง 

 

 

“พระชายากุ้ยเฟย นอกจากไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว องค์หญิงยังไปที่ป่าไผ่ทิศใต้…” 

 

 

ป่าไผ่ทิศใต้? 

 

 

ปัง! 

 

 

หลิวหรงตบโต๊ะอย่างแรงแล้วลุกยืนขึ้น ขณะที่นางกำลังจะฟาดงวงฟาดงา ก็นึกขึ้นได้ว่าที่นี่คือวังหลวง 

 

 

นางทำได้แค่อดทนเก็บเพลิงโทสะไว้ภายใน พูดทั้งคิ้วขมวด “ชิงเอ๋อร์นี่จริงๆ เลยนะ กั๋วซือร้ายกาจแบบนั้น ทำไมนางถึงไปป่าไผ่ทิศใต้โดยพลการ” 

 

 

เด็กคนนี้สมควรตาย ทั้งๆ ที่หลิวหรงขู่นางไว้อย่างนั้นแล้ว แต่นางยังไปที่ป่าไผ่ทิศใต้อีก! 

 

 

ไม่ได้ นางต้องไปพบเฟิงหรูชิง ความเปลี่ยนแปลงของเด็กคนนี้ทำให้นางอดกระวนกระวายใจไม่ได้ 

 

 

“พวกเจ้าไปตำหนักอู๋โยว ข้าจะไปพบชิงเอ๋อร์” 

 

 

ตำหนักอู๋โยว เป็นตัวแทนของสิ่งที่อยู่ในใจของฝ่าบาทที่หวังให้ลูกสาวสุดที่รักได้มีชีวิตที่อยู่เย็นเป็นสุขและไร้กังวล 

 

 

แต่พระเมตตาแบบนี้ ซวงเอ๋อร์ลูกสาวของหลิวหรงไม่เคยได้รับ 

 

 

หลิวหรงกำมือแน่น แววตาเด็ดเดี่ยว 

 

 

ไม่ว่าพระเมตตาของฝ่าบาทหรือตำหนักอู๋โยวนั่น ภายภาคหน้า…จะต้องเป็นของซวงเอ๋อร์ลูกสาวนาง จะไม่มีใครมาแย่งซวงเอ๋อร์ได้! 

 

 

หากการเลี้ยงเฟิงหรูชิงให้เสียคนใช้ไม่ได้ผล งั้นนางจะใช้วิธีการอื่นๆ เพื่อกำจัดหนามยอกอกนี้เสีย! 

 

 

น่าเสียดาย พอหลิวหรงไปถึงตำหนักอู๋โยวจึงได้รู้ว่าเฟิงหรูชิงกับนางกำนัลสองคนออกจากวังหลวงไปแล้ว นางมาเสียเที่ยว ทำได้เพียงมองดูตำหนักอู๋โยวด้วยความเจ็บใจ ก่อนหันหลังเดินจากไป 

 

 

… 

 

 

ที่ถนนทิศใต้ มีบ้านพักดูภูมิฐานและมีกลิ่นอายแบบโบราณตั้งตระหง่านอยู่กลางช่วงถนน 

 

 

บนป้ายหน้าประตูบ้านพักแบบโบราณหลังนี้สลักคำว่าจวนองค์หญิงสามพยางค์ไว้ ประกายสีทองแวววับ ดึงดูดสายตาผู้คน 

 

 

“เสด็จพ่อจัดการให้รวดเร็วเหลือเกิน เพิ่งผ่านไปเพียงครึ่งวัน ก็เตรียมบ้านพักให้ข้าเรียบร้อยแล้ว” เฟิงหรูชิงเอามือจับคาง “แต่ว่าป้ายประตูนี่ดูเชยชะมัด หลิวลี่ เดี๋ยวเจ้าให้คนเอาป้ายใหม่มาเปลี่ยนที” 

 

 

พอนางพูดจบก็เดินเข้าจวนองค์หญิงไป 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 22 เจ้าเป็นปีศาจใช่หรือไม่ (1) 

 

 

หุบเขาเวิ้งว้างและเมฆขาวประปราย 

 

 

ฝูเฉินใช้มือเท้าแก้มน้อยๆ ที่ขาวผ่อง มองดูท้องฟ้าสายตาเหม่อลอย 

 

 

ในตอนนั้นเอง ท้องก็ส่งเสียงดังโครกออกมา เขาเบ้ปากเอามือลูบท้องแฟ่บๆ ท่าทีน่าสงสาร 

 

 

“ชิงหาน ทำไมพ่อแม่ผู้เลี้ยงดูของพวกเรายังไม่มาสักทีนะ ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว” 

 

 

เมื่อพูดจบ เขารู้สึกวิญญาณสั่นสะท้าน จากนั้น ภาพเงาอันอวบอ้วนก็ปรากฏสู่สายตาของเขา ฝูเฉินลุกขึ้นด้วยความดีใจ เขาเหมือนหมาดุ นัยน์ตามีประกายน้อยๆ ชิงหานมาหลบอยู่ข้างหลังฝูเฉิน ดวงตาทั้งสองมองดูเฟิงหรูชิงด้วยความหวาดกลัว นัยน์ตาแสดงถึงความขี้ขลาด 

 

 

มนุษย์คนนี้…ดุร้ายเหลือเกิน นางน่ากลัวมาก… 

 

 

“พ่อแม่ผู้เลี้ยงดู เจ้าจะเริ่มปลูกยาวิเศษแล้วใช่หรือไม่” 

 

 

แม้ในใจของฝูเฉินจะรู้สึกหวาดกลัว แต่ความหิวโหยของเขามันอยู่เหนือความหวาดกลัวที่เขามีต่อเฟิงหรูชิงมาตั้งนานแล้ว เขามองดูเฟิงหรูชิงด้วยท่าทางที่น่าสงสาร แววตาแบบนั้นช่างเป็นไปได้ยากที่จะไม่มีคนรักและเห็นใจ 

 

 

“ฝูเฉิน เรามาตกลงกันเรื่องหนึ่ง” เฟิงหรูชิงยิ้มหยีระหว่างเดินเข้าหาฝูเฉิน 

 

 

ฝูเฉินกลืนน้ำลายแต่เหมือนจะติดคอ ไม่รู้ว่าตัวเองคิดไปเองหรือเปล่า มักรู้สึกว่ามนุษย์หญิงคนนี้มีเจตนาแอบแฝงบางอย่าง เหมือนกับกำลังคิดเรื่องเลวๆ อะไรอยู่ 

 

 

“เรื่องอะไรหรือ” 

 

 

“ดูสิ พวกเจ้าให้ข้าปลูกยาวิเศษให้พวกเจ้า ก็เท่ากับให้ข้าทำงานใช้แรงให้โดยไม่ต้องจ่ายค่าจ้าง แต่อาศัยกำลังของข้าแค่คนเดียว คงปลูกยาได้ไม่เยอะหรอกนะ ดังนั้น พวกเจ้ามีวิธีอะไรทำให้คนอื่นมาช่วยข้าบ้างหรือไม่” 

 

 

วิธีการปลูกยาวิเศษถือเป็นความลับสุดยอด ไม่สามารถสอนให้ใครก็ได้ตามใจชอบ แต่ว่า…นางคนเดียวกำลังมีจำกัด ไม่มีทางปลูกยาวิเศษได้มากนัก ขณะนั้นยาวิเศษที่นางปลูกได้ก็มีพอแค่ให้สองคนนั้นได้กินอิ่ม 

 

 

นั่นไม่เท่ากับเปลืองแรงเปล่าหรือ 

 

 

เรื่องขาดทุนแบบนี้ นางไม่ยอมทำแน่ๆ 

 

 

ฝูเฉินอึ้งไป “แต่ว่าวิธีการปลูก ข้าสอนให้เจ้าได้แค่คนเดียวเท่านั้น อีกอย่างพลังจิตของคนอื่นมีไม่มากพอ พวกเขาอาจทำไม่เป็น” 

 

 

“งั้นก็ช่างเถอะ” เฟิงหรูชิงยักไหล่ “ถ้าข้าอยากลดความอ้วน ยังมีวิธีการอย่างอื่นอีก ส่วนเรื่องการเพิ่มกำลังความสามารถ ข้าใช้ความพยายามก็น่าจะทำได้สำเร็จ เพราะถึงยังไงถ้าตอนนั้นยาวิเศษมีไม่พอ ข้าก็ไม่มีทางได้ใช้มัน สู้ไม่ทำเสียเลยจะดีกว่า” 

 

 

ฝูเฉินเคยพูดไว้ ยาวิเศษที่พวกเขากินเหลือถึงจะตกเป็นของนาง แต่ถ้าพวกเขากินไม่เหลือแม้แต่ต้นเดียวล่ะ แบบนี้นางไม่ขาดทุนแย่หรือ 

 

 

“เดี๋ยวก่อน!” ฝูเฉินเห็นเฟิงหรูชิงกำลังจะจากไป จึงรีบคว้าชายเสื้อของนางเอาไว้ 

 

 

เฟิงหรูชิงขมวดคิ้วเบาๆ แล้วหันมามองฝูเฉิน “เจ้ายังมีเรื่องอะไรอีกหรือ” 

 

 

สีหน้าของฝูเฉินแฝงความรู้สึกยุ่งเหยิง เขาลังเลอยู่สักพักก่อนที่จะหยิบตำราเก่าๆ เล่มหนึ่งออกมาจากอกด้วยความระมัดระวัง 

 

 

ตำราเล่มนี้มีอายุมานานเป็นร้อยปี กระดาษเปลี่ยนเป็นสีเหลืองน้ำตาล หน้าปกเป็นสีสำริด ดูทรงคุณค่ายิ่งนัก 

 

 

“นี่เป็นตำราฝึกสัตว์ เจ้าใช้แรงงานพวกสัตว์วิเศษในการปลูกยาวิเศษได้ พลังจิตของพวกมันมีความแข็งแกร่ง พวกมันเป็นแรงงานชั้นดี แต่ว่า…เจ้าต้องทำสัญญากับพวกสัตว์วิเศษก่อนจึงจะถ่ายทอดวิธีการปลูกยาให้พวกมันได้” 

 

 

ในทวีปนี้ นอกจากมนุษย์แล้ว ยังมีสถานที่ที่เป็นที่อยู่ของพวกสัตว์วิเศษ แต่ไรมามนุษย์กับสัตว์วิเศษต่างไม่ยุ่งเกี่ยวกันและไม่ค่อยไปมาหาสู่กัน 

 

 

มีเพียงมนุษย์บางคนที่กำลังความสามารถแข็งแกร่งเพียงพอ ถึงจะใช้สัตว์วิเศษเป็นสหายร่วมรบได้ สำหรับคนธรรมดา แม้แต่ขนของสัตว์วิเศษก็คงไม่มีวันได้สัมผัส…