“เบเลซักปฏิเสธว่าข้าไม่ใช่ลอมบาร์เดียค่ะ ข้าจึงไม่อาจอดทนได้”

 

“ไม่ใช่เพราะล้อว่าเจ้าชั้นต่ำ แต่เป็นเพราะบอกว่าเจ้าไม่ใช่ลอมบาร์เดีย ถึงได้ตบตีอย่างนั้นหรือ”

 

“ค่ะ”

 

เธอพยักหน้าตอบ หลังจากนั้นก็ตั้งใจพูดเสริมต่ออีกหนึ่งคำ

 

“ท่านปู่”

 

หมายความว่า ‘ข้าเองก็เป็นหลานของท่านปู่นะคะ’

 

อยากจะบอกออกไปว่าเธอเองก็มีสิทธิ์มากเท่าๆ กับเบเลซักที่จะเรียกท่านว่าปู่

 

และในตอนนั้นเองเธอก็ได้เห็นว่าบนใบหน้านิ่งของท่านปู่ที่ดูเหมือนโกรธเคืองนั่น มีรอยยิ้มจางพาดผ่าน

 

“เข่าไม่เจ็บหรือไง”

 

ในตอนนั้นเองถึงได้ก้มมองดูเข่าของตัวเองเมื่อได้ยินคำพูดของท่านปู่

 

เลือดไหลรินออกมาจากตรงตำแหน่งที่ล้มกระแทก

 

“เจ็บสิคะ”

 

“แต่ไม่ร้องไห้เลยนะ เป็นเด็กขี้แยขนาดนั้นแท้ๆ”

 

คำพูดนี้ของท่านปู่ทำให้เธอแทบอยากกรีดร้องหาพระเจ้า

 

ฟีเรนเทียที่เคยเป็นเด็กขี้แยจนถึงเมื่อวานนี้ จู่ๆ ดันเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ท่านปู่จะคิดว่ามันแปลกหรือเปล่า

 

เธอตื่นตระหนกเล็กน้อยรีบตอบกลับไป

 

“ร้องค่ะ พูดเรื่องที่อยากพูดจบแล้ว ก็จะกลับไปร้องที่ห้องค่ะ”

 

“หึ”

 

ได้ยินเสียงท่านพ่อหัวเราะแผ่วเบาดังขึ้นเหนือศีรษะ

 

ในขณะเดียวกันบรรยากาศตึงเครียดก็เริ่มคลายตัวลง

 

โล่งอกไปที

 

เธอแอบลอบถอนหายใจไม่ให้ใครเห็น

 

เพื่อที่เธอจะได้กลายเป็นเจ้าตระกูล สิ่งแรกที่ต้องทำให้ได้ก็คือ การได้รับความไว้วางใจจากท่านปู่

 

ราชาแห่งลอมบาร์เดียคือ ท่านปู่

 

ตั้งแต่เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ของตระกูลไปจนถึงเรื่องผู้สืบทอด ทั้งหมดจะเป็นไปตามความตั้งใจของท่านปู่ทุกเรื่อง

 

พูดง่ายๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการได้รับความรักจากท่านปู่นั่นเอง

 

ถึงแม้เบเจอร์กับคนอื่นๆ ในตระกูลจะไม่พอใจในตัวเธอ แต่ถ้าหากเธอได้รับความรักจากท่านปู่แล้วละก็ พวกนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรได้

 

ในลอมบาร์เดียแห่งนี้ หากถูกท่านปู่เมินก็ไม่ต่างอะไรจากการตายไปจากสังคม

 

เรื่องที่ทะเลาะกับเบเลซักอาจจะเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่โชคร้ายกลับกลายเป็นโชคดี

 

กำลังกลุ้มใจอยู่เลยว่าจะเรียกร้องความสนใจจากท่านปู่ด้วยวิธีไหน ดูเหมือนว่าเธอจะได้ใช้โอกาสนี้ทำให้ท่านปู่ประทับใจเสียแล้วสิ

 

“คือว่า ท่านพ่อ ข้าคงจะต้องพาเทียไปรักษาบาดแผลแล้วละครับ”

 

ท่านพ่อเอ่ยพูดกับท่านปู่อย่างระมัดระวัง

 

“อืม ได้ เอาตามนั้น พาไปเถอะ”

 

เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ก็รีบหนีกันเถอะ

 

แต่แล้วในตอนที่เธอตั้งใจจะจับมือท่านพ่อ

 

“เดี๋ยวก่อน”

 

ท่านปู่ก็เอ่ยเรียกเธอไว้

 

อา อะไรอีกล่ะคะ

 

“ฟีเรนเทีย หนังสือนี่ของเจ้าอย่างนั้นหรือ”

 

ท่านปู่หยิบหนังสือที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมาส่งให้เธอพลางเอ่ยถาม

 

หนังสือเล่มหนาชื่อ <ผู้คนทางใต้> มองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่หนังสือนิทานที่เด็กๆ อ่านมันเป็นหนังสือที่แพงและล้ำค่ามาก

 

ชั่วขณะเธอถึงกับผวาเฮือก เพราะเผลอลืมเรื่องหนังสือไปเสียสนิท และเธอก็รู้ด้วยว่าท่านปู่คิดยังไงกับคนที่สุ่มสี่สุ่มห้ามายุ่มย่ามกับหนังสือพวกนี้

 

เธอตั้งใจว่าจะยอมรับออกไปก่อน ในเมื่อท่านปู่ก็ทราบหมดแล้วว่าเธอใช้หนังสือเล่มนี้ตบตีไอ้เบเลซัก ยังไงก็ไม่มีรูให้เธอมุดหนีรอดไปได้อยู่แล้ว

 

“ค่ะ หนังสือของข้าเองค่ะ…”

 

เธอรับหนังสือกลับคืนมาด้วยมือสองข้างพลางเอ่ยตอบ

 

“ขออภัยค่ะ”

 

“หืม?”

 

ท่านปู่มองเธอแปลกๆ

 

อะไรกัน ไม่โกรธเหรอ

 

“ขอโทษเรื่องอะไรกันล่ะ”

 

“คือว่า เรื่องที่ยุ่งกับหนังสือแถมยังดูแลมันไม่ดี เพราะหนังสือเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดความรู้ ไม่ใช่ของที่จะเอามาตบตี ไม่สิ ไม่ใช่ของที่จะเอามาใช้ทำร้ายคนค่ะ”

 

“ก่อนหน้านี้ไม่ได้บอกว่าเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดไม่ใช่หรือ”

 

ความจำดีจังเลยนะคะ

 

เธอแสร้งทำเป็นใสซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราว ก่อนจะเอ่ยตอบ

 

“ข้าคิดว่า การยอมรับในทันทีที่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดเป็นวิธีที่ดีค่ะ”

 

“ฮ่าฮ่า”

 

ท่านปู่ส่งเสียงที่เธอไม่แน่ใจว่าท่านกำลังหัวเราะอยู่ใช่หรือเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวกับท่านพ่อ

 

“รีบพาฟีเรนเทียไปหาหมอเถอะ”

 

ตระกูลลอมบาร์เดียมีหมอประจำตระกูลอยู่พวกเรามีโรงแพทย์เล็กๆ ที่เอาไว้ใช้สอนพวกลูกศิษย์โดยทางตระกูลเป็นผู้ให้การสนับสนุน ให้พวกเขาใช้มันทำการทดลองค้นคว้าไปพลางช่วยรักษาผู้คน

 

“ครับ ท่านพ่อ”

 

ท่านพ่อก้มลงมองหัวเข่าของเธอที่เลือดไหลซิบ ก่อนจะอุ้มตัวเธอขึ้น การที่ท่านพ่ออุ้มลูกสาวที่อายุเจ็ดขวบมันเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่สำหรับเธอที่มีจิตวิญญาณของผู้หญิงโตเต็มวัย การถูกคนอื่นอุ้มแบบนี้มันค่อนข้างน่ากระอักกระอ่วนใจอยู่ไม่น้อย

 

แถมอีกฝ่ายยังเป็นท่านพ่อที่เสียไปนานมากแล้วจนไม่สามารถพบหน้ากันได้อีกครั้งเสียด้วย

 

“แต่ท่านพ่อ! จะจบเรื่องนี้แบบนี้หรือครับ ฟีเรนเทียทำร้ายเบเลซักจนเจ็บหนักขนาดนี้เลยนะครับ!”

 

เบเจอร์ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ ตะโกนเสียงสูงคล้ายกับรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก

 

“ฟีเรนเทียจะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้นะครับ! ”

 

แหม ไอ้งั่งนี่

 

เธอฝังใบหน้าลงบนไหล่ของท่านพ่อ พยายามอดกลั้นเอาไว้

 

ไม่ว่าจะตอนนี้หรือในอนาคต ก็ยังเป็นคนที่ไม่สามารถประเมินสถานการณ์ได้เหมือนเคยเลยนะ

 

“นี่เจ้ากำลังโต้เถียงคำตัดสินของข้าอย่างนั้นหรือ”

 

เสียงของท่านปู่กลับมาโหดเหี้ยมอีกครั้ง

 

“มะ…ไม่ใช่แบบนั้น…”

 

“เบเจอร์”

 

“…ครับ ท่านพ่อ”

 

“รู้จักอายบ้างเถอะ”

 

ท่านปู่ทิ้งเอาไว้เพียงแค่คำพูดประโยคนั้น ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องทำงาน

 

เบเจอร์ที่ถูกทิ้งไว้ได้แต่กัดฟันกรอด แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้

 

“ถ้าอย่างนั้นพวกข้าขอตัวก่อนนะครับ”

 

ท่านพ่อกล่าวลาทุกคนทั้งๆ ที่ยังอุ้มเธอเอาไว้

 

นึกว่าจะเดินออกไปทันทีเสียอีก แต่ท่านกลับหยุดชะงักตอนที่เดินผ่านข้างเบเจอร์ แล้วเอ่ยพูดอีกประโยค

 

“ท่านพี่ แค่เด็กๆ ทะเลาะกัน โวยวายเสียใหญ่โตเกินไปหรือเปล่าครับ”

 

“วะฮ่าฮ่า! ”

 

เธอรีบยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดปากตัวเอง

 

ท่านพ่อแค่ตอบกลับไปเหมือนอย่างที่ลุงใหญ่เคยพูดทุกครั้งที่เบเลซักกลั่นแกล้งเธอเท่านั้นเอง

 

“แก!”

 

เบเจอร์โมโหจนไม่รู้จะทำยังไง แต่ท่านพ่อของเธอก็แค่ตีหน้านิ่งไม่รู้สึกรู้สาอะไร แล้วเดินผ่านไป

 

เธอโอบกอดรอบคอของท่านพ่อ หันหลังกลับไปมองเบเลซัก

 

ทันทีที่เด็กนั่นสบตาเธอไหล่ของเขาก็สั่นเทิ้มไปหมด

 

จากใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้ม เธอแสยะยิ้มชั่วร้าย ขยับปากพูดโดยไม่มีเสียง

 

‘เอา.ไว้.เจอ.กัน’

 

จู่ๆ เด็กที่นิ่งเงียบก็ระเบิดเสียงร้องไห้ดัง ‘ฮือออ’ แต่เธอไม่คิดที่จะสนใจหรอก เธอถูไถใบหน้าลงในอ้อมกอดของท่านพ่อที่แสนคิดถึง ดื่มด่ำกับช่วงเวลานี้

 

อา กลิ่นของท่านพ่อ หอมจัง