บทที่ 8 หรือว่าความสามารถของข้าเสื่อมลง

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 8 หรือว่าความสามารถของข้าเสื่อมลง
สวนหมื่นวิญญาณ สถานที่แห่งนี้คือตลาดซื้อขายแร่วิญญาณที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรต้าเหยียน

อิทธิพลของที่แห่งนี้แผ่ไปถึงหลายอาณาจักรโดยรอบ ในสวนมีเสือหมอบมังกรซ่อน และก็เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับพวกเสิ่นเทียนทั้งสามคนที่ออกจากวังมาหาประสบการณ์ในครั้งนี้

สามวันก่อน เสิ่นเทียนค้นพบวิธีการยกระดับดวงชะตาของตนเองให้สูงขึ้น นั่นก็คือการผูกวาสนาร่วมกับผู้มีโชคอันประเสริฐ

ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจจะออกตามหาผู้มีโชคอันประเสริฐจำนวนมาก และคิดหาวิธีพึ่งโชคลิขิตของผู้อื่น

ทว่าหลังจากทดลองอยู่สามวัน เสิ่นเทียนจำต้องยอมรับว่าทั่วทั้งพระราชวังอาณาจักรต้าเหยียนมีเพียงไม่กี่คนที่ต้อนรับเขา

ไม่ว่าจะเป็นพระสนมซู พระสนมหวา พระสนมเต๋อ หรือองค์ชายเจ็ด องค์ชายแปด องค์หญิงเก้า…

ทุกครั้งที่เสิ่นเทียนต้องการไปเยี่ยมเยียนพวกเขา คนเหล่านี้ก็จะบอกเสมอว่า ‘รู้สึกไม่สบายตัว’ ‘ออกจากวังไปแล้ว’ หรือ ’ไม่สะดวกพบหน้า’

สิ่งนี้ทำให้เสิ่นเทียนอดไม่ได้ที่จะหดหู่ใจอย่างยิ่ง

ทว่าการค้นพบใหม่อีกอย่าง ทำให้เสิ่นเทียนมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง

นั่นก็คือไม่เพียงแต่ผู้มีโชคอันประเสริฐเท่านั้นถึงจะมีโอกาสพบโชคลิขิต

คนที่มีโชคชะตาสีเขียวหรือแม้กระทั่งสีขาว ก็มีโอกาสพบโชคลิขิตเช่นกัน

เพียงแต่ความเป็นไปได้น้อยมาก ยิ่งไปกว่านั้นระดับคุณค่าของมันก็ค่อนข้างต่ำด้วย

เมื่อวานเสิ่นเทียนสังเกตเห็นวงรัศมีโชคลิขิตบนตัวของนางกำนัลที่มีโชคชะตาสีขาวคนหนึ่ง

ภาพแสดงให้เห็นว่านางกำนัลที่ชื่อเซี่ยเหอจะเก็บไข่มุกราตรีเม็ดหนึ่งได้ในอุทยานหลวง มีมูลค่าสูงถึงหลายพันตำลึงเงิน

ด้วยเหตุนี้เสิ่นเทียนจึงไปเก็บไข่มุกเม็ดนั้นมาก่อน จากนั้นก็นำไปมอบให้นางกำนัลผู้นั้น

ปรากฏว่าวงรัศมีที่อยู่เหนือศีรษะของนางกำนัลคนนั้นสว่างขึ้น และยังมีแสงสีเขียวจางๆ ปรากฏด้วย

และไอดำเหนือศีรษะของเสิ่นเทียนก็ลดลงไปเล็กน้อย

การค้นพบนี้ทำให้เสิ่นเทียนดีใจอย่างยิ่ง แม้แต่อ้อมกอดของนางกำนัลก็ยังรีบผลักไสไม่สนใจ

เขาลากกุ้ยกงกงและฉินเกาออกมา เอะอะจะออกจากวังไปให้ได้

……

ในเมื่อพบว่าคนธรรมดาก็มีโอกาสพบโชคลิขิตเช่นกัน

เสิ่นเทียนย่อมต้องเลือกไปยังสถานที่ที่โชคลิขิตมีโอกาสปรากฏขึ้นสูงที่สุด เพื่อเพิ่มระดับโชคชะตาให้กับตนเอง!

และสวนหมื่นวิญญาณก็คือสถานที่ที่มีความเป็นไปได้ที่จะมีโชคลิขิตปรากฏอย่างไร้ขีดจำกัด

ทุกคนล้วนทราบกันดีว่าในโลกบำเพ็ญเซียน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ‘วิธีการ ทรัพย์ สหาย และหลักแหล่ง’

‘ทรัพย์’ ในที่นี้หมายถึงทรัพยากรในการฝึกบำเพ็ญ และในนั้น ‘ศิลาวิญญาณ’ คือสิ่งที่สำคัญที่สุด

ในศิลาวิญญาณประกอบไปด้วยพลังวิญญาณมากมาย เป็นวัสดุสิ้นเปลืองที่ผู้บำเพ็ญเซียนนำมาใช้ในการฝึกบำเพ็ญ สามารถช่วยเพิ่มความเร็วในการฝึกบําเพ็ญของผู้บำเพ็ญเซียนให้เร็วขึ้นอย่างมาก

พรสวรรค์ที่เหมือนกัน วิชายุทธ์ที่เหมือนกัน ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญของผู้ที่มีศิลาวิญญาณกับผู้ที่ไม่มีศิลาวิญญาณสามารถแตกต่างกันถึงสิบเท่าขึ้นไป

ด้วยเหตุนี้สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนส่วนใหญ่แล้ว ศิลาวิญญาณจึงกลายเป็นวัตถุที่พวกเขาใฝ่หาตลอดทั้งชีวิต

เหมืองหินแร่วิญญาณคือต้นกำเนิดที่สามารถผลิตศิลาวิญญาณได้

ผู้บำเพ็ญเซียนขุดหินแร่วิญญาณออกจากเหมือง จากนั้นผ่าเอาศิลาวิญญาณเนื้อหยาบออกมา หลังจากแปรรูปแล้ว ก็จะกลายเป็นศิลาวิญญาณที่ได้ขนาดมาตรฐาน

แต่ไม่ใช่หินแร่วิญญาณทุกก้อนที่จะผ่าออกมาเป็นศิลาวิญญาณได้

หินแร่วิญญาณบางก้อนดูเหมือนจะเปี่ยมล้นไปด้วยพลังวิญญาณ แต่ผ่าออกมาแล้วกลับพบว่าด้านในมีเพียงเศษศิลาวิญญาณบางส่วน มูลค่าต่ำมาก

หินแร่วิญญาณบางก้อนดูจากรูปลักษณ์ภายนอกไม่มีอะไรพิเศษ แต่เมื่อผ่าออกมากลับเป็นศิลาวิญญาณระดับกลางหรือกระทั่งระดับสูง มีมูลค่าสูงยิ่งนัก

ถึงขั้นมีคำเล่าลือว่าในสำนักบำเพ็ญเซียนสายหลักบางส่วน มีคนผ่าหินแร่วิญญาณเจอสมบัติวิเศษระดับสูง คัมภีร์ล้ำค่า หรือเทพธิดาที่หลับใหลอยู่

นี่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้

เพราะในโลกบำเพ็ญเซียน มีคำกล่าวที่ว่า ‘ของล้ำค่ามักไม่เผยตัว’ มาโดยตลอด

สมบัติวิเศษและคัมภีร์ที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้นมีกฎเกณฑ์มหามรรคาแฝงอยู่ สามารถส่งผลกระทบต่อพลังวิญญาณในฟ้าดิน

ทว่าหากถูกทิ้งไว้ข้างนอกเป็นเวลานานโดยไม่มีเจ้าของ เช่นนั้นสมบัติวิเศษและคัมภีร์เหล่านี้จะดูดซับพลังวิญญาณในฟ้าดินตามธรรมชาติ จนก่อเป็นชั้นป้องกันพลังวิญญาณบนพื้นผิว

หากชั้นป้องกันพลังวิญญาณเหล่านี้อยู่ได้นานมากพอ ก็จะกลายเป็นหินแร่วิญญาณ

ดูผิวเผินเป็นเพียงหินแร่วิญญาณทั่วไปที่ไม่มีอะไรพิเศษ แต่ถ้าหากถูกผ่าออกโดยคนที่มีโชค

ก็มีความเป็นไปได้ที่จะได้รับสมบัติวิเศษที่ยิ่งใหญ่ หรือแม้กระทั่งวิชายุทธ์ไร้เทียมทาน

ในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมา มีผู้คนไม่น้อยที่แข็งแกร่งและผงาดขึ้นได้เพราะโชคดีได้รับโชคลิขิตเช่นนี้!

……

เพราะเหตุนี้เอง สวนหมื่นวิญญาณที่เป็นตลาดซื้อขายแร่วิญญาณจึงถือกำเนิดขึ้น

พ่อค้าในสวนหมื่นวิญญาณจะรับซื้อหินแร่วิญญาณจากทั่วทุกที่ จากนั้นจะนำมาวางบนชั้นวางสินค้า และขึ้นป้ายราคาที่แตกต่างกันไปตามคุณภาพ

ถ้าหากลูกค้ารู้สึกว่าราคาสมเหตุสมผลก็จะซื้อหินแร่วิญญาณ โดยลูกค้าจะเป็นคนลงมือผ่าเองหรือให้ทางร้านค้าผ่าให้ก็ได้

แต่ไม่ว่าสิ่งของที่ผ่าออกมาจะได้กำไรหรือขาดทุน การซื้อขายของลูกค้าและร้านค้าถือว่าเป็นผล จะคืนสินค้าไม่ได้เด็ดขาด

กฎนี้คล้ายคลึงกับการซื้อขายเดิมพันหินแร่ที่เสิ่นเทียนเคยพบเจอเมื่อภพที่แล้ว

หลังจากรู้ว่าคนธรรมดาก็มีความเป็นไปได้ที่จะพบเจอโชคลิขิต สถานที่แห่งแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของเสิ่นเทียนก็คือที่นี่

สถานที่แห่งนี้อาจจะไม่มีผู้มีโชคอันประเสริฐมากนัก แต่โอกาสที่จะมีโชคลิขิตปรากฏขึ้นสูงที่สุดแล้ว

เพราะทั่วทั้งสวนหมื่นวิญญาณ ทุกวันมีผู้คนเข้าออกหลายหมื่น ทุกคนมาเสี่ยงโชคกันทั้งนั้น

ภายใต้จำนวนที่มากเช่นนี้ ถึงในสิบคนมีเพียงหนึ่งคนที่ได้ของดี ก็น่าจะมีโชคลิขิตเต็มไปหมด!

หากเป็นเช่นนี้ เสิ่นเทียนไม่เพียงแต่สามารถกำจัดวงแหวนสีดำที่อยู่เหนือศีรษะทิ้งไปโดยเร็ว

แม้กระทั่งศิลาวิญญาณที่ทั้งสามคนจะนำมาใช้บำเพ็ญเซียนในอนาคตก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไป

นึกถึงตรงนี้ เสิ่นเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเขานี่อัจฉริยะจริงๆ!

……

แต่เมื่อเสิ่นเทียนเดินทางมาถึงสวนหมื่นวิญญาณจริงๆ เขาถึงพบว่าตนเองหวังเอาไว้มากเกินไป

จะเสี่ยงโชคในบ่อนเดิมพันหินไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

แม้สวนหมื่นวิญญาณที่กว้างใหญ่จะมีผู้คนทุกหนทุกแห่ง แต่ทันทีที่เสิ่นเทียนกวาดสายตามองไป กลับพบว่าคนที่มีภาพของโชคลิขิตปรากฏเหนือศีรษะมีน้อยมาก

อีกทั้งดูจากบนภาพ แม้คนเหล่านี้สามารถผ่าได้ศิลาวิญญาณ แต่ส่วนใหญ่ไม่ถือว่าเป็นของมีคุณภาพอะไร

โดยมากเป็นของที่ใช้ศิลาวิญญาณสิบกว่าก้อนซื้อมา แล้วเอามาผ่าขายต่อในราคาที่สูงขึ้น

ถึงแม้จะเป็นศิลาวิญญาณระดับล่างที่ธรรมดาที่สุดในโลกบำเพ็ญเซียน แต่ก็สามารถขายในโลกมนุษย์สูงถึงหนึ่งพันตำลึงเงิน หรือมากกว่านั้น

สามารถทำกำไรศิลาวิญญาณสิบก้อน ก็เท่ากับหนึ่งหมื่นตำลึงเงินแล้ว เพียงพอที่จะให้คนธรรมดาเสพสุขไปชั่วชีวิต

แต่โชคลิขิตเล็กน้อยแค่นี้ ไม่สามารถเติมเต็มความปรารถนาเริ่มแรกของเสิ่นเทียน

ไหนว่าสวนหมื่นวิญญาณมีคนโชคดีเป็นพลุแตกทุกวัน ใช้ศิลาวิญญาณไม่กี่ก้อนผ่าได้ของล้ำค่าสะเทือนฟ้า และเดินไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต!

หรือไม่ก็ต้องได้ทุนคืนกลับมาทั้งหมดไม่ใช่หรือ

ในขณะที่เสิ่นเทียนกำลังสงสัยในชีวิตของตน ฉับพลันนั้นเองมีเสียงอุทานดังขึ้นจากทางตะวันออก

“เสี่ยวหลิงเซียนมาแล้ว!”

หลังจากเสียงนี้ดังขึ้น ก็เกิดความเคลื่อนไหวขึ้นในฝูงชนทันใด

“อะไรนะ เสี่ยวหลิงเซียนมาเปิดแร่อีกแล้ว น้องชายรีบไปแย่งที่นั่งที่ดีที่สุดให้ข้า!”

“รอข้าด้วย ข้าผ่าแร่ก้อนนี้เสร็จจะรีบตามไปทันที!”

“เสี่ยวหลิงเซียนเป็นใคร”

“เสี่ยวหลิงเซียนเจ้าก็ไม่รู้จัก ตกข่าวเกินไปแล้วกระมัง! นางเป็นถึงนักชีพจรวิญญาณที่เก่งกาจที่สุดผู้ ‘ค้นวิญญาณประเมินแร่’ ของสวนหมื่นวิญญาณ”

“ไม่เพียงเท่านั้น นางยังเป็นผู้หญิงที่งามล้ำมากอีกด้วย!”

“หากใครได้แต่งงานกับเสี่ยวหลิงเซียน ชีวิตสุขสบายแน่นอน ไม่เพียงมีหญิงงามอยู่ในอ้อมกอด ทั้งชีวิตก็ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องศิลาวิญญาณอีก”

……

เมื่อฟังคำพูดของคนรอบข้าง เสิ่นเทียนอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกอยากรู้เกี่ยวกับเสี่ยวหลิงเซียนผู้นี้

เขาเดินไปตามฝูงชน ไม่นานก็เห็นเสี่ยวหลิงเซียนตัวจริงที่หน้าร้านค้าแร่วิญญาณแห่งหนึ่งชื่อว่า ‘ร้านวิญญาณสวรรค์’

นางเป็นเด็กสาวในชุดกระโปรงยาวสีมรกต แม้มองไม่เห็นใบหน้าของนางเนื่องจากหันหลังให้เสิ่นเทียน แต่เพียงแค่มือคู่งามที่เรียวยาวราวกับต้นหอม เอวที่บางราวกับต้นหลิว ก็เพียงพอที่จะปลุกเร้าจินตนาการอันไร้ขีดจำกัด ชวนให้รู้สึกว่าลึกลับน่าค้นหายิ่งนัก

จินตนาการได้ไม่ยากว่า ใบหน้าของแม่นางผู้นี้ต้องงามหยาดเยิ้ม ล่มชาติล่มเมืองแน่

ทว่าสิ่งที่เสิ่นเทียนสนใจในเวลานี้กลับไม่ใช่เรือนร่างและรูปลักษณ์ของแม่นางผู้นี้ แต่เป็นวงรัศมีที่อยู่เหนือศีรษะของนาง

โชคชะตาของเด็กสาวที่ชื่อเสี่ยวหลิงเซียนผู้นี้ไม่เลวเลยจริงๆ วงรัศมีที่อยู่เหนือศีรษะของนางเป็นสีแดงเข้ม

ถึงแม้มีแสงสีเขียวปะปนอยู่จางๆ แต่ก็ใกล้เคียงกับระดับวงรัศมีของฉินเกา ดีกว่าของเชื้อพระวงศ์และขุนนางหลายคนมากโข

แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายของเสิ่นเทียนคือ บนเหนือศีรษะของนางไม่มีภาพของโชคลิขิตปรากฏขึ้นแต่อย่างใด

นี่ทำให้เสิ่นเทียนอดสงสัยอย่างยิ่งไม่ได้

‘ตามหลักแล้วหากมีโชคลิขิต มันก็จะปรากฏขึ้นเหนือศีรษะอย่างแน่นอน

หรือว่าต่อจากนี้ไป เสี่ยวหลิงเซียนจะไม่สามารถเปิดหินแร่ดีๆ ได้แม้แต่ชิ้นเดียว

หรือจะบอกว่า ความสามารถของข้าใช้กับนางไม่ได้ผล?’

…………………………………………….