บทที่ 12 บอกว่านางมีชีวิตรอดนางก็ต้องรอดสิ

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

ชาติที่แล้วมือของหลินชิงเวยถือมีดผ่าตัด นั่นเป็นมีดผ่าตัดที่ใช้เพื่อช่วยชีวิตมนุษย์ เวลานี้ในมือของนางคือไม้กระบอง เป็นสิ่งของที่นำมาทำร้ายผู้อื่น หญิงสาวสองคนก่อนหน้านี้ที่ถูกนางตีนั้นยังมีความปรานีอยู่บ้าง ด้วยนางยังมิได้ถูกบีบบังคับให้อับจนหนทางเช่นนี้ ทว่าเวลานี้นางถูกบีบคั้นจนไร้ทางเลือก อวัยวะส่วนใดบ้างในร่างกายของคนเราที่ถูกโจมตีอย่างง่ายดายเพียงครั้งเดียวนางย่อมรู้ดีที่สุด

ทว่าการทะเลาะวิวาทนี้ยังมิได้ดำเนินไปถึงขั้นต่างฝ่ายต่างลงไม้ลงมือ ไม่รู้ว่ามีการมาถึงของใครบางคน บรรยากาศในเหตุการณ์นั้นพลันเปลี่ยนผัน หมัวมัวอาวุโสอายุราวๆ สามสี่สิบปีนางหนึ่งปรากฏกายขึ้นที่นี่ สายตาอันคมปลาบนั้นกวาดผ่านร่างของหลินชิงเวยราวกับมีดเล่มหนึ่ง แล้วค่อยหันไปมองบรรดาหญิงสาวเหล่านั้น หญิงสาวเหล่านั้นพลันอยู่ในกฎในเกณฑ์ขึ้นมาทันที

หมัวมัวอาวุโสกล่าว “ทำอะไรกัน นี่รวมหัวกันมาทะเลาะวิวาทใช่หรือไม่?! เจ้านายของพวกเจ้าไม่รังเกียจที่จะต้องตีคนให้ตายเพิ่มสักคนสองคนเพื่อนำมาปรุงโอสถหรอกนะ ยังไม่รีบแยกย้ายกันอีก”

คนทั้งหมดแยกย้ายกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง หมัวมัวอาวุโสส่งสัญญาณให้หญิงสาวแรกรุ่นสองคนที่ติดตามข้างกายนางมา “นำร่างของสามคนนี้ไปทำให้เป็นน้ำศพเพื่อเป็นปุ๋ยให้กับโอสถของนายท่านเถิด”

หลินชิงเวยก้าวขึ้นไปขวางหน้าร่างของเด็กน้อย หมัวมัวอาวุโสมองนาง นางกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “นางยังไม่ตาย นางยังมีโอกาสรอด”

หมัวมัวอาวุโสใช้สายตาของผู้ที่ผ่านเรื่องราวมามากมายประเมินนาง “นางได้รับบาดเจ็บสาหัสที่สุด เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายเท่านั้น ไม่รอดหรอก”

หลินชิงเวยมองหมัวมัวอาวุโสอย่างไม่ล้มเลิกความตั้งใจ “ข้าบอกว่านางมีโอกาสรอด นางก็ต้องมีชีวิตรอดสิ”

ต่อมาภายหลังหลินชิงเวยจึงได้รู้ว่า ในส่วนที่ลึกที่สุดของตำหนักเย็นยังมีบุคคลผู้มีความสำคัญคนหนึ่งอาศัยอยู่ที่นี่ อีกทั้งดูจากท่าทีกริ่งเกรงของหญิงสาวคลุ้มคลั่งเหล่านั้นที่มีต่อหมัวมัวอาวุโสท่านนี้แล้วก็รู้ หลินชิงเวยรู้จากปากของหมัวมัวอาวุโสว่าเจ้านายของนางนิยมชมชอบเอาคนมาทดลองโอสถ เช่นนั้นในตำหนักเย็นแห่งนี้จะต้องมีสถานที่ที่เป็นแหล่งรวมของโอสถต่างๆ มากมาย

เด็กน้อยได้รับบาดเจ็บสาหัส เงื่อนไขประการแรกคือจำเป็นต้องใช้โอสถ

ดังนั้นหลินชิงเวยจึงมิอาจคิดหน้าคิดหลังอันใดมากมาย ได้แต่ติดตามหมัวมัวอาวุโสไปอย่างหน้าหนา เมื่อไปถึงสถานที่ลึกที่สุดของตำหนักเย็นจึงได้พบกับสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งอุดมไปด้วยพืชสมุนไพรนานาชนิด

ราวกับว่าเจ้านายของหมัวมัวอาวุโสอยากจะดูเช่นกันว่าหลินชิงเวยจะช่วยเด็กน้อยคนนั้นให้รอดชีวิตได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้จึงอนุญาตให้นางใช้ยาสมุนไพรที่อยู่ในสวนสมุนไพรอย่างไม่ตระหนี่ นางไม่ต้องอาศัยให้ผู้อื่นนำทาง ทว่ากลับเลือกเก็บยาสมุนไพรเองอย่างเชี่ยวชาญและคล่องแคล่วว่องไว เมื่อไม่มีเวลาต้มยาให้ดื่ม นางจึงฉีกเสื้อผ้าของเด็กน้อยแล้วนำยาสมุนไพรใส่เข้าไปบริเวณปากแผลของนางเพื่อเป็นการห้ามเลือด

เมื่อแรกนั้นเด็กน้อยได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงเข้าสู่สภาวะหลับลึก หลินชิงเวยถามขึ้นว่า “ที่นี่มีเข็มเงินหรือไม่?”

เครื่องมือทางการแพทย์ในยุคสมัยปัจจุบันนั้นไม่มีแน่นอน นางจึงได้แต่ขอเครื่องมือทางการแพทย์ในยุคสมัยโบราณ หมัวมัวอาวุโสยังไม่ตอบคำ นางก็ชี้ไปทางหมัวมัวอาวุโสพร้อมกับสั่งการโดยไม่ได้เงยหน้า “ยังไม่รีบไปนำออกมาอีกหรือ?”

หมัวมัวอาวุโสได้รับสัญญาณอนุญาตจากเจ้านายของตนจึงไปนำเข็มเงินมา ทันทีที่เปิดกระเป๋าผ้าออก ในนั้นมีเข็มเงินวางเรียงกันอยู่อย่างเป็นระเบียบและแน่นขนัด มีตั้งแต่เข็มใหญ่ไปถึงเข็มเล็ก เข็มยาวไปถึงเข็มสั้น หลินชิงเวยหยิบเข็มเงินมาลนกับเปลวเทียนเพื่อทำการฆ่าเชื้อเล่มหนึ่ง นางฝังเข็มลงไปบนจุดชีพจรของเด็กน้อยด้วยท่าทางทะมัดทะแมงเชี่ยวชาญ รวดเร็วและแม่นยำนั้นทำให้หมัวมัวอาวุโสถึงกับตกตะลึง

ไม่นานนักจุดชีพจรหลายแห่งบนร่างกายของเด็กน้อยล้วนมีเข็มเงินฝังอยู่ หลินชิงเวยใช้วิธีการกระตุ้นสติและร่างกายของเด็กน้อยผ่านจุดชีพจรเหล่านั้น ทำให้นางรู้สึกเจ็บปวด เพื่อให้นางรู้สึกตัวตื่นขึ้นช้าๆ

หลินชิงเวยเห็นนัยน์ตาของนางกลายเป็นสีเทาขาวไร้ซึ่งเรี่ยวแรง จึงรู้ว่านางไม่มีความหวังที่จะมีชีวิตต่อในเวลานี้ หลินชิงเวยจึงจัดการรักษาบาดแผลภายนอกให้นางไปพร้อมกับพูดคุยกับนางไปด้วยเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ

กระทั่งนางทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ข้างนอกก็ต้มยาเสร็จแล้วเช่นกัน นางป้อนยาให้เด็กน้อยดื่มแล้วให้นอนหลับพักผ่อนอย่างสงบ หลังจากนั้นหลินชิงเวยเข้ามาดูอาการของนางทุกๆ หนึ่งชั่วยาม

เด็กน้อยนอนหลับใหลไม่ได้สติเป็นเวลาสองวัน หลินชิงเวยดูแลนางอย่างไม่ให้คลาดสายตาโดยมิได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์เป็นเวลาสองวันเช่นกัน กระทั่งเวลาผ่านไปสองวันอาการตัวร้อนของนางจึงลดลง ร่างกายค่อยๆ กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง