ตอนที่ 13 ร้านเรามิรับซื้อหมูป่า

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 13 ร้านเรามิรับซื้อหมูป่า

“พวกเรามาดูเร็ว สตรีที่มากับท่านเย่นั่นใครกันน่ะ ? ”

“ทั้งรูปร่าง หน้าตา หน้าอกหน้าใจ ช่างน่าหลงใหลเสียจริง ๆ ”

“ใช่ ๆ สตรีนางนี้ช่างงดงามยิ่งนัก ความงามของนางเทียบเคียงกับท่านเซียนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนก่อนหน้านี้ได้เลยนะเนี่ย แค่มิมีท่าทางเหมือนเซียนเท่านั้นเอง”

“พวกเจ้าว่าใช่ภรรยาของท่านเย่หรือเปล่า ? ”

“ใช่แล้ว ข้าเห็นมาตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว อาจจะเป็นไปได้นะ”

เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นทันทีที่เย่ฉางชิงและเยี่ยนปิงซินปรากฎตัว

เย่ฉางชิงที่เดินเอามือไพล่หลังอยู่ด้านหน้าทำราวกับมิได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์นั้น แต่เยี่ยนปิงซินกลับต่างออกไป

นางเป็นผู้บำเพ็ญพรตขั้นสร้างรากฐาน ประสาทสัมผัสทั้งห้าคล่องแคล่วว่องไว จึงได้ยินหัวข้อสนทนาของชาวเมืองได้อย่างชัดเจน

เมื่อได้ยินก็ทำให้แก้มแดงปลั่งราวกับลูกตำลึงสุกขึ้นมาอย่างมิรู้ตัว แต่นั่นยิ่งทำให้นางดูงดงามและมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก

หากเป็นในยามปกติ เยี่ยนปิงซินคงสั่งให้ลูกน้องของนางไปตำหนิหรือสั่งสอนคนพวกนี้อย่างมิลังเล แต่ตอนนี้กลับหาได้เป็นเช่นไม่

ยอดฝีมือที่เดินอยู่ด้านหน้านางยังมิแม้แต่จะสนใจ แล้วเหตุใดนางต้องใส่ใจเสียงนินทาเหล่านี้ด้วยเล่า

อีกทั้งสองวันมานี้การได้พูดคุยกับยอดฝีมือผู้อ่อนโยนท่านนี้ ทำให้นางรู้สึกชื่นชมเขาด้วยใจจริง

ทั้ง ๆ ที่เป็นยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งแต่กลับถ่อมตนยิ่งนัก นอกจากจะเป็นคนง่าย ๆ แล้วยังมีความอดทนต่อเรื่องต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วย

หากได้รับความรักความใส่ใจจากยอดฝีมือท่านนี้ ต่อให้นางต้องอยู่ปรนนิบัติเขา เยี่ยนปิงซินก็จะมิตำหนิเขาแม้แต่น้อย และต่อให้นางเป็นสาวใช้คนหนึ่งของเขา นางก็จะมิลังเลเลย

ส่วนฐานะภรรยาที่ชาวบ้านพูดถึงนั้น นางมิกล้าแม้แต่จะคิดเสียด้วยซ้ำ ต้องเป็นสตรีที่งดงามและปราดเปรื่องถึงเพียงใดกัน ถึงจะเหมาะสมกับยอดบุรุษเช่นนี้ ?

คิดถึงตรงนี้เยี่ยนปิงซินก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังของคนที่อยู่ตรงหน้า

นางทำได้เพียงลอบคิดภายในใจว่า “มิรู้ว่ายอดบุรุษที่อ่อนโยนเช่นท่านเย่ จะมีภรรยาที่งดงามเพียงใดกัน”

เยี่ยนปิงซินแม้จะรู้ว่าตนนั้นมิคู่ควรกับยอดคนตรงหน้าท่านนี้ แต่ในฐานะสตรีผู้หนึ่งแล้วก็อดที่จะใฝ่ฝันถึงมิได้

“ท่านลุงซุน ข้าขอหมูสามชั้น 2 ชั่ง” เย่ฉางชิงเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม เมื่อเดินไปถึงหน้าร้านคนขายเนื้อซุน

คนขายเนื้อซุนมิได้ตัวสูงมากนักแต่ทว่ากลับมีร่างกายที่กำยำ ทั้งตัวของเขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามเฉกเช่นคนทำงานหนัก

แม้บนใบหน้าของเขาจะมีรอยแผลเป็นอยู่ แต่ใบหน้ากลมป้อมนั้นมักจะมีรอยยิ้มอ่อนโยนอยู่เสมอ จึงทำให้เขาดูเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีมิน้อย

คนขายเนื้อซุนเหลือบตามองเยี่ยนปิงซินที่อยู่ด้านหลังของเย่ฉางชิง ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ “ท่านเย่ ท่านไปแต่งภรรยามาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ? ”

“ภรรยา ? ” เย่ฉางชิงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเหลือบตามองเยี่ยนปิงซินที่อยู่ข้าง ๆ พลันส่ายหน้าออกมายิ้ม ๆ “ท่านลุงซุนเข้าใจผิดแล้ว คุณหนูเยี่ยนนางเป็นแขกของข้า นางเพียงมาพักกับข้าชั่วคราวเท่านั้น”

คนขายเนื้อซุนพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเฉือนเนื้อชิ้นใหญ่ส่งให้เย่ฉางชิง แต่มิวายที่จะส่งเสียงกระซิบหยอกล้อว่า “ท่านเย่ สตรีแถวนี้ล้วนแต่หยาบโลน ข้าเกรงว่าร่างกายท่านคงจะรับมิไหวหรอกกระมัง”

“คุณหนูท่านนี้ดูก็รู้แล้วว่ามิใช่คนธรรมดา ทั้งยังงดงามถึงเพียงนี้ ข้าว่าท่านลองคิดดูหน่อยก็ดีนะ ความจริงแล้วผู้ชายกับผู้หญิงนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว”

‘รับมิไหว ? ’

‘หมายความเช่นไรที่บอกว่าร่างกายข้าจะรับมิไหวกันนะ ? ’

‘เป็นบุรุษห้ามพูดคำว่ามิไหวออกมาเป็นอันขาด ! ’

ได้ยินดังนั้น สีหน้าของเย่ฉางชิงก็เข้มขึ้น มุมปากกระตุกอย่างห้ามมิอยู่

‘หากมิใช่เพราะมิมีรากวิญญาณ แถมเป็นผู้ทะลุมิติที่มิมีดัชนีทองคำล่ะก็ ข้าจะอัดสั่งสอนเสียให้เข็ด ! ’

แต่ด้วยฐานะของตัวเอง เย่ฉางชิงจึงทำได้เพียงควักเงินสองตำลึงจากอกเสื้อออกมาวางบนเขียง ก่อนจะส่งยิ้มให้คนขายเนื้อซุนแล้วหมุนตัวเดินจากไป

“ปัง ! ”

เย่ฉางชิงเดินจากไปเพียงมิกี่ก้าว ก็มีสตรีรูปร่างกำยำคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านในร้าน เตะเพียงครั้งเดียวก็ทำให้คนขายเนื้อถึงกับทรุดลงไปกองกับพื้นอย่างง่ายดาย

“ซุนหม่าจือ เมื่อครู่เจ้าพูดอะไรกับท่านเย่ ? ”

“ฮูหยินของข้า ข้ามิได้พูดอะไรเลยนะ”

“ซุนหม่าจือ เจ้าคิดว่าข้าหูหนวกตาบอดงั้นหรือ อะไรที่เรียกว่าสตรีแถวนี้หยาบโลน เจ้าเองแค่ขึ้นเตียงก็อ่อนปวกเปียกแล้ว ยังมีหน้าไปสอนท่านเย่อีกงั้นหรือ ? ! ”

“ฮูหยิน เจ้าฟังข้าอธิบายก่อนสิ”

“อธิบายกับผีน่ะสิ ข้ากำลังคิดว่าจะแนะนำลูกสาวของน้องเขยของน้าสามบ้านข้าให้ท่านเย่อยู่แล้วเชียว แต่เจ้ากลับมาพูดจาหยาบคายต่อหน้าท่านเย่เช่นนี้ได้ วันนี้ข้าจะตีขาเจ้ารวมถึงขาที่สามของเจ้าให้หักเลยคอยดู ! ”

“ฮูหยิน เจ้าเข้าใจข้าผิดแล้ว”

“ฮูหยิน เจ้าอย่าเตะตรงนั้นนะ นี่เป็นของสำคัญในการสืบทอดวงศ์ตระกูล อีกอย่างตอนนี้พวกเรายังมิมีลูกกันเลยนะ”

“ฮูหยิน เจ้าเตะข้าเถอะ อย่าใช้มีดเลยนะ”

“ฮูหยิน ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วจริง ๆ เรามีอะไรค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จากันเถอะนะ…”

ชั่วขณะหนึ่งทั้งเมืองเสี่ยวฉือจึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ

เมื่อซื้อเนื้อเสร็จ เยี่ยนปิงซินและราชันทมิฬก็เดินตามหลังเย่ฉางชิงกลับไปที่ร้านขายของชำ

เดินไปอีกเพียงมิกี่ก้าวเย่ฉางชิงก็ลดฝีเท้าลง แล้วหันมาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “คุณหนูเยี่ยน ชาวเมืองเสี่ยวฉือเป็นคนซื่อ พวกเขาคิดเช่นไรก็พูดออกมาเช่นนั้น บางเรื่องหวังว่าท่านจะมิเก็บไปคิดมากหรอกนะ”

เยี่ยนปิงซินชะงักไปเล็กน้อยแววตาเผยให้เห็นถึงความผิดหวัง แต่ไม่นานก็หยักหน้าพร้อมเอ่ยว่า “ท่านเย่คิดมากไปแล้ว ปิงซินมิสนใจที่พวกชาวบ้านพูดกันหรอกเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” เย่ฉางชิงจึงพยักหน้าให้พร้อมรอยยิ้ม

เยี่ยนปิงซินยิ้มออกมาฝืดเฝื่อนขณะเดินตามเย่ฉางชิงไป

“ใช่แล้วคุณหนูเยี่ยน ท่านบอกว่าอีกมิกี่วันคนที่บ้านท่านก็จะมาตามหาท่าน ข้าเองมิได้มีของดีอะไรที่จะใช้ต้อนรับเลย เช่นนั้นข้าจะทำอาหารขึ้นชื่อของบ้านเกิดข้าให้ท่านลองชิมดูเป็นอย่างไร ? ”

“เช่นนั้นก็ต้องรบกวนท่านเย่แล้วเจ้าค่ะ”

“ที่บ้านเกิดข้ามีประโยคหนึ่งกล่าวว่า ผู้ที่ผ่านมาล้วนเป็นแขก ดังนั้นการต้อนรับแขกก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว”

เย่ฉางชิงและเยี่ยนปิงซินต่างเดินไปพลางคุยกันไปพลาง

จนกระทั่งทั้งคู่เดินมาถึงถนนที่เป็นที่ตั้งร้านขายของชำ ก็พบว่ามีบุรุษรูปงามผู้หนึ่งยืนอยู่ที่ด้านหน้าร้านขายของชำ

บุรุษผู้นั้นสวมชุดผ้าไหมสีเขียวอ่อน ผมของเขายาวลงมาประบ่า บวกกับคิ้วคมเข้มที่พาดเฉียงเหนือดวงตาที่งดงามนั้น ทำให้เขาดูแตกต่างจากคนธรรมดามากทีเดียว

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เย่ฉางชิงและเยี่ยนปิงซินรู้สึกสงสัยก็คือ ใบหน้าที่งดงามของชายหนุ่มผู้นั้นกลับซีดขาว คิ้วเข้มพาดเฉียงคู่นั้นขมวดเข้าหากันแน่น ท่าทางราวกับกำลังพิศวงอะไรบางอย่าง

“คุณหนูเยี่ยน ท่านรู้จักชายผู้นั้นหรือไม่ ? ”

เย่ฉางชิงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหันไปถามเยี่ยนปิงซิน

คิ้วเรียวของเยี่ยนปิงซินก็ขมวดขึ้นเล็กน้อยเช่นเดียวกัน นางพิจารณาบุรุษผู้นั้นตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะส่ายหน้าออกมาเบา ๆ

ในความคิดของนาง บุรุษผู้นี้มีลักษณะองอาจห้าวหาญ ดูก็รู้ว่าจะต้องมิใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน

แต่หากเทียบกับผู้อาวุโสเย่ที่อ่อนโยนแต่มีความลึกล้ำเหลือกำหนดผู้นี้แล้ว ช่างแตกต่างกันราวกับแสงสะท้อนจากเมล็ดข้าวสารกับแสงที่สาดส่องจากจันทรา ไหนเลยจะเทียบเคียงได้

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เย่ฉางชิงและเยี่ยนปิงซินก็รีบก้าวไปยังร้านทันที

เมื่อทั้งสองเดินเข้ามาใกล้จะถึงร้านแล้ว จึงได้เห็นว่าภายในร้านมีสภาพที่แปลกไป

ภายในร้านตอนนี้กลับมีหมูป่าหลายตัวนอนกองอยู่ที่พื้น แต่ละตัวมีรูปร่างใหญ่โตถึงขนาดเรียกว่าจ้าวแห่งหมูป่าก็คงได้ โดยที่ด้านบนบริเวณที่พวกมันนอนกองอยู่นั้น มีภาพราชันทมิฬแขวนอยู่

‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ’

ชั่วขณะหนึ่งเย่ฉางชิงรู้สึกงงงวยไปหมด

“พี่ชาย ข้าว่าท่านเข้าใจผิดแล้วล่ะ ร้านของเรามิรับซื้อหมูป่าหรอกนะ”

เย่ฉางชิงเอ่ยกับบุรุษผู้นั้น

* ชั่ง เป็นหน่วยวัดน้ำหนักของจีน 1 ชั่ง = ครึ่งกิโลกรัม