เล่ม 1 ตอนที่ 10 ข้าต่างหากที่ทิ้งเจ้า!

ราชินีพลิกสวรรค์

“นายน้อย ยามเฝ้าประตูรายงานว่า เย่ว์หนานซีคุณชายน้อยตระกูลเย่ว์มาขอพบคุณชายที่ด้านหน้าขอรับ” ที่ด้านนอกประตูมียามเข้ามารายงาน 

 

 

มาเร็วจริงๆ เจียงหลีกระหยิ่มยิ้มในใจ ในขณะเดียวกันก็มองไปที่ลู่เจี้ยเพื่อรอเขาตัดสินใจ 

 

 

ริมฝีปากแดงน่าดึงดูดของลู่เจี้ยยกยิ้มเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งความสั่นไหวใดๆ “ไม่พบ” 

 

 

ไม่พบ แน่นอนว่าคือไม่ให้พบ 

 

 

แค่ตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลเย่ว์ มีคุณสมบัติอะไรมาขอพบเขา 

 

 

เจียงหลียิ้มในใจไม่หยุด การตัดสินใจของลู่เจี้ยตรงกับความต้องการในใจนางพอดี เย่ว์หนานซีรวมถึงจุดประสงค์ที่ยุ่งเหยิงไม่จบไม่สิ้นของเหอซื่อสองแม่ลูก นางเองก็ขี้เกียจจะรับรู้ 

 

 

“ขอรับ นายน้อย” ผู้อารักขาโค้งคำนับแล้วถอยกลับไป เตรียมนำความการตัดสินใจของลู่เจี้ยไปแจ้งให้ทราบ 

 

 

แต่ทว่าตอนที่เขากำลังจะเคลื่อนกาย ลู่เจี้ยกลับพูดขึ้นมาเสียก่อน “ให้เจ้าไป” นิ้วเรียวยาวน่ามองของเขาชี้ไปที่เจียงหลี 

 

 

เจียงหลีชะงัก ชี้นิ้วกลับมาที่ตนเอง “ข้าหรือ” 

 

 

ลู่เจี้ยเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม 

 

 

เจียงหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดในใจว่าผู้ชายคนนี้คิดจะเล่นอุบายใดอีก 

 

 

“ได้” เจียงหลีไม่ปฏิเสธ หันหลังเดินออกไปพร้อมกับผู้อารักขา 

 

 

ทันทีที่นางเดินออกไป พ่อบ้านผู้นั้นก็ขยับไปยืนข้างกายลู่เจี้ยก่อนจะคำนับและกล่าวรายงาน “นายน้อยตามข่าวที่ให้ไปสืบ หัวหน้าตระกูลเย่ว์เดิมทีเป็นเพียงผู้ฝึกวิชาธรรมดาทั่วไปความสามารถก็ธรรมดาเช่นกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งไปเจอเจียงหลินเฟิงสองสามีภรรยาระหว่างทาง จึงได้ช่วยเหลือเล็กน้อยจนเจียงหลินเฟิงและภรรยารู้สึกซาบซึ้งน้ำใจ ตั้งแต่นั้นมาจึงค่อยๆ ใกล้ชิดสนิทสนมกับตระกูลเจียงเรื่อยๆ พึ่งพาอาศัยตระกูลเจียง แต่งตั้งตนเป็นผู้นำตระกูลเย่ว์ และเพื่อให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ยังเป็นฝ่ายสู่ขอก่อนเพื่อให้เย่ว์หนานซีและบุตรสาวของเจียงหลินเฟิงทำสัญญาแต่งงานกัน ตลอดระยะเวลาสิบปีระหว่างมิตรภาพของสองตระกูลเย่ว์และเจียง ตระกูลเจียงเสียสละไปมากโขแต่ตระกูลเย่ว์เสียสละเพียงน้อยนิด น่าจะมีการเอาเปรียบอยู่ไม่น้อย ส่วนเรือนเล็กตระกูลเจียง คุณชายรองไม่มีความโดดเด่นเป็นคนไร้ความสามารถ เรือนเล็กต้องอาศัยพึ่งพิงเรือนใหญ่เสมอ ฮูหยินเรือนใหญ่ปฏิบัติตัวอย่างยุติธรรม ไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยกับคนในเรือนเล็ก คดีความคราวนี้ก็มีความเกี่ยวข้องรับเคราะห์พร้อมเจียงหลินเฟิง ฮูหยินใหญ่จึงพาบุตรสาวไปฝากไว้ที่บ้านตระกูลเย่ว์ ไม่นานนางก็ได้ตายจากไป และเมื่อนางตายแค่สองวัน ตระกูลเย่ว์ก็แพร่ข่าวลือเรื่องยกเลิกสัญญาการแต่งงาน เหอซื่อ ฮูหยินรองจึงสวมรวย ไล่เจียงหลีออกจากจวนตระกูลเย่ว์แล้วขายเอานางไปเป็นทาส เจียงหลีผู้นี้นับว่าโชคร้าย ครอบครัวเปลี่ยนแปลงพลิกผันครั้งใหญ่ มารดาตกตายอย่างไม่รู้สาเหตุ แม้กระทั่งสัญญาหมั้นหมายยังถูกยกเลิก อีกทั้งยังถูกอาสะใภ้ขายให้บ้านจางหยวนวั่ย จางหยวนวั่ยผู้นี้เป็นอันธพาลครองเมืองชอบทารุณกรรมเด็ก นางถูกตระกูลจางทรมานเกือบตายจากนั้นจึงถูกนำมาทิ้งไว้ที่สนามประลองทาส…”  

 

 

“หึ จะว่าไปตระกูลเย่ว์และพวกเรือนเล็กตระกูลเจียงนี่ก็นับว่าเป็นคนหน้าเนื้อใจเสือจริงๆ” คนที่กำลังพูดอยู่คือลู่หวาที่เกือบฆ่าเจียงหลีตาย 

 

 

ดวงตาลู่เจี้ยประกายวูบไหว เมื่อนึกถึงสีหน้าของเจียงหลีก่อนหน้านี้แววตาเขาก็ยิ่งล้ำลึกจนมิอาจคาดเดาได้ 

 

 

เด็กคนนี้นับวันยิ่งทำให้เขาสนใจ คนที่ข้อมูลไม่มีความสอดคล้องกันโดยสิ้นเชิง สรุปแล้วซ่อนความลับอะไรไว้กันแน่ 

 

 

… 

 

 

พวกของเย่ว์หนานซีทั้งสามคนยืนรอหน้าประตูใหญ่มานานแล้ว ในที่สุดก็เห็นเงาคนโผล่มาสักที แต่เมื่อได้เห็นชัดๆ ว่าเป็นใคร ดวงตาของทั้งสามคนต่างเป็นประกาย 

 

 

เจียงหลีมองสามคนนั้นที่อยู่ด้านนอกประตู ยังคงแสยะยิ้มในใจไม่หยุด นางยังเดินไม่ถึงประตูดีสามคนนี้กลับประชิดเข้ามาเองเสียก่อน จุดประสงค์ของพวกเขาคืออะไรนางไม่ได้สนใจมากนัก เห็นได้ชัดว่าลู่เจี้ยเพียงต้องการดูละครฉากหนึ่งเท่านั้น 

 

 

ถ้าจะพูดให้ถูกล่ะก็ ลู่เจี้ยอยากเห็นว่านางจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร 

 

 

ผู้ชายคนนี้ยังคงจับตาดูนางอยู่! 

 

 

ในขณะที่กำลังเดินออกมา เจียงหลีได้เข้าใจถึงเจตนาของลู่เจี้ยแล้ว 

 

 

ปัญหาขัดแย้งระหว่างนางกับทั้งสามคนยากแท้หยั่งถึง ผู้ชายเจ้าเล่ห์คนนั้นอยากมองนางให้ทะลุปรุโปร่ง 

 

 

บททดสอบในคราวก่อน เห็นได้ชัดว่ายังไม่สาแก่ใจเขา 

 

 

“อาหลี” ในสามคนเป็นเจียงอวี๋ที่เปิดปากก่อน ขยับไปข้างหน้าหลายก้าวด้วยใบหน้าตื่นเต้น 

 

 

ส่วนเหอซื่อและเย่ว์หนานซีเพียงแค่มองสำรวจนางเท่านั้น 

 

 

ช่างเป็นน้องที่ดีคนหนึ่งเสียจริง ความทรงจำในร่างเดิมของเจียงหลี การยกเลิกสัญญาแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ตรงหน้า ช่างเป็นความสัมพันธ์ที่เยี่ยมยอดจริงๆ 

 

 

จะว่าไป เจียงหลียังนึกอยากขอบใจนางมากๆ อยู่เหมือนกัน  

 

 

“ท่านทั้งสาม นายน้อยบอกว่าไม่ให้เข้าพบ” เจียงหลีส่งยิ้มบางๆ ถ่ายทอดคำพูดของลู่เจี้ย 

 

 

ผู้อารักขาที่นำทางมาผู้นั้นแววตาวูบไหวยืนอยู่ข้างๆ ไม่พูดสิ่งใดออกมา 

 

 

เจียงหลีเองก็ไม่ได้สนใจเขา เพียงแค่ยิ้มสดใสเฝ้าดูสีหน้าที่เปลี่ยนไปของทั้งสามคน 

 

 

เย่ว์หนานซีหน้าถอดสีอย่างเห็นได้ชัด 

 

 

อย่างไรเสีย เขาเป็นถึงชายหนุ่มผู้มีพรสวรรค์จากเมืองซูหนาน เขามาเยี่ยมเยือนคารวะอย่างเป็นทางการ คุณชายน้อยลู่เจี้ยไม่ควรปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ 

 

 

แม้กระทั่งเจียงอวี๋เองที่เห็นเจียงหลีเหมือนสุนัขถูกเจ้านายถือหางก็กัดริมฝีปากระงับโทสะ 

 

 

เหอซื่อแววตาวูบไหวก่อนจะยิ้มตอบ “คารวะคุณชายน้อยลู่ก็เพราะถือเป็นมารยาทเท่านั้น ที่พวกเรามาก็เพราะอยากเจอเจ้า อาหลี” 

 

 

“อยากเจอข้าหรือ” เจียงหลียิ้มหน้าบาน ตอนนี้นางชักอยากจะสนใจฟังจุดประสงค์ของคนพวกนี้แล้ว 

 

 

“แน่นอนว่าอยากเจอเจ้า พอรู้ว่าเจ้าถูกคุณชายน้อยลู่พากลับมา พวกเรารออยู่ที่นี่มาสามวันจนถึงตอนนี้ได้เห็นว่าเจ้าปลอดภัยดี อาสะใภ้ก็วางใจแล้ว” เหอซื่อตอบอย่างเสแสร้าง 

 

 

แต่เจียงหลีกลับหัวเราะประชดประชัน “ท่านอาสะใภ้อย่างนั้นหรือ ฮูหยิน ท่านคงจำคนผิดหรือเปล่า ทำไมข้าถึงจำได้แต่ว่าท่านเอาข้าไปขายที่จวนตระกูลจาง หาว่าข้าลืมหน้าบิดามารดาไม่สมควรเป็นบุตรสาวตระกูลเจียง ยิ่งไม่สมควรเรียกท่านว่าท่านอาสะใภ้ ไล่ข้าเหมือนหมูเหมือนหมาให้ข้าไปเป็นทาส ส่งคนติดตามอย่างนั้นหรือ ‘นางแพศยา’ คำพูดหยาบช้าต่ำทรามเช่นนี้ ท่านก็เคยใช้พูดกับข้ามาไม่น้อย” 

 

 

“เจียงหลี!” เหอซื่อตวาดลั่น 

 

 

นางกลับรู้สึกถึงร่างที่อดสั่นไหวไม่ได้ของผู้อารักขาตระกูลลู่ที่ยืนอย่างน่าเกรงขามอยู่ข้างๆ นางเผชิญหน้ากับเจียงหลีที่กล่าววาจากระแทกแดกดันก่อนจะพูดกดเสียงต่ำ “ตอนนั้นเจ้าขโมยของบ้านตระกูลเย่ว์ ข้าที่เป็นอาสะใภ้เจ้า ทำไมข้าจะลงโทษเจ้าไม่ได้ เจ้าแค้นข้าขนาดนี้ข้ายอมรับ แต่ว่าตระกูลเย่ว์มีบุญคุณต่อตระกูลเจียง พวกเขายินดีรับพวกเราแม่หม้ายลูกติด ทั้งยังจัดการงานศพให้แม่ของเจ้า ตอนนี้เจ้าต้องตอบแทนตระกูลเย่ว์ให้ดี” คำพูดเหล่านี้ล้วนแล้วเป็นคำสั่งทั้งสิ้น 

 

 

เหอซื่อยังคงคิดว่าตนเองยังสามารถบีบบังคับเจียงหลีผู้อ่อนโยนคนเดิมได้ตามอำเภอใจ  

 

 

แต่ทว่านางกลับไม่ได้สังเกตเห็นว่ารอยยิ้มของเจียงหลีเต็มไปด้วยความประชดประชันถึงเพียงใด “อ่อ แล้วต้องตอบแทนอย่างไร” นางหันไปมองเย่ว์หนานซีแวบหนึ่ง 

 

 

สายตานั้นทำให้เย่ว์หนานซีถึงกับขมวดคิ้ว ราวกับว่าได้รับความเหยียดหยามอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ 

 

 

เจียงหลีลอบแสยะยิ้มในใจ คนเช่นนี้หรือที่เหมาะจะมาเป็นสวามีของนาง 

 

 

เหอซื่อเหลือบมองผู้อารักขาตระกูลลู่ที่ไม่ได้มีท่าทางหลีกเลี่ยงอาการสงสัยเลยสักนิด นางขมวดคิ้ว ได้แต่เอ่ยเสียงเบาๆ “หนานซีเป็นคนมีพรสวรรค์ เป็นคนมีความสามารถหาตัวจับยากในเมืองซูหนาน ตอนนี้งานประลองชิงเจียวก็ใกล้จะถึงแล้ว ช่วงนี้เจ้าก็ทำตัวดีๆ กับคุณชายน้อยลู่สักหน่อย พยายามทำให้เขาพอใจเพื่อขอตระกูลลู่เขียนจดหมายแนะนำให้หนานซีสักฉบับ” 

 

 

เจียงหลีเข้าใจจุดประสงค์ของคนหน้าด้านที่บากหน้ามาหานางแล้ว “ที่แท้ก็กะจะใช้เส้นสายนี่เอง ไหนบอกว่าเป็นคนมีพรสวรรค์ แล้วทำไมถึงยังต้องใช้เส้นสายอีก” 

 

 

เสียงพูดของเจียงหลีไม่เบานัก ทำให้ยามเฝ้าประตูตรงนี้มองกันเป็นแถว 

 

 

เย่ว์หนานซีหน้าซีดเผือก ทั้งโกรธทั้งโมโหมองไปที่เจียงหลี “เจียงหลี เจ้าระวังคำพูดหน่อย เรื่องนี้ข้าไม่ได้ตั้งใจตั้งแต่แรก เจ้าอย่าพูดเพราะว่าข้ายกเลิกสัญญาหมั้นหมายแล้วจงใจใส่ร้ายข้า และคนที่ยกเลิกสัญญาเป็นข้า เจ้าหัดเกรงใจอวี๋เอ๋อร์หน่อย นางเป็นถึงพี่สาวของเจ้า” 

 

 

“ท่านพี่หนานซี” เจียงอวี๋ซึ้งใจเป็นอย่างมาก มองเขาด้วยสายตาลึกซึ้ง 

 

 

เมื่อฟังเขาพูดถึงเรื่องสัญญาแต่งงาน เจียงหลีเบิกตากว้างทั้งสองข้างไอสังหารแผ่ไปทั่วทั้งร่าง เอ่ยด้วยน้ำเสียงกดต่ำแข็งกร้าว “ทุเรศสิ้นดี! ข้าต่างหากที่ทิ้งเจ้า!”