ตอนที่ 8 พบกันครั้งแรก

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 8 พบกันครั้งแรก

ต่งชูหลานเดินทางมาโดยไม่ได้หยุดพัก พวกนางมาถึงเรือนซีซานในเวลากลางวัน

เมื่อฟู่ต้ากวนได้ฟังคำรายงานจากทหารยามก็นิ่งไปชั่วครู่ เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วจึงลุกเดินออกไป

สตรีนางนี้ ช่างเก่งกาจนัก !

ด้วยสถานะของต่งชูหลาน หากนางส่งคนมา ฟู่ต้ากวนก็จำเป็นต้องเดินทางกลับไปที่หลินเจียงเพื่อพบหน้า

หากแต่นางมิได้ทำเช่นนั้น นางเลือกเดินทางมาที่นี่ด้วยตนเอง

ความตั้งใจของนางนั้น ฟู่ต้ากวนย่อมเข้าใจดี เพียงแต่ว่าเขาไม่ต้องการไปร่วมงานนั่น จึงได้ใช้เทศกาลตวนอู่นี้เดินทางออกมาจากหลินเจียง เดิมทีตั้งใจจะพำนักอยู่ที่นี่เสีย 10 วันจึงเดินทางกลับ เมื่อถึงตอนนั้นธุระในเมืองหลินเจียงก็คงจะจัดการเรียบร้อยแล้ว และไม่มีเรื่องใดที่เขาต้องจัดการ

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งนิ่งไม่ขยับ เพียงแต่เมื่อได้ยินชื่อต่งชูหลานขึ้นมานั้น ในสมองของเขาก็ปรากฏภาพสตรีนางหนึ่งซึ่งงดงามไร้ที่ติขึ้นมา

ชาติที่แล้ว เขาเคยพบเจอผู้หญิงหน้าตาสวยงามมามากมาย แต่สตรีที่งดงามเพียบพร้อมเช่นนี้ เขาเองก็เพิ่งเคยได้เห็นเป็นครั้งแรกในทั้งสองชีวิต

เพียงแต่สตรีรูปงามนั้นมีพิษ ฟู่เสี่ยวกวนเพียงแค่ตะลึงในความงดงาม แต่มิได้คิดเป็นอื่นใด

เขาลุกขึ้นรินน้ำเพื่อล้างชา ฟู่เสี่ยวกวนชงชาร้อนกาใหม่

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นนายน้อยในที่นี้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องปลีกตัวออกไป เช่นนั้นก็ต้มชาสักกา เป็นการต้อนรับจากเจ้าของบ้านก็แล้วกัน

สายตามองไปที่ประตูวงเดือน ฟู่ต้ากวนโค้งตัวเล็กน้อยเพื่อนำทาง ต่งชูหลานยืนอยู่ด้านหลัง นางสวมชุดสีขาวและใบหน้าคลุมด้วยผ้าสีขาว

“เชิญ!”ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแล้วผายมือออกมา แต่มิได้ลุกขึ้น

สายตาของต่งชูหลานมองไปที่ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน ช่างเป็นใบหน้าที่สะอาด เป็นธรรมชาติ เขาดูมีน้ำใจและไม่มีอาการวิตกหวาดกลัวใด ๆ

ตามมาด้วยชุนซิ่ว ในมือนางยังถือหนังสืออยู่ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วส่งให้ฟู่ต้ากวน

“ซิ่วเอ๋อร์ จงไปจัดเตรียมอาหารต้อนรับคุณหนูต่ง”

ฟู่เสี่ยวกวนออกคำสั่ง แต่ในมือไม่ได้หยุดนิ่ง

ไฟบนโต๊ะกำลังลุกโชน น้ำในกาพลันเดือนพล่าน ไอน้ำลอยละล่องขึ้นมา

เขาเปิดฝากาแล้วใส่ใบชาลงไป ล้างชาและต้ม จากนั้นก็รินลงในถ้วย ยื่นส่งไปให้ฟู่ต้ากวนและต่งชูหลานตามลำดับ อีกหนึ่งแก้วรินมาวางไว้หน้าตน ก่อนจะมองไปที่บิดา

เหตุใดจึงไม่เอ่ยอันใดออกมาบ้างเล่า ช่างอึดอัดเสียจริง

ต่งชูหลานเองก็มิได้เอ่ยคำใด สองสามวันมานี้นางพยายามรวบรวมรายงานจากการสืบความ……แต่ดูเหมือนว่ารายงานพวกนั้นจะผิดพลาดไป

แต่นิสัยมุทะลุของชายผู้นี้ นางเองก็เคยพบมากับตัว ข้อนี้ไม่ผิดแน่นอน แต่บัดนี้อีกฝ่ายกลับนิ่งสงบ อุบายเช่นนี้ จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด

ฟู่ต้ากวนหัวเราะขึ้น “น่ายินดีนักที่บุตรสาวของท่านเสนาบดีเดินทางมายังที่นี่ด้วยตนเอง เชิญดื่มชาเถิด……อันที่จริงหากแม่นางต้องการจะพบข้า เพียงแค่ส่งคนมา แม้ข้าจะติดธุระใดอยู่ก็คงรีบกลับไปที่หลินเจียงเพื่อเข้าพบ แม่นางเดินทางมาเช่นนี้ ข้าเองเกรงใจยิ่งนัก”

ต่งชูหลานปลดผ้าปิดหน้าออกเพื่อชิมชา นางวางแก้วลงแล้วเอ่ยว่า  “ตระกูลฟู่เป็นผู้มั่งคั่งแห่งเมืองหลินเจียง ข้าน้อยจะกล้าเพียงส่งคนมาบอกเชิญได้อย่างไรกัน เพียงแต่ข้าน้อยเดินทางมาโดยท่านมิได้เชิญ ยังต้องขออภัยท่านด้วย”

ทั้งสองต่างพูดให้เกียรติกันไปมา โดยไม่มีเนื้อความ ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม แต่ในมือไม่ได้หยุดลง เขารินชาอย่างขยันขันแข็ง

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยคำใดออกมา  ต่งชูหลานมองไปที่เขาบ้างบางครา แน่นอนว่านางเพียงแค่ต้องการแก้ข้อสงสัยของตัวเอง แต่ความสงสัยเก่ายังมิได้คลี่คลาย ก็เกิดความสงสัยใหม่ขึ้นมาแทน

สายตาของนางเหลือบไปมองกระดาษที่ฟู่ต้ากวนวางไว้บนโต๊ะหินโดยบังเอิญ นางจึงยิ้มและขมวดคิ้วสงสัย สีหน้าของนางช่างอ่อนโยน

ตัวอักษรนี้……ช่างไม่งดงามเสียจริง แต่กลับถูกนำมาใส่กรอบอย่างสวยงาม น่าแปลกใจมาก

ฟู่ต้ากวนเห็นต่งชูหลานมองมาที่กระดาษสองแผ่นนั้น จึงเอ่ยว่า “ลูกชายข้าแต่งขึ้นเมื่อคืน คุณหนูมีความรู้เกินกว่าผู้ใด ให้เกียรติชี้แนะหน่อยได้หรือไม่?”

ต่งชูหลานหยิบกระดาษสองแผ่นนั้นขึ้นมา

จากเดิมเพียงหยิบมาดูตามมารยาท หากจำเป็น นางคงต้องฝืนเอ่ยชมสักสองสามคำ

เพียงแต่ว่า……

สีหน้าของนางเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ฟู่ต้ากวนเห็นท่าไม่ดี ก็กังวลใจเล็กน้อย

เขาเองไม่มีความสามารถด้านกวี เพียงแต่เคยอ่านเท่านั้น ไม่รู้ว่ากวีทั้งสองนี้เป็นอย่างไร

“ภูเขาเขียวหนาราวคิ้วของหญิงสาว คลื่นน้ำสีเขียวใสเหมือน……ดวงตาของคนเมา”

“บรรดาผู้คนมักชื่นชอบไปยัง……สือซานโหลว?”

ต่งชูหลานเผลออ่านออกมาโดยไม่รู้ตัว คิ้วเรียวสวยยิ่งขมวดมุ่น

“……ใครร้องกวีเพลงสายน้ำ ก้องกังวานทั่วขุนเขา ถูกรายล้อมด้วยเมฆยามวิกาล”

 “ก้องกังวานทั่วขุนเขา ถูกรายล้อมด้วยเมฆยามวิกาล…… ช่างงดงามนัก”

นางมิได้เงยหน้าขึ้น หากแต่อ่านย้ำอีกครั้ง และหยุดคิดบ้างเป็นบางครา ใบหน้าปรากฏความประหลาดใจ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้น

นางเงยหน้าขึ้นมองฟู่เสี่ยวกวนแวบหนึ่ง

ฟู่เสี่ยวกวนทำตัวไม่ถูก เขายกมือขึ้นมาลูบจมูกตัวเอง

นางก้มหน้าลงอีกครั้ง แล้วหยิบกระดาษแผ่นที่สองขึ้นมาดู

“ดวงจันทร์แห่งเจียงเป่ย ทอแสงนวลมาที่ซีโหลว”

“เมื่อเมฆจางหาย เผยให้เห็นเสี้ยวหยกที่แดนไกล จากกลมเป็นเสี้ยว……มิได้เปลี่ยนแปลง”

“ดวงดาวส่องสว่าง ส่องแสงประกายจนถึงฤดูใบไม้ร่วง ดอกตันกุยไม่เคยร่วงโรย ฉางเอ๋อร์จากไปอย่างโดดเดี่ยว ท้องฟ้าช่างเงียบเหงา”

“ท้องฟ้าช่างเงียบเหงา……”

เวลาราวกับหยุดลงณ.ตรงนี้ ต่งชูหลานอ่านกวีทั้งสองบทซ้ำกันไปมาหลายจบ เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งจึงมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวน แล้วเอ่ยถามว่า “ขออภัยที่ข้าต้องเอ่ยถาม กวีทั้งสองบทนี้ คุณชายเป็นผู้แต่งขึ้นเองหรอกหรือ?”

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแล้วพยักหน้า “คุณหนูช่วยติชมด้วยเถิด”

“เหตุใดคำขึ้นต้นถึงไม่มีกลอนคำ?”

“มองดูเจียงเป่ย…….ดวงจันทร์แห่งเจียงเป่ย”

“นี่คือบทความเกี่ยวกับเจียงหนาน”

“ถูกต้องแล้ว”ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า “เจียงหนานเจียงเป่ยล้วนเหมาะสม เพียงแต่ข้าเขียนถึงเจียงเป่ย มิได้คำนึงอะไรมากมาย”

“บทกวีจะแต่งส่งเดชได้อย่างไร?” ต่งชูหลานลืมความต้องการที่แท้จริงในการเดินทางมาครั้งนี้เสียสนิท และลืมไปว่าชายผู้อยู่ตรงหน้านี้ เมื่อสองเดือนก่อนมีนิสัยเช่นไร นางได้เอ่ยขึ้นมาอย่างจริงจัง

ฟู่เสี่ยวกวนฝืนยิ้ม เขานำมือมาลูบจมูก “ถ้าเช่นนั้นเรียกว่า มองเจียงหนาน ดวงจันทร์แห่งเจียงหนาน……ประโยคแรกแก้ไขเป็น พระจันทร์แห่งเจียงหนาน ทอแสงนวลมาที่ซีโหลว”

“เอาตามนี้ ยอดเยี่ยมมาก!”

“บทกวีนี้น่าเสียดายที่ข้าเพิ่งได้อ่าน หากนำไปเผยแพร่ที่งานชุมนุมเหล่านักกวีเมื่อคืน ชื่อเสียงของคุณชายฟู่คงจะ……เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในหลินเจียงแล้ว”

“เมื่อคืนมีความรู้สึกอยากแต่งกวี หากคุณหนูชื่นชอบ ข้าเองก็ยินดียิ่งนัก เชิญดื่มชา”

ฟู่ต้ากวนตกตะลึง เขาเข้าใจอยู่อย่างหนึ่งว่าบทกวีทั้งสองของบุตรชายนั้นมีเนื้อความที่ดี เขาจึงดีใจเป็นอย่างยิ่ง และหันไปพูดกับผู้ดูแลจางว่า “เรื่องที่น่ายินดีเช่นนี้รอช้าอยู่ไย จงรีบไปหยิบยอดสุราซีซานมาให้แขกลิ้มรสเร็วเข้า”

ต่งชูหลานไม่เข้าใจว่าสิ่งใดคือยอดสุราซีซาน นางยังคงจดจ่ออยู่กับกวีทั้งสองบทนี้ เหตุเพราะช่างประพันธ์ได้งดงามเสียจริง

“คุณชายอธิบายได้หรือไม่ว่า สือซานโหลวคืออะไร?”

ฟู่เสี่ยวกวนบ่นอยู่ในใจ หาเรื่องเข้าตัวแล้วสิ

เขาลูบจมูกแล้งแล้วเอ่ยว่า “ตัวข้าชอบเลขสิบสาม……มันเป็นจำนวนจินตภาพ ท่านสามารถเข้าใจอีกความหมายหนึ่งได้ว่า มันหมายถึงจุดที่สูงกว่าผู้อื่น”

ต่งชูหลานขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด

ชั้นสิบสาม……ช่างสูงเสียจริง จินตนาการว่าตนยืนอยู่ชั้นสิบสามแล้วทอดสายตามองออกไป และมองเห็นวิวทิวทัศน์อันงดงามนับไม่ถ้วนที่ปรากฏในสายตา สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความคิดที่กว้างขวางของกวีและผลงาน

ลองคิดดูว่า หากแก้ไขเป็นบรรดาผู้คนมักชื่นชอบไปยังชั้นสาม ก็จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน

ชั้นสิบสาม ช่างยอดเยี่ยมนัก!

แท้จริงแล้ว ชั้นสิบสามนั้นเป็นสถานที่แห่งหนึ่งในเมืองหางโจวสมัยราชวงศ์ซ่ง แต่ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ไม่แน่ใจว่ามีสถานที่เช่นนี้อยู่ในโลกบัดนี้แล้วหรือไม่ จึง……แต่งเรื่องขึ้นมา ต่งชูหลานจินตนาการและยกระดับภาพนั้นขึ้นมา ความคิดที่นางมีต่อฟู่เสี่ยวกวนจึงเปลี่ยนไปทันที

ต่งชูหลานคิดว่า นักกวีล้วนแสดงความคิดของตนออกมาในบทกวี ฟู่เสี่ยวกวนเองก็เช่นกัน

เทศกาลตวนอู่เมื่อวานนี้ ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ในเรือนและประพันธ์กวีสองบทนี้ขึ้นมา บทกวีทิศใต้ชื่นชมท่องเที่ยว เขาพรรณนาการดื่มสุราออกมาได้อย่างสวยงาม ทำให้ผู้อ่านเข้าใจถึงจิตวิญญาณของผู้ประพันธ์อย่างแท้จริง และผู้ประพันธ์นั้นได้พรรณนาถึงการขึ้นไปยังชั้นสิบสามเพื่อชื่นชมโลกอันกว้างใหญ่นี้ ช่างเป็นความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่นัก

ส่วนบทกวีชมเจียงหนานนั้น นักกวีสื่อความรู้สึกของเขาผ่านดวงจันทร์ ประโยคนั้นช่างแยบยล เมื่อได้ลิ้มรสก็ยากที่จะลืมเลือน ช่างชวนให้จดจำ!

“ดอกตันกุยไม่เคยร่วงโรย ฉางเอ๋อร์จากไปอย่างโดดเดี่ยว ท้องฟ้าช่างเงียบเหงา……”

“คุณชาย……ช่างมีฝีมือเสียจริง!”

ต่งชูหลานลุกขึ้นแล้วคำนับฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนน้อมรับพร้อมกับลุกขึ้น ประสานมือ “นี่……ข้ามิอาจ!”

“ข้าน้อยมีเรื่องอยากร้องขอ ไม่ทราบว่าคุณชายจะยินยอมหรือไม่?”

“เชิญคุณหนูเอ่ยเถิด”

“กวีทั้งสองบทนี้ ข้าน้อยชื่นชอบยิ่งนัก ขอให้ข้าน้อยคัดลอกได้หรือไม่?”

“แน่นอน มิใช่ปัญหา”

“อีกอย่าง……ตัวหนังสือนี้?”

“ข้าเป็นผู้เขียนเอง”

“อ้อ ตัวหนังสือนี้ช่าง……มีอิสระเสียจริง”

……

……

เรื่องที่หอหลินเจียงเมื่อสองเดือนก่อน ที่ฟู่เสี่ยวกวนเข้ามาขวางหน้าต่งชูหลานแล้วเอ่ยว่า “แม่นาง ข้าจะสู่ขอเจ้าเป็นภรรยา!” และเรื่องที่ฟู่เสียวกวนถูกองค์รักษ์ของต่งชูหลานโยนลงไปในลำธาร ทั้งสองไม่ได้เอ่ยถึงโดยปริยาย

แน่นอนว่า สถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีความจำเป็นใดที่ต้องเอ่ยถึง อีกอย่าง ต่งชูหลานเองก็ไม่อยากหยิบยกขึ้นมาพูด

เพราะว่านางไม่สามารถนำชายที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เมื่อสองเดือนก่อนกับปัจจุบันมาเปรียบเทียบกันได้ ในวันนั้นฟู่เสี่ยวกวนดื่มเหล้าเข้าไปไม่น้อย และนางเองก็มั่นใจในรูปลักษณ์ของตนเป็นอย่างยิ่ง

ในตอนนั้น ฟู่เสี่ยวกวนเห็นความงดงามของตนจึงอาศัยฤทธิ์เหล้าเอ่ยคำพูดเช่นนั้นออกมา ซึ่งทำให้นางโกรธมาก แต่บัดนี้……นี่คงเป็นนิสัยที่แท้จริงของชายหนุ่มผู้นี้

เพียงแต่ข่าวลือเกี่ยวกับท่านผู้นี้ที่เมืองหลินเจียง เป็นเพียงข่าวลืออย่างนั้นหรือ?

กวีสองบทนี้แม้จะทำให้ต่งชูหลานเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อฟู่เสี่ยวกวน แต่ก็มิได้มีอื่นใดแอบแฝง

อีกอย่าง นางถึงวัยออกเรือน มีผู้คนมากมายมายังเรือนเสนาบดีเพื่อสู่ขอนาง……

สิ่งนี้เป็นสิ่งที่นางไม่ต้องการจะเห็น จึงได้เดินทางมายังหลินเจียง โดยอ้างคำสั่งจากองค์หญิงแห่งราชวงศ์หยู เดินทางมายังหลินเจียงเพื่อคัดเลือกพ่อค้าหลวง

บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารนานาชนิด

เมื่อทั้งสามนั่งลง ชุนซิ่วก็จัดการรินเหล้า

“เหล้านี้ลูกชายข้าคิดค้นขึ้นมา ตั้งชื่อว่ายอดสุราซีซาน เชิญคุณหนูลิ้มรส”

กลิ่นหอมนั้นช่างเข้มข้น ต่งชูหลานดมแล้วยิ้มออกมา

คุณหนูต่งแห่งเรือนเสนาบดีนั้นเป็นที่รู้กันดีว่ามีนิสัยรักการอ่านกวี แต่นอกเหนือจากคนในเรือนเสนาบดีไม่กี่คนแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าต่งชูหลานชอบดื่ม อีกทั้ง……ไม่ใช่คนคออ่อน

“ขอบคุณท่านหัวหน้าตระกูลฟู่ ชูหลานไม่มีความรู้ด้านเหล้าเท่าไรนัก หากแต่เหล้านี้มีกลิ่นหอมต่างไปจากเหล้าในตลาด หอมเข้มข้นมากนัก ชูหลานจะลองลิ้มรสดู”

แต่แล้ว ฟู่เสี่ยวกวนก็เข้าใจว่าอะไรคือการลองลิ้มรส

ต่งชูหลานปลดผ้าคลุมหน้าออก แม้ฟู่เสี่ยวกวนจะรู้ดีว่าใบหน้าของนางนั้นงดงามเพียงไร แต่ก็ไม่วายถูกความงามนั้นสะกดจิต เมื่อมองเห็นต่งชูหลานยกถ้วยเหล้าขึ้นมาจิบ แล้วดื่มอีกครั้งจนหมดถ้วย

“อ่า….ต้องขออภัย ชูหลานลืมตัว แต่ว่าเหล้านี้มีรสเยี่ยมเสียจริง สิ่งนี้……คือคุณชายฟู่เป็นคนคิดขึ้นหรือ? คุณชายฟู่หมักเหล้าเป็นด้วยหรือ?”

“พอมีความรู้ด้านนี้บ้างเล็กน้อย……”