ภาคที่ 3 บทที่ 4 ข้ารับใช้เงา

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 4 ข้ารับใช้เงา

ภายในโรงเตี๊ยม

ภายในห้องเต็มไปด้วยแท่นทดลองขนาดใหญ่ ทั้งยังมีอุปกรณ์ทดลองทั้งหลายกระจายอยู่ทั่ว มีตะเกียงผลึกแก้วห้อยอยู่ที่ผนัง ส่องแสงสว่างจ้าราวกับเป็นตอนกลางวัน

โจรผู้หนึ่งนอนอยู่บนแท่นทดลอง ไม่อาจช่วยเหลือตนเองได้เลย ซูเฉินถือเข็มไว้ในมือ ค่อย ๆ ทำการสลักบางอย่างลงบนร่างกายโจรผู้นั้น

การสลักเช่นนี้เดิมทีมาจากอักขระบนร่างเผ่าคนเถื่อน ซึ่งถูกพัฒนาให้ดีขึ้นโดยวิชาโบราณอาร์คาน่า ทำให้มันยิ่งลึกลับซับซ้อนมากกว่าเดิม

ซึ่งคนบนแท่นที่กำลังถูกเข็มสลักนั้นไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย ด้วยซูเฉินสร้างยาชาขึ้นมาได้สำเร็จในที่สุด

3 ชั่วยามต่อมา การทดลองของชายหนุ่มก็สำเร็จเสร็จสิ้น

ซูเฉินใช้เข็มทั้งหมด 9 เล่ม โดยมีขนาดแตกต่างกันไป สลักรอยอักขระซับซ้อนลงทั่วร่างของโจรผู้นั้น ทั้งร่างแทบจะมีแต่หมึกเข้มสีดำ และเมื่อมีแสงส่องไปโดยรอยสลักบนร่างก็ไม่มีแสงสะท้อนออกมา ราวกับว่ามันอยู่ลึกเกินหยั่ง

ซูเฉินตรวจสอบสภาพภายในร่างกายของโจรผู้นั้นอย่างถี่ถ้วนแล้วพยักหน้า “ยาเริ่มซึมลึกถึงไขกระดูก รออีกสักหน่อยน่าจะได้ผลแล้ว”

ชายหนุ่มพูดจบก็เห็นว่าร่างของโจรผู้นั้นเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรงราวกับกำลังถูกกระแสไฟไหลผ่านร่าง

ซูเฉินเลิกเปลือกตาโจรขึ้น พบว่าตาเหลือกกลับไปแล้ว

หลังจากตรวจดูสภาพร่างกายภายในของโจรผู้นั้นอีกครา ซูเฉินก็ขมวดคิ้วก่อนเอ่ย “พลังยาแรงเกินไป ร่างกายมันไม่อาจต้านไหว ครั้งหน้าต้องลดแรงยาลง”

ร่างโจรผู้นั้นกระตุกอย่างไม่อาจควบคุมได้อีกเล็กน้อยก่อนจะแน่นิ่งไปในที่สุด

มันตายแล้ว

“กังเหยียน ฝึกผ่าร่างเสีย” ซูเฉินเอ่ย

ซูเฉินไม่คิดอยากทิ้งศพให้เสียเปล่า ร่างไร้ชีวิตเหล่านี้สามารถนำมาใช้ฝึกฝีมือกังเหยียนได้

“เข้าใจแล้ว !” กังเหยียนเดินเข้ามาแล้วค่อย ๆ ดึงมีดผ่าตัดออกมา เริ่มทำการผ่าศพตามคำชี้แนะของซูเฉิน ระบุและศึกษาอวัยวะภายในไปทีละอย่าง

เผ่าหินผาไม่ใช่เผ่าที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมที่สุด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นคนโง่ ในอดีตพวกเขาไร้โอกาสศึกำษาหาความรู้ด้วยมีฐานะทางสังคมต่ำต้อย กังเหยียนรู้ดีว่าตนเองได้รับโอกาสอันวิเศษมากเพียงไหน ดังนั้นเขาจึงตั้งใจศึกษาอย่างถึงที่สุด

ณ ตอนเช้ามืด ซูเฉินก็กระโดดขึ้นรถม้าไปแล้วพาเหล่านักโทษจากไป

ครั้งนี้พวกเขาหมายจะมุ่งหน้าไปยังเมืองธารน้ำใสอันห่างไกล ยังต้องเดินทางกันอีกไกลนัก

ตอนกลางวันซูเฉินจะค้นคว้าว่ายาชนิดใดที่สามารถเข้ากันได้ดี พอตกกลางคืนเขาก็จะเริ่มทำการทดลอง

เริ่มแรกการทดลองของเขาล้มเหลวอยู่ตลอด หากไม่ใช่ยาแรงไปก็เป็นเพราะใช้ส่วนผสมผิดชนิด ซึ่งจะทำให้ยากัดกร่อนร่างตัวทดลอง หรือไม่ก็ควบคุมพลังไม่สมดุล ส่งผลให้ร่างกายทำลายตนเอง และอื่น ๆ

ทุก ๆ วัน ซูเฉินได้พบกับหากหลายเหตุผลใหม่ที่ทำให้การทดลองเขาผิดพลาด

แม้จะเชื่องช้าทว่ามั่นคง ชายหนุ่มค่อย ๆ แก้ปัญหาข้อผิดพลาดเหล่านั้นไปเรื่อย ในที่สุดก็ไร้ข้อผิดพลาดอีก มีเพียงแต่ต้องสำเร็จเท่านั้น

ซูเฉินยังคงทำการทดลองต่อไป

ทั่วร่างตัวทดลองของเขามีเข็มปักอยู่ทั่ว เข็มเล่มสุดสายถูกปักลงไปแล้ว ก่อนแสงเรืองที่ดำเริ่มแผ่ออกจากร่างโจรผู้นั้น

พลังงานไร้รูปร่างเริ่มโคจรไปทั่วร่างบนแท่น ค่อย ๆ รวมตัวกันเป็นพลังมหาศาล

ต่อมาภาพน่าเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น

ร่างของโจรผู้นั้นค่อย ๆ จางหายไปจากสายตา

ซูเฉินเห็นแล้วก็เผยรอยยิ้ม “สำเร็จสักที”

“ข้า…… ข้า…… เจ้าทำอะไรข้า ?” เมื่อโจรเห็นร่างกายตนเองก็ร้องออกมาด้วยความกลัว พริบตาต่อมาที่การทดลองสิ้นสุดลง โจรผู้นั้นก็ถูกปล่อยออกจากพันธนาการ ได้รับอิสระกลับคืน

“เจ้าไม่ต้องกลัว รวมจิตและสติ สัมผัสพลังในร่างของเจ้าเสีย พยายามคุมการไหลเวียนของพลังให้ดี แล้วร่างของเจ้าจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง……”

โจรผู้นั้นทำตามที่ซูฉินบอก ร่างกายเขาค่อย ๆ กลับมาปรากฏแก่สายตาอีกครั้ง

เขามองร่างกายตนเองด้วยความตื่นเต้น “ข้า…… ข้าล่องหนได้งั้นหรือ ?”

“หากเรียกว่าซ่อนเงาได้จะถูกต้องกว่า เป็นวิชาที่ต้องใช้พลังเงาในการใช้งาน” ซูเฉินตอบ

พลังเงาคือสสารต้นกำเนิดที่ซูเฉินเรียกมันว่าเงา

ซูเฉินสกัดสสารต้นกำเนิดเงามาจากหินสีเทากองนั้น

หลังจากทำการวิเคราะห์พวกมันมานับปี ซูเฉินก็สามารถควบคุมสสารต้นกำเนิดภายในหินได้ เขาพบว่าสสารต้นกำเนิดนั้นสามารถมอบความสามารถเช่นเงาให้คนได้

โจรผู้นี้เพิ่งจะสำแดง ‘พลังเงา’ นี้ออกมาด้วยการซ่อนเงา

เมื่อซ่อนร่างในเงาแล้ว ร่างก็จะหายไป

การซ่อนร่างเช่นนี้เป็นการซ่อนระดับกายภาพ แม้จะปัดมือผ่านพื้นที่ที่เพิ่งมีคนไปก็ยากที่จะจับสัมผัสได้ ผู้ใช้วิชาจะสามารถถูกตรวจจับได้ผ่านพลังต้นกำเนิดเท่านั้น

โทเทมโลหิตสลายไม่ได้มอบพลังให้มากเช่นนั้น มันเป็นเพียงพาหนะส่งพลังเท่านั้น คล้ายกับกระดานหินแผ่นหนึ่ง หากต้องการพลังใดก็ต้องใส่ส่วนเสริมให้มันก่อน ซึ่งการทำเช่นนั้นย่อมเสียพลังต้นกำเนิด

กล่าวได้ว่าโทเทมโลหิตสลายมีการส่งผ่านพลังได้เหมือนกันกับอักขระโทเทมของเผ่าคนเถื่อน อีกทั้งมันยังมีโอกาสมากขึ้น สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้

คนแรกที่ได้ใช้โทเทมโลหิตสลายตัวสมบูรณ์นั้น ได้ถูกเพิ่มสสารต้นกำเนิดเงาเข้าร่างไป

แม้สสารต้นกำเนิดเงาในปัจจุบันจะมอบเพียงความสามารถในการซ่อนเงาให้ แต่หากพัฒนาต่อไปอาจทำให้สามารถใช้ท่าเงาอีกหลากหลายได้ ขึ้นอยู่กับด้านที่ซูเฉินมุ่งพัฒนา และขึ้นอยู่กับองค์ประกอบทางกายภาพของข้ารับใช้เงาเองด้วย

มองมุมหนึ่งก็คล้ายกับสายเลือด แต่มันไม่อาจส่งต่อได้ ไม่ได้ช่วยทำให้พื้นฐานการบ่มเพาะพลังสูงขึ้นหรือทำให้สามารถทะลวงผ่านด่านได้เช่นกัน

แต่มันสามารถใช้ร่วมกับสายเลือดได้ เรื่องเช่นนี้มีความหมายลึกล้ำมาก

ตอนนี้ข้ารับใช้เงาคนแรกสมบูรณ์แล้ว ซูเฉินและกังเหยียนรู้สึกตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างมาก

โจรผู้นั้นเองก็ไม่ต่างกัน

เขาคุมพลังที่โคจรในร่างอยู่ตลอด สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายตนเอง จากนั้นร่างกายของเขาก็พลันเลือนหายไปอีกครา

“ข้าแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ! ข้าแข็งแกร่งขึ้นจริง ๆ! ฮ่า ๆ!” โจรผู้นั้นร้องตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น

เขาเหลือบมอบซูเฉิน ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว

หากข้าซ่อนร่างในเงาแล้วลอบโจมตีจากด้านหลังจะสามารถสังหารเขาได้หรือไม่ ?

เจ้าโจรเพิ่งจะมีความคิดนั้นผุดขึ้นมา ฉัยพลันเห็นรอยยิ้มขำของซูเฉิน ในใจสั่นไหวอย่างรุนแรง เขาสบถด่าตัวเองอยู่เงียบ ๆ หากคุณชายท่านนี้สร้างเขาขึ้นมาได้ เหตุใดจะทำลายเขาอย่างง่ายดายไม่ได้ วิชาซ่อนเขาของเขาอาจเทียบไม่ได้กับสิ่งใดในสายตาคุณชายด้วยซ้ำ หากลงมือกับคุณชายก็เท่ากับรนหาที่ตาย หากคุณชายลงยาใดไว้กับเขา แค่ความคิดเมื่อครู่ก็อาจทำให้ร่างไหม้เป็นจุลได้แล้วกระมัง

คิดได้ดังนั้น เขาก็คุกเข่าลงด้วยความหวาดกลัวในทันใด “ข้าน้อย ฉางเอ้อร์ ทำความเคารพคุณชาย ขอบพระคุณคุณชายเป็นอย่างยิ่ง”

ซูเฉินเห็นท่าทางแล้วก็หัวเราะหึออกมา “อย่างน้อยเจ้าก็รู้สถานการณ์ตนดี”

ซูเฉินจะไม่วางยาเพื่อป้องกันเหยื่อแว้งกัดได้อย่างไร ? หากฉางเอ้อร์คิดสังหารเขา ชายหนุ่มก็ไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยซ้ำ แค่คิดก็สามารถทำให้ฉางเอ้อร์ต้องพบกับชะตากรรมน่าขวัญผวาได้แล้ว

ซูเฉินพลันเอ่ย “พวกเจ้าเป็นโจร ในเมื่อตกอยู่ในกำมือข้าแล้วข้าจึงเป็นคนสั่งว่าเจ้าจะอยู่หรือตาย เจ้าโชคดีไม่น้อย เป็นคนที่ข้าเปลี่ยนเป็นข้ารับใช้เงาได้สำเร็จคนแรก ไม่เพียงไม่ตายแต่ยังสามารถล่องหนได้ จากนี้ต่อไปเจ้าจะเป็นข้ารับใช้เงาภายใต้คำสั่งข้า หากเจ้ายอมทำตามคำสั่งแต่โดยดีจะพบว่าข้าเองก็ไม่ใช่นายท่านที่ใจร้ายนัก แต่หากไม่…..”

ซูเฉินหยุดพักสักครู่ ก่อนเอ่ยต่อ “ข้าจะไม่สังหารเจ้าหรอก เพียงแต่นำเจ้ามาเป็นตัวทดลองในการทดลองอื่นก็เท่านั้น”

ฉางเอ้อร์สะดุ้งเฮือกโดยแรง เขาคุกเข่ารีบเอ่ยคำ “ข้าจะภักดีกับคุณชายซูจนตาย !”

“ดีมาก” ซูเฉินเอ่ยเสียงเรียบ

แน่นอนว่าเขาไม่มีทางเชื่อในความภักดีของโจรผู้หนึ่ง

แต่นั่นไม่สำคัญ เขามั่นใจว่าไม่ว่าเจ้าโจรนั่นจะเจ้าเล่ห์ถึงเพียงไหน อย่างไรก็หนีไม่พ้นเงื้อมือเขาอยู่ดี