จินเหยียนที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกได้ยินเสียงประหลาด แต่เขาไม่ได้พุ่งเข้ามา เพราะไม่ได้มีการฆาตกรรม ไม่ได้มีคนแฝงเข้ามา แถมนักเวทย์ที่อยู่ด้านในก็เป็นคนของตระกูลฮิลล์ที่มีความภักดีเป็นอย่างมาก สำหรับนักเวทย์นั้น การมีเสียงดังมักเป็นเรื่องปกติ 

 

 

“แตกแล้ว” แคลร์มองเศษลูกแก้วที่กระจายทั่วพื้น นางพูดออกมาแค่สองพยางค์ 

 

 

“อื้ม แตกแล้ว” ชายวัยกลางคนตอบ เขายังคงเหม่ออยู่ 

 

 

แคลร์ไม่ได้พูดอะไรอีก แล้วรอให้คนตรงหน้าเรียกสติกลับคืนมาก่อน สักพักชายวัยกลางคนก็ได้สติ แล้วก็ค่อยๆ ยื่นมือเข้าไปในชุดยาว เขาหยิบลูกแก้วอีกลูกที่ใหญ่กว่าลูกที่แตกไปเมื่อกี้เล็กน้อย “ลองดูอีกครั้ง” 

 

 

แล้วเสียงแตกก็ดังขึ้นเช่นเดิม ชายวันกลางคนอ้าปากแทบจะกรามค้างไปเลย 

 

 

“เอาอีกทีไหม?” แคลร์ถามด้วยเสียงเบา นางรู้ว่าของที่นักเวทย์ใช้ล้วนราคาแพง ลูกแก้วสองลูกนี้ดูท่าทางแล้วก็คงไม่ได้ราคาถูกๆ แน่ 

 

 

“ไม่ๆ ไม่ต้องแล้วคุณหนู” แววตาของชายวัยกลางคนเต็มไปด้วยความตกใจ จากนั้นก็เต็มไปด้วยความยินดี ตอนนี้เขาอยากจะเอ่ยปากรับเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นศิษย์เลยด้วยซ้ำ ต้องรู้ว่าในสายตานักเวทย์แล้วพลังเวทย์ของตนเองถือเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด โดยปกติแล้วจะไม่เผยแพร่ออกไปง่ายๆ แต่ว่าจะปล่อยให้ตายไปพร้อมกับตนเองเลยก็ไม่ได้ วิธีที่จะส่งต่อพลังเวทย์ของตนเองนั้นก็คือการหาศิษย์ที่ตนเองพอใจ และศิษย์ที่มีพรสวรรค์ดีมากๆ นั้นช่างหายากเหลือเกิน ในอดีตยังเคยมีเรื่องที่นักเวทย์ต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงศิษย์เลย โรงเรียนไรซิ่งซันแม้ว่าจะเป็นโรงเรียนที่สอนพลังเวทย์และพลังยุทธ์ แต่ทั่วไปแล้วก็จะสอนในสิ่งที่เป็นพื้นฐานมากๆ อย่างมากที่สุดก็จะสอนให้นักเรียนได้เป็นนักเวทย์ขั้นต้นหรือนักดาบขั้นต้นเท่านั้น หากอยากจะเรียนเพิ่มมากขึ้นก็ต้องไปหาอาจารย์มาสอนเสริมเอง ต้องเป็นศิษย์แล้วเท่านั้นจึงจะสามารถเรียนในสิ่งที่ละเอียดมากขึ้นได้ เด็กสาวตรงหน้านี้มีคุณสมบัติที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าราเซียเลย ไม่สิ อาจจะมากยิ่งกว่าด้วย! 

 

 

แม้ว่าเขาอยากจะเอ่ยปากรับแคลร์เป็นศิษย์ แต่เขาก็รู้ว่านี่เป็นเพียงแค่ความปรารถนาของตนเองเท่านั้น ไม่ใช่งแค่แคลร์ว่าจะยินยอมตกลงหรือไม่ ยังต้องดูอีกว่าท่านดยุกจะยินยอมหรือเปล่า เห็นได้ชัดเลยว่าการเป็นนักเวทย์ชั้นยอดของตัวเขาเองนั้นไม่เพียงพอที่จะเป็นอาจารย์ของเด็กสาวตรงหน้านี้ได้เลย 

 

 

“คุณหนู รอสักครู่นะครับ” ชายวัยกลางคนสงบใจตัวเองลง สิ่งแรกที่เขาต้องทำก่อนคือรายงานท่านดยุกแล้วค่อยจัดการ “คุณหนู ข้าจะสอนเจ้าในเรื่องของการตั้งสมาธิและการรับองค์ประกอบพลังเวทย์รอบตัวเสียก่อน” 

 

 

“ท่านพูดถึงประกายแสงเล็กๆ ที่อยู่รอบตัวน่ะหรือ?” แคลร์ยื่นมือของนางไปท่ามกลางความว่าง 

 

 

ชายวัยกลางคนแปลกใจมาก “คุณหนู เจ้ารับองค์ประกอบพลังเวทย์ได้แล้วงั้นหรือ?” 

 

 

“หนังสือเล่มนี้เขียนเอาไว้อย่างละเอียดมากๆ เมื่อวานข้าอ่านจบแล้ว” แคลร์เอาหนังสือพลังเวทย์ขั้นพื้นฐานนั้นออกมา 

 

 

ชายวัยกลางคนอึ้งจนพูดไม่ออกเลย อ่านจบเมื่อวาน! เมื่อวานเพิ่งจะสัมผัสได้ถึงสิ่งนี้ แต่ตอนนี้รับองค์ประกอบพลังเวทย์ได้แล้ว! 

 

 

“งั้นคุณหนูรู้ขั้นต่อไปหรือไม่?” ชายวัยกลางคนถามอย่างระวัง 

 

 

“จับองค์ประกอบพลังเวทย์ แล้วเก็บให้เข้าไปในร่างกายของตนเอง แต่ว่าดูเหมือนว่ามันจะจับยากมากเลย จับได้หมื่นเหลือแค่พันอยู่ในตัว” แคลร์พูดอย่างเศร้าใจ 

 

 

เสียงดังเกิดขึ้น ชายวัยกลางคนล้มลงไปที่พื้น แล้วมองแคลร์ด้วยความอึ้งและไม่พูดอะไรออกมา หนึ่งหมื่นเหลืออยู่หนึ่งพัน! นางยังเศร้าใจเช่นนี้อีกเหรอ นางรู้หรือไม่ว่าคนที่ทำสมาธิครั้งแรก จับหมื่นเหลืออยู่สิบก็ถือว่าไม่เลวแล้ว! ราเซียที่ได้รับฉายาว่าเป็นอัจฉริยะเข้าสมาธิครั้งแรกก็จับหมื่นเหลืออยู่ร้อยกว่าเท่านั้นเอง แค่นี้ก็สร้างความตกใจให้กับคนจำนวนมากแล้ว แต่เด็กสาวตรงหน้ากลับทำได้ถึงสิบเท่าของราเซียในครั้งแรกอีก! พระเจ้า! 

 

 

ชายวัยกลางคนเงียบไปสักพักแล้วจึงค่อยๆ เปล่งเสียงออกมา “คุณหนู อย่าเพิ่งเอาเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปบอกใครนะ” 

 

 

“ได้สิ” แคลร์เข้าใจว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้ต้องมีความคิดของเขา ดูท่าทางเมื่อกี้การทดสอบของนางคงจะดีมาก เรื่องเหตุผลที่จะทำให้ดึงดูดผู้คนนั้นนางเข้าใจดี 

 

 

“เช่นนั้น คุณหนู ข้าจะสอนคาถาธาตุไฟขั้นพื้นฐานให้ หากเจ้าทำได้ ก็บอกข้าด้วย” ชายวัยกลางคนอดไม่ไหวที่จะรีบไปรายงานท่านดยุก 

 

 

“ได้สิ” แคลร์พยักหน้ารับ 

 

 

“ลูกไฟคือสิ่งที่เป็นขั้นพื้นฐานที่สุด เจ้าจะต้องควบคุมให้องค์ประกอบพลังเวทย์ที่อยู่ในร่างกายเจ้ารวมเข้าด้วยกัน เมื่อมารวมกันถึงจุดหนึ่งแล้ว ก็ให้ท่องคาถา แล้วมันจะระเบิดออกมา” ชายวัยกลางคนสอนอย่างตั้งใจ “แต่ว่า คุณหนู เจ้าจะต้องจำไว้ว่าพลังเวทย์นั้นไม่มีทางลัด จะต้องค่อยเป็นค่อยไปทีละขั้น ไม่ว่าเจ้าจะมีความสามารถที่มากกว่าคนอื่นแค่ไหน แต่การเร่งให้ความประสบความสำเร็จก็มีแต่จะทำร้ายตัวเจ้าเอง” 

 

 

“ค่ะ ขอบคุณท่านอาจารย์” แคลร์เห็นได้อย่างชัดเจนว่าชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นห่วงจากใจจริง จึงให้ความเคารพอย่างจริงจัง 

 

 

“ไม่ คุณหนู ข้ายังไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นอาจารย์ของเจ้าหรอก” ชายวัยกลางคนโบกมือติดๆ กัน 

 

 

“ท่านสอนข้า ก็ต้องเป็นอาจารย์ของข้าสิ ไม่ว่าท่านจะยอมรับหรือไม่ คนอื่นจะยอมรับหรือไม่ เวลานี้ท่านก็เป็นอาจารย์ของข้าแล้ว” แคลร์พูดอย่างจริงจัง “เป็นอาจารย์เพียงหนึ่งวัน ก็นับว่าเป็นอาจารย์ไปตลอด” 

 

 

คำพูดนี้ช่างซึ้งใจเสียจนชายวัยกลางคนแทบจะร้องไห้ออกมา 

 

 

“คุณหนู คุณสมบัติของข้าไม่เพียงพอที่จะเป็นอาจารย์ของเจ้า คุณสมบัติของเจ้า แม้ว่าจะให้นักเวทย์ชั้นสูงที่สุดในอันพาแกรนด์มาเป็นอาจารย์ก็ยังไม่พอเลย แต่ว่าข้า อูมาริ ขอสาบานว่าจะพยายามอย่างที่สุดที่จะสอนทุกสิ่งที่ข้ารู้ให้แก่เจ้า” นักเวทย์ที่ชื่ออูมาริพูดอย่างตื่นเต้น เขาสามารถคาดเดาได้ว่าเด็กสาวตรงหน้าจะต้องเป็นดวงดาวที่เจิดจรัสในอนาคตอย่างแน่นอน 

 

 

“ขอบคุณท่านอาจารย์” แคลร์ทำความเคารพอย่างจริงจัง 

 

 

“คุณหนู เจ้าอยู่ฝึกฝนอยู่ที่นี่ก่อน ข้าขอไปหาท่านดยุกก่อน จำไว้ว่าอย่าบอกเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้กับใครเป็นอันขาด” อูมาริกำชับแคลร์อีกครั้ง ความสามารถขั้นนี้หากมีใครรู้เข้า อาจจะเป็นพรหรืออาจจะเป็นคำสาปก็ได้ ไม่มีใครที่สามารถบอกได้อย่างแน่ชัด 

 

 

“ค่ะ” แคลร์พยักหน้า 

 

 

ตอนที่อูมาริออกจากห้องไป จินเหยียนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูก็รู้สึกแปลกใจ นักเวทย์หน้าตายมาตลอดผู้นี้ เขามักจะนิ่งสงบอยู่เสมอ แต่วันนี้สีหน้ากลายเป็นสีแดง ดูเหมือนว่าจะตื่นเต้นมาก นี่มันเกิดอะไรขึ้น?! 

 

 

“เจ้าพูดอะไร? นี่เรื่องจริงงั้นหรือ?” เมื่ออูมาริมาพบกอร์ตั้นแล้วเล่าความลับทั้งหมดให้ฟัง กอร์ตั้นก็ตกใจ แล้วก็ยิ่งดีใจมากขึ้นอีก ถ้าบอกว่าราเซียคืออัจฉริยะที่ร้อยปีจะได้เจอสักครั้ง เช่นนั้นแคลร์ก็คืออัจฉริยะที่พันปีจะได้เจอสักครั้งหนึ่ง เป็นพรของตระกูลฮิลล์จริงๆ! หลังจากที่กอร์ตั้นตื่นเต้นแล้วก็เข้าใจในเหตุผลที่อูมาริมาบอกกับตนเองในทันที เพราะว่าวิหารแห่งแสง! ถ้าวิหารแห่งแสงรู้เรื่องพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดานี้ของแคลร์ พวกเขาจะต้องไม่ยอมปล่อย และจะต้องหาวิถีทางที่จะดึงให้แคลร์เข้าไปอยู่กับพวกเขาแล้วล้างสมองให้ภักดีต่อวิหารแห่งแสงแน่ๆ ความสัมพันธ์ของวิหารแห่งแสงกับอำนาจกษัตริย์นั้นอ่อนไหวมาก เขาไม่มีทางที่จะให้อำนาจที่ทรงพลังในอนาคตอย่างแคลร์ถูกวิหารแห่งแสงดึงตัวไปแน่นอน กอร์ตั้นเองก็ไม่อยากที่จะให้หลานสาวของตนเองต้องไปช่วยวิหารแห่งแสงกำจัดตนเองในอนาคตหรอก 

 

 

“ท่าดยุก ทุกสิ่งที่ข้าพูดไปเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น” อูมาริพยักหน้าแล้วพูดอย่างจริงจัง 

 

 

“ดีมาก อูมาริ เจ้าทำได้ดีมาก” กอร์ตั้นตบบ่าของอูมาริอย่างดีใจ “ก่อนที่แคลร์จะเติบโตขึ้น เรื่องนี้อย่างเพิ่งไปบอกใครเป็นอันขาด” 

 

 

“ครับ ท่านดยุก” อูมาริพยักหน้า 

 

 

กอร์ตั้นลูบที่คางของตนเอง จมลงกับความคิด ในใจก็ตัดสินใจแล้ว 

 

 

“อูมาริ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ” ในที่สุดกอร์ตั้นก็ได้สติ แล้วยิ้มออกมา “ลูกแก้วของเจ้าที่แคลร์ทำแตกไปอีกเดี๋ยวข้าจะให้คนเอาไปส่งให้เจ้าใหม่” 

 

 

“โอ้ ไม่ต้องหรอกครับ” อูมาริโบกมืออย่างเกรงใจ 

 

 

“เอาล่ะ ไปเถอะ คืนนี้เดี๋ยวข้ากลับไปแล้วบอกให้แคลร์รอข้าที่ห้องหนังสือ” กอร์ตั้นอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัดเลย แล้วตบบ่าของอูมาริยิ้มๆ “สบายใจได้ ข้าจะไม่ทอดทิ้งเจ้าหรอก” 

 

 

ณ อาคารที่ตกแต่งอย่างงดงามซึ่งตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของเมืองหลวง ในห้องที่เงียบสงบและกว้างขวาง คนหลายคนนั่งอยู่ที่โต๊ะประชุมยาวที่ทำจากหยกขาว ผู้ที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดเป็นชายชราท่าทางใจดีสวมชุดสีขาวทั้งชุด ตรงขอบของชุดขลิบสีทองเพื่อให้คนรู้ว่าเขาเป็นคนของวิหารแห่งแสง และตำแหน่งก็ไม่ใช่เล็กๆ ด้วย 

 

 

“เป็นอย่างไรบ้าง มีเบาะแสอะไรบ้างไหม?” ชายชราขมวดคิ้วเล็กน้อย ด้านข้างมีหญิงสวมชุดขาวทั้งตัว นางรูปร่างดีและมีผมสีเขียวยาวจนเกือบจะถึงพื้น ใบหน้างดงามที่ทำให้คนทึ่ง แต่ว่าดวงตาทั้งคู่นั้นไม่มีลูกตา เป็นสีขาวไปทั้งหมด เป็นสิ่งที่ดูแปลกมาก 

 

 

“ท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์ ยังไม่มีพบความคืบหน้าใดๆ เลยค่ะ” หญิงแปลกผมสีเขียวส่ายหัวเบาๆ 

 

 

“จะเป็นไปได้อย่างไร? เจ้าเป็นโหรที่โดดเด่นที่สุดของวิหารเรา แต่กลับหาผู้ที่เทพต้องการตามหาไม่เจอ” ผู้ที่นั่งอยู่อีกทางพูดอย่างร้อนใจ 

 

 

“ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากหา แต่ว่าผู้ที่เทพต้องการจะหานั้นข้าไม่สามารถอ่านดวงชะตาได้เลย” หญิงแปลกผมเขียวไม่พอใจเล็กน้อย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่การทำนายของนางไม่ประสบผล! 

 

 

“เอาล่ะ ไม่ต้องทะเลาะกัน” ท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์พูดออกมาเบาๆ “ผู้ที่เทพต้องการจะหาจะต้องมีสิ่งที่พิเศษยิ่งกว่าผู้อื่น พวกเราเพียงแค่ต้องออกคำบัญชาไป ผู้ที่ไม่ธรรมดาทั่วประเทศก็จะปรากฎตัวออกมาทันที” 

 

 

“ก็คงจะมีเพียงวิธีนี้แล้ว” 

 

 

ทุกคนเห็นด้วย 

 

 

ยามค่ำคืน คฤหาสน์ของท่าดยุกสว่างไสว ไม่เพียงแต่คฤหาสน์ของท่านดยุกเท่านั้น แต่คฤหาสน์ของตระกูลร่ำรวยอื่นๆ ในเมืองก็ล้วนสว่างไสว ในเวลากลางคืนบ้านที่มืดมีเพียงบ้านของคนธรรมดาที่ไม่สามารถที่จะเปิดไฟหลายดวงได้เท่านั้น 

 

 

ในห้องนอน แคลร์นอนอยู่บนเตียง ยื่นมือออกไปเล่นกับลูกบอลไฟดวงเล็กๆ ที่ปลายนิ้วของนาง ในใจก็นึกถึงเรื่องที่กอร์ตั้นกำชับนางที่ห้องหนังสือเมื่อตอนเย็นว่าจะต้องปิดบังพรสวรรค์ที่มีมากกว่าใครนี้เอาไว้ หากไม่ใช่เวลาฉุกเฉิน อย่าไปแสดงความสามารถนี้ต่อหน้าใครเป็นอันขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนของวิหารแห่งแสง ห้ามให้พวกเขารู้เด็ดขาด ตอนไปโรงเรียนเมื่อต้องเข้าร่วมการทดสอบก็จงอย่าลืมว่าต้องเก็บเอาไว้ ตอนแคลร์เสนอว่าไม่ต้องไปโรงเรียนก็ได้ นางอยู่ที่บ้านให้อูมาริมาสอน กอร์ตั้นก็ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด เห็นได้ชัดว่าเขาก็คิดว่าอูมาริไม่ได้มีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นอาจารย์ของแคลร์ได้ 

 

 

“ผู้ที่สามารถเป็นอาจารย์ของเจ้าได้คงจะมีเพียงแค่คนผู้นั้น แต่ว่า เจ้าต้องหาคนผู้นั้นให้เจอก่อน จึงจำเป็นต้องไปโรงเรียน หลังจากได้เป็นศิษย์ของเขาแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องวิหารแห่งแสงแล้ว” หลังจากกอร์ตั้นพูดคำที่แปลกประหลาดนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาไม่ได้พูดชัดเจนว่าคนผู้นั้นคือใคร แต่ว่ามีจุดหนึ่งที่ชัดเจนมากก็คือ ถ้าหากแคลร์ได้เป็นศิษย์ของคนผู้นั้นแล้ว ก็ไม่มีทางเลยที่วิหารแห่งแสงจะเข้ามาดึงตัวไปได้ 

 

 

……………………………………………………………………..