ตอนที่ 14 ปรมาจารย์ผู้เย่อหยิ่ง

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

เดิมทีที่เห็นแต่ความมืดมิดนั้นก็ค่อยๆ ปรากฏแสงสว่างขึ้นทีละน้อยและเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ประสาทสัมผัสของนางราวกับถูกขยายใหญ่ขึ้นอย่างไร้จุดสิ้นสุด ความทรงจำมากมายวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว แสงสว่างเหล่านั้นรวมตัวกันกลายเป็นแม่น้ำ ทะเลสาบ ทะเล รวมไปถึงสิ่งมีชีวิตในสามโลก ยิ่งขยายยิ่งกว้างขึ้น กว้างเสียจนคนที่อยู่ในนั้นดูเล็กเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับมนุษย์ที่อยู่บนโลก มีเพียงแสงสว่างที่มีสีสันหลากตานั้นที่เหมือนเดิมตั้งแต่ต้นจนจบ 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวเกิดความรู้สึกเกรงขามขึ้นภายในใจอย่างไร้สาเหตุ คนทั้งคนราวกับตกลงไปอยู่ในเขตแดนที่ลึกล้ำบางอย่าง คำถามที่ไม่เข้าใจมาหลายวันก็กระจ่างขึ้นมาทันที ราวกับถูกเปิดออกด้วยอะไรบางอย่าง อยากจะพินิจให้ลึกเข้าไป แต่เยี่ยยวนนั้นก็ได้ชักมือกลับเสียแล้ว 

 

 

นาทีถัดมา นางก็หลุดพ้นจากเขตแดนอันล้ำลึกนั้น ลืมตาขึ้นมาพลันลูบอกเบาๆ ตรงนั้นยังคงหลงเหลืออารมณ์ที่ตะลึงอย่างเป็นที่สุดอยู่ 

 

 

“ข้อสงสัยของเจ้า ตอนนี้เข้าใจแล้วหรือยัง” เยี่ยยวนถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวอึ้งไปสักพัก ก่อนจะพยักหน้า “เข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านอาจารย์ปู่” เขาสาธิตด้วยตัวเองแล้ว จะไม่เข้าใจได้อย่างไร 

 

 

“อืม” เยี่ยยวนพยักหน้าด้วยความพอใจ เป็นศิษย์หลานที่มีปัญญาอันชาญฉลาด “เจ้ามีพรสวรรค์ที่ไม่เลว ต่อไปนี้เจ้าต้องตั้งใจฝึกฝน อย่าทำให้พรสวรรค์ของเจ้าเสียเปล่า” 

 

 

“โอเค…รับทราบ ท่านอาจารย์ปู่” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า แล้วจึงเอ่ยขอบคุณ นางเป็นคนมีมารยาทต่ออาจารย์เสมอ 

 

 

เห็นเขาไม่รีบกลับเจดีย์ นางจึงถือโอกาสถามคำถามเกี่ยวกับด้านอื่น อีกฝ่ายก็ตอบทุกคำถามที่นางถาม ราวกับไม่มีเรื่องใดที่เขาไม่รู้ อวิ๋นเจี่ยวเจออาจารย์กวดวิชาที่มีความชำนาญพิเศษเฉพาะด้านขนาดนี้ ทำให้นางหมดข้อข้องใจ และลบความรู้สึกที่ว่าสำนักชิงหยางเท่ากับสำนักหมอผี 

 

 

“ขอบคุณอาจารย์ปู่ที่ไขข้อข้องใจ ข้าไม่มีคำถามแล้ว” อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกโล่งใจยิ่งกว่าทำข้อสอบสิบชุดเสร็จเสียอีก นางไม่มีอะไรจะถามต่อ ก่อนที่จะพูดอย่างอ้อมค้อมแสดงให้เขารู้ว่ากลับไปได้แล้ว 

 

 

“อืม” เยี่ยยวนพยักหน้าอย่างจริงจัง แต่ร่างนั้นกลับนั่งนิ่งไม่ขยับ 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวนึกว่าเขาฟังไม่เข้าใจ ก่อนจะเปลี่ยนวิธีการพูด “จะเที่ยงแล้ว ข้าไม่รบกวนท่านอาจารย์ปู่ดีกว่า” 

 

 

“อืม” ตอบกลับด้วยความจริงจัง แต่ยังคงนั่งนิ่ง 

 

 

“อาจารย์ปู่ ข้าไม่มีคำถามแล้ว” 

 

 

“อืม” ยังคงไม่ขยับไปไหน 

 

 

“ท่านอาจารยปู่ เดี๋ยวข้าจะต้องเปลี่ยนชุดไปทำอาหารแล้ว” 

 

 

“อืม” ยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับไปไหนด้วยท่าทีจริงจัง 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวเริ่มรู้สึกมีบางอย่างแปลกๆ “อาจารย์ปู่ ท่าน…ยังมีธุระ?’ 

 

 

“ไม่มี!” 

 

 

งั้นยังอยู่ทำไม อวิ๋นเจี่ยวนึกย้อนไปถึงบทสนทนาเมื่อกี้ ก่อนจะเอ่ยถาม “หรือข้ามีคำถามอะไรผิดไป” 

 

 

“ไม่มี!” 

 

 

“งั้นข้าเข้าใจอะไรผิด” 

 

 

“ไม่ใช่!” 

 

 

“งั้นข้าไม่ตั้งใจเรียน?” 

 

 

“ไม่เป็น!” 

 

 

“…” งั้นท่านยังนั่งอยู่ในห้องข้าทำไม เก๊กหล่อเหรอไง อวิ๋นเจี่ยวปากกระตุกเล็กน้อย คิดไม่ออกว่าทำไมเขายังคงอยู่ที่นี่ จ้องมองไปยังปรมาจารย์นี่ยังคงนั่งนิ่งยังเคร่งขรึม แล้วมองไปยังถ้วยอันว่างเปล่าที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ในหัวปรากฎความคิดที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยปากถาม “อาจารย์ปู่ หรือว่า…จะอยู่กินข้าวด้วยกันก่อน?” 

 

 

“ได้!” เยี่ยยวนแววตาสว่างขึ้นมาทันที ตอบอย่างไม่รีรอ อีกทั้งยังหยิบถ้วยบนโต๊ะส่งไปให้ 

 

 

อวิ๋นเจี่ยว “…” 

 

 

ที่แท้ก็รอกินข้าว บอกตั้งแต่แรกก็ได้! 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวรับถ้วยจากมือเขาด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน กำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง 

 

 

ชายแก่ก็ผลักประตูวิ่งเข้ามา พร้อมพูดว่า “เจ้าหนู กลางวันนี้กินอะ…” เขายังพูดไม่ทันจบ สายตาก็เหลือบไปเห็นเยี่ยยวนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ ก่อนจะเข่าอ่อน พรึบ ทรุดตัวลงไป คำพูดที่ยังพูดไม่จบก็สะดุดขึ้นมาทันที “อะ…อะ…อะ…” 

 

 

โอ้!!! ท่านปรมาจารย์ของเขาปรากฏตัวอีกอีกอีก…อีกแล้ว! 

 

 

—————— 

 

 

ไป๋อวี้คิดว่าตัวเองต้องฝันอยู่เป็นแน่ ชีวิตเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา ท่านอาจารย์ปู่อยู่ที่สูงเกินเอื้อมสำหรับเขา ปกติแล้วจะเป็นเพียงเรื่องเล่าที่อาจารย์เล่าให้ฟังเมื่อตอนเด็กเท่านั้น ทำให้เขารู้จักท่านเพียงแค่ป้ายบูชาที่เขียนว่า “เทพเจ้ากว่างจี้แห่งชิงหยาง” ที่ตั้งอยู่ชั้นบนสุดของเจดีย์เท่านั้น 

 

 

เขาไม่เคยคิดว่า ในชีวิตนี้จะมีโอกาสนั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกับท่านอาจารย์ปู่ มิหนำซ้ำยังกินทั้งสามมื้อ ไม่มีมื้อไหนขาดอีกต่างหาก 

 

 

แต่ก่อนเขาคิดว่าชื่อจริงของอาจารย์ปู่คือชิงหยางหรือไม่ก็กว่างจี้ จนกระทั่งสามวันก่อนเขาถึงได้รู้ว่าชื่อจริงของท่านคือเยี่ยยวน สาเหตุที่เขารู้ก็เป็นเพราะเจ้าหนูบอกว่าผักในห้องครัวจะเน่าแล้ว เลยทำผักดองออกมาสามขวด พวกเขาสามคนคนละขวด เพื่อเป็นการไม่หยิบผิดเลยแนะนำให้แปะชื่อของแต่ละคนไว้ 

 

 

ได้ยินอย่างนั้นท่านอาจารย์ปู่จึงได้ยกมือขึ้นสะบัดทีหนึ่งก่อนที่ยันต์ม่วงแผ่นหนึ่งปรากฏ และแปะเข้าไปที่ขวดที่ใหญ่ที่สุด เห็นเพียงแค่ยันต์นั้นมีตัวหนังสือที่เขียนไว้ว่า…เยี่ยยวน 

 

 

ไป๋อวี้ที่ได้ขวดเล็กที่สุด “…” 

 

 

ลูบคลำท้องที่กินไม่อิ่มมาหลายวัน อืม ต้องเป็นเพราะท่านอาจารย์ปู่ลงมาจากสวรรค์ครั้งแรก ยังตื่นเต้นจึงมาปรากฎตัวบ่อยเป็นแน่ สิ่งที่ทำให้เขาไม่เข้าใจอย่างเป็นที่สุดคือสวรรค์กับโลกมันอยู่ใกล้กันขนาดนี้เลยเหรอ ทำไมทุกครั้งที่ท่านโผล่มาดันเป็นเวลาที่พวกเขากำลังจะกินข้าวพอดี 

 

 

“ใครบอกว่าท่านอยู่บนสวรรค์” อวิ๋นเจี่ยวเอ่ยแทรก 

 

 

“ฮะ?” หมายความว่ายังไง ไป๋อวี้ตะลึง ท่านอาจารย์ปู่ไม่ได้สำเร็จเป็นเซียนไปแล้วเหรอ ไม่อยู่สวรรค์จะอยู่ที่ไหน 

 

 

“ท่านไม่รู้เหรอ” อวิ๋นเจี่ยวชี้นิ้วไปที่เจดีย์สูง ก่อนจะอธิบาย “ท่านอยู่ในป้ายบูชาที่ชั้นบนของเจดีย์มาโดยตลอด” ไม่เช่นนั้นจะลอยออกมาจากตรงนั้นทุกครั้งเหรอ 

 

 

“…” 

 

 

เจ้าหลอกข้าแน่ๆ! 

 

 

ท่านอาจารย์ปู่ไม่ได้อยู่บนสวรรค์! ท่านอยู่บนเจดีย์! ท่านอยู่ตลอด! งั้นนับสิบปีที่เขาอยู่ในสำนักนี้ เขาต้องตาบอดแน่เลย 

 

 

(╯°Д°)╯︵┻━┻ 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวขี้เกียจสนใจคนที่แสดงสีหน้าเหลือเชื่อไม่รู้ว่าจินตนาการไปไกลถึงไหนอย่างชายแก่ ถือกับข้าวหันหลังเดินเข้าห้อง แน่นอนว่าต้องเห็นคนบางคนที่มาทันเวลากินข้าวทุกครั้งราวกับคำนวณเวลามาอยู่ที่โต๊ะแล้ว อีกทั้งยังช่วยจัดวางถ้วยและตะเกียบอย่างเงียบๆ สีหน้าที่แสดงออกด้วยความจริงจังนั้นราวกับไม่ได้มากินข้าว แต่กำลังเข้าร่วมสัมมนาทางวิชาการอย่างใดอย่างนั้น 

 

 

“วันนี้ไม่มีน้ำแกงกระดูกไก่” อวิ๋นเจี่ยวเอ่ย 

 

 

แววตาของคนบางคนมืดลงไปทันที อีกทั้งยังทำให้แสงขาวรอบตัวนั้นมืดลงไปด้วย สีหน้าที่จริงๆ แล้วก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ดันทำให้นางรู้สึกได้ถึงความ…น้อยใจ? 

 

 

“แต่ว่ามีแกงเห็ด ลองชิมไหม” อวิ๋นเจี่ยวอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเสริม 

 

 

อีกฝ่ายถึงได้จ้องมองไปยังซุปที่เขาเพิ่งวางลง แล้วดมกลิ่นเบาๆ แววตาที่มืดลงไปกลับสว่างขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่จะพยักหน้า “อืม งั้นลองชิมหน่อยแล้วกัน” เขาตอบอย่างจริงจัง ราวกับนี่ข้าเห็นแก่หน้าของเจ้านะ ถึงได้ตัดสินใจกินอย่างนั้น 

 

 

อวิ๋นเจี่ยว “…” คนที่เป็นปรมาจารย์นี่ แม้กระทั่งมาขอข้าวกินยังเย่อหยิ่งขนาดนี้?