ตอนที่ 11 เริ่มเรียนปรุงยา Ink Stone_Romance
ณ ลานฝึกฝน หลิวหลีอาศัยพละกำลังของตนเองล้มอสูรวัวดุร้ายตัวหนึ่งด้วยมือเปล่า ตัวใหญ่โตราวภูเขาของมันถูกแยกออกเป็นสองส่วน นางเก็บกวาดอย่างชำนาญแล้วจึงออกจากที่นั่น แต่ก็ถูกอสรพิษแดงที่เป็นหัวหน้ากำกับนาง
“เร็วสิ วันนี้ข้าอยากกินหมูอบน้ำผึ้ง” ตั้งแต่ที่เอ๋าเลี่ยเริ่มหลงใหลฝีมือการทำอาหารของนาง เขาก็กลับมาหลงรักการกินที่เขาหลงลืมไปเสียนานแล้วอีกครั้ง
“เจ้าค่ะ นายท่าน รออีกสักครู่ได้หรือไม่” หลิวหลีลอกหนัง ชำแหละเครื่องในออกมา และใส่เครื่องปรุงนานาชนิดลงไปอย่างชำนาญ ก่อนจะชโลมน้ำผึ้งลงไปหนึ่งชั้นเป็นการปิดท้าย และเริ่มพลิกย่างไปมาทั้งด้านนอกและด้านใน ไม่นานกลิ่นหอมก็เริ่มอบอวล หลิวหลีครุ่นคิด พบว่าชีวิตตนช่างสิ้นหวัง โดยเฉพาะเมื่อวาน นางเปลืองเวลาขบคิดหาทางย่างปีศาจหมูอยู่นาน ยังมิทันได้ลิ้มรสสักคำ อสรพิษแดงตัวนั้นก็เขมือบทุกอย่างลงไปในคำเดียว ใช่ เขมือบทั้งหมดในคำเดียว แม้แต่กระดูกก็ยังไม่สำรอกออกมา หลิวหลีทำได้เพียงกลืนน้ำลาย งูก็ตัวเล็กกระจิดริดเพียงเท่านั้น กลืนกินปีศาจหมูที่ตัวใหญ่กว่าตนเป็นสิบเท่าลงไป พอคิดถึงร่างอันเรียวเล็กของตน เหงื่อเย็นๆก็ไหลออกมา ตั้งแต่นี้ไปนางคงกลายเป็นแม่ครัวประจำตัวของอสรพิษตัวนี้
“นังหนู เห็นแก่ฝีมือในการทำอาหารรสเลิศของเจ้า ข้าจะแสดงน้ำใจโดยบอกนามของข้ากับเจ้าแล้วกัน เลี่ย” เอ๋าเลี่ยกล่าวขณะสูดกลิ่นอาหาร
“เลี่ย อย่างนั้นข้าจะเรียกท่านว่า อาเลี่ยก็แล้วกัน จริงสิ วันนี้ท่านยังไม่ได้พ่นไฟเลย” หลิวหลีเอ่ย เหตุใดนางจึงให้ความร่วมมือเช่นนี้ นอกจากตอนนี้ที่พลังยุทธนางยังไม่เข้าขั้น แต่ด้วยนิสัยที่เถรตรง หากไม่โดนดูถูก นางจะไม่ยอมถอยให้เด็ดขาด เพียงแต่เพราะนางรู้สึกว่านางจะสามารถดูดซึมเพลิงอัคคีที่เอ๋าเลี่ยพ่นออกมาได้ นางจดจำ ‘คัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณ’ ได้อย่างแม่นยำ เมื่อวานหลังจากนางกินข้าวเสร็จได้ลองใช้เพลิงอัคคีเดินลมปราณดู แต่ย่อมมิใช่เส้นลมปราณพิเศษ 8 เส้น แต่เป็นเส้นลมปราณทั่วไปเท่านั้น นางลองดูดซับไปครู่หนึ่งก็พบว่าเส้นลมปราณของตนสามารถซึมซับได้ และยังสามารถคายสิ่งปนเปื้อนในเส้นลมปราณออกมาได้บางส่วน เอ๋าเลี่ยกินไปเล็กน้อย ใช่แล้ว สำหรับเขาแล้ว ปีศาจหมูทั้งตัวถือว่าน้อยนิดนัก เมื่อเห็นดวงหน้าโศกเศร้าของเด็กสาว เอ๋าเลี่ยรู้สึกละอายใจอย่างประหลาด ทว่าเมื่อเห็นนางไม่ร้องไห้โวยวาย จึงใช้มือฉีกไก่ฟ้าเพลิงอีกและยังทำตัวปกติเหมือนเมื่อครู่ ทำให้เขาละอายใจจนต้องพ่นเปลวเพลิงอสูรออกมา หลิวหลีก็รับมาด้วยใจประหวั่นพรั่นพรึ่ง จากนั้นจึงลองใช้เปลวเพลิงอสูรของเอ๋าเลี่ยทะลวงเส้นลมปราณ แต่ผลออกมาดีอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ไฟธรรมดาทะลวงเส้นลมปราณได้เพียงสั้นๆเท่านั้น ทว่าเพลิงอสูรของเอ๋าเลี่ยสามารถทะลวงเส้นลมปราณธรรมดาได้ถึงสามเส้น นางมองมือสกปรกของตน หลังจากต่อรองกับเอ๋าเลี่ยแล้ว เอ๋าเลี่ยจึงรับผิดชอบพ่นไฟ ส่วนหลิวหลีรับหน้าที่รังสรรค์อาหารเลิศรส
“อาเลี่ย แล้วแต่ท่าน” เอ๋าเลี่ยไม่พูดอะไรกับชื่อที่นางใช้เรียกเขา จากนั้นจึงพ่นเพลิงอสูรออกมาอีกครั้งหนึ่ง แม่หนูนี่รสมือยอดเยี่ยมเหลือเกิน แถมอาหารทุกจานยังบรรจุพลังเซียนเอาไว้ อาหารส่วนมากที่รักษาพลังเซียนได้ครบถ้วนนั้นรสชาติไม่ค่อยดีนัก แต่อาหารรสเลิศที่นังหนูทำนี้มีพลังเซียนไม่น้อยเลย ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือไม่ แต่เอ๋าเลี่ยรู้สึกว่าอาหารที่ใช้เพลิงอสูรของตนปรุงนั้น จะเก็บกักพลังเซียนได้มากขึ้น
หลิวหลีค่อยๆพลิกอาหารที่ปรุงจากเพลิงอสูรอย่างระมัดระวัง แล้วจึงยื่นวัวครึ่งตัวที่ย่างสุกแล้วให้เอ๋าเลี่ย อีกฝ่ายกลืนลงไปคำเดียวเหมือนอย่างเคย หลิวหลีไม่ใส่ใจ นางแหวกกองไฟ นำก้อนดินที่ฝังเอาไว้ในกองไฟเมื่อก่อนหน้านี้ออกมา เอ๋าเลี่ยมองนางปราดหนึ่ง นังหนูคนนี่มีรสนิยมแบบไหนกัน ถึงได้ชอบกินก้อนดินพอก
เมื่อนางทุบก้อนดินออก เขาก็เห็นห่อใบบัวที่ถูกอบด้วยเพลิงอสูร และกลิ่นหอมอบอวลก็โชยกลิ่นฟุ้งในทันทีที่แกะใบบัวออกมา ดวงตาคู่นั้นของเอ๋าเลี่ยเป็นประกายในทันที เจ้าก้อนดินนั่นหอมขนาดนี้เชียว มุมปากเขากระตุกด้วยความสงสัย แต่หลิวหลีไม่ใส่ใจ ตอนนั้นตกลงกันไว้แล้วว่า วัวเป็นของเอ๋าเลี่ย ไก่เป็นของนาง นางจัดการมื้อกลางวันของตนอย่างรวดเร็ว และนั่งสมาธิเหมือนอย่างเคย เมื่อเห็นตนเองสามารถควบคุมพลังได้ทีละเล็กน้อย หลิวหลีก็ลิงโลด ดีจริงๆ แค่พลังเท่านี้ของตนเองก็สามารถใช้เป็นอาวุธสังหารได้แล้ว
เอ๋าเลี่ยอิ่มเอมใจเมื่อเห็นหลิวหลีพยายาม ช่างเป็นเด็กดีรู้จักฝึกฝนมุมานะ ยังพอมีหวังที่จะได้เลื่อนช่วง เอ๋าเลี่ยค่อยๆลดทอนอคติที่มีต่อนาง จึงมักจะชี้แนะอีกฝ่าย ในเรื่องพวกจุดอ่อน และลักษณะเฉพาะที่จะพบในอสูรภูตระดับที่หนึ่ง หลิวหลีซึมซับความรู้ไปไม่น้อยราวฟองน้ำ และเมื่อรู้ว่าหลิวหลีกำลังฝึก ‘เคล็ดวิชาดวงจิตเพลิง’ ในฐานะที่นางเลี้ยงดูเขาเอ๋าเลี่ยจึงถามนางว่า ทำไมถึงฝึกเคล็ดวิชาที่ไม่เอาไหนเช่นนี้ และมอบ ‘เคล็ดวิชามังกรเพลิง’ และเคล็ดวิชาระดับสุดยอดของเผ่ามังกรให้นาง หลิวหลีเหนื่อยหน่าย เคล็ดวิชาอะไรกัน แค่เล่มเดียวก็พอแล้ว ให้มามากมายขนาดนี้คงจะกลายเป็นโรคไม่กล้าเลือกแน่
หลังจากนั่งสมาธิฟื้นฟูกำลัง หลิวหลีตัดสินใจไปยังสถานที่ต่อไป หลายวันที่ผ่านมาหลิวหลีไม่เพียงต่อสู้กับอสูรแล้ว เรียนรู้เรื่องพืชศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากที่เคยได้ยินเพียงชื่อจากเอ๋าเลี่ย จนบัดนี้นางสามารถเรียกชื่อบอกสรรพคุณได้ถูกต้องทั้งหมด ถึงแม้เอ๋าเลี่ยจะดูแคลนพืชศักดิ์สิทธิ์ระดับล่างเหล่านี้ ทว่าเมื่อคิดถึงระดับขั้นของนาง เอ๋าเลี่ยก็พลันรู้สึกว่าการปูพื้นฐานให้มั่นคงนั้นสำคัญอย่างยิ่ง
หลิวหลีติดตามเขาอยู่นาน จึงเก็บเกี่ยวความรู้มาได้ไม่น้อย จนเดินทางมาถึงลำธารสายน้อย หลิวหลีมองน้ำใสแจ๋วในลำธาร ปลาตัวน้อยที่มีชีวิตชีวา กินเนื้อย่างมาก็มากเริ่มชักอยากกินปลาแล้วสิ
“อาเลี่ย คืนนี้เราเปลี่ยนรสชาติกัน ข้าจะทำปลาย่างให้ท่านกิน” หลิวหลีเอ่ยพลางพับขากางเกงไปด้วย
ปลาหรือ เอ๋าเลี่ยมองปลาที่ไม่ได้ตัวใหญ่กว่าตนเท่าไรนัก ทั้งคาว ทั้งยังตัวเล็กนิดเดียว ต้องกินเท่าไหร่กัน ต่อให้กินปลาตัวเล็กจนเกลี้ยงลำธารก็ไม่ครณาท้องเขาด้วยซ้ำ เจ้าเด็กคนนี้ช่างอาจหาญเสียจริง
เขามองหลิวหลีที่กำลังจับปลาอย่างร่าเริง เอ๋าเลี่ยรู้สึกถึงกำลังวังชาของคนหนุ่มสาวขึ้นมาอย่างประหลาด เฮ้อ นางก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กน้อยเท่านั้นเอง
ปลาย่างในค่ำคืนนี้ปราบเอ๋าเลี่ยจนราบคาบ คาดไม่ถึงว่าความคาวที่ไม่เชื้อเชิญให้กลืนกิน จะเลิศรสถึงเพียงนี้ หลิวหลีเองก็กินปลาอย่างตื้นตัน สวรรค์ก็รู้ด้วยว่านางกินเนื้อกินจนจะอ้วกอยู่แล้ว
ระยะเวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลิวหลีออกจากลานฝึกฝน ก็เห็นอาจารย์สำนักตนเหาะมาหา เสวียนหั่วเห็นหลิวหลีที่มีพลังโลหิตในกาย เขาก็พึงพอใจอย่างมาก พลังเซียนทั้งแปดในที่สุดก็มีพลังออกมาเป็นรูปเป็นร่าง เขาควรให้นางฝึกปรุงยาดีหรือไม่ ก่อนจะปรุงยานั้น ต้องเตรียมยาเป็นเสียก่อน
“ศิษย์ข้า พลังเซียนของเจ้ามีพัฒนาการรวดเร็วสามารถลองฝึกเตรียมยาบางชนิดได้แล้ว” เสวียนหั่วเอ่ย
“เตรียมยาหรือเจ้าคะ” ศัพท์ประหลาดนี้ทำให้นางนึกถึงป่านหลานเกิน ยาแก้ไอรสหวาน รสชาติคงจะพอใช้ได้กระมัง
“ใช่แล้ว นี่คือยา 10 ชนิด ศิษย์ข้า อาจารย์ให้เวลาเจ้า 3 เดือนเพื่อฝึกฝนให้คล่องแคล่ว สามเดือนให้หลัง ข้าจะนำยาของเจ้าไปทดสอบ ถึงตอนนั้นเกียรติภูมิของข้าก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” เสวียนหั่วเคลื่อนเคล็ดวิชาเข้าร่างกายของนาง ทันใดนั้นในสมองหลิวหลีพลันปรากฏความรู้เรื่องยาสิบชนิด สามเดือน อาจารย์เห็นค่าของนางมากเช่นนี้ นางจะต้องตั้งใจให้มาก
“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์ ศิษย์จะพยายาม” หลิวหลีผงกศีรษะ
หลิวหลีเลือกยาตัวหนึ่งจากยา 10 ชนิด นางคิดว่าเริ่มฝึกจากยาชนิดเดียวก่อนดีกว่าน่าจะดีกว่า นางทำตามขั้นตอนไม่นานก็ต้มยาได้สำเร็จ ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนี่นา
เอ๋าเลี่ยปรากฎตัว เมื่อเห็นว่านังหนูทำใบหน้าลิงโลด ก็มองนางอย่างดูแคลน
“นังหนู เจ้าคิดง่ายเกินไปแล้ว ที่เจ้าเคี่ยวอยู่คือสิ่งใดกัน ไม่มีพลังเซียนเลยแม้แต่น้อย”
“ไม่มีมีพลังเซียนเลยแม้แต่น้อยหรือ” หลิวหลีเอ่ยซ้ำ พลังเซียน หลิวหลีมองยาในมือตน แล้วเทียบกับคำพูดของเอ๋าเลี่ย นั่นก็เท่ากับว่า ที่นางเคี่ยวอยู่คือยาจีนนะสิ ความมั่นใจของนางแหลกละเอียดลงในทันที
หลิวหลีกลัดกลุ้มกับยาตรงหน้าอย่างยิ่ง ที่แท้สุดท้ายแล้วอาจารย์จะดูว่ายาที่นางเคี่ยวมีพลังเซียนอยู่กี่มากน้อย จะทำอย่างไรดี นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไปดูที่โรงยาว่าควรต้องปรุงยาอย่างไรให้ได้ผล
นางเหยียบเท้าลงบนพาหนะเหินฟ้าที่เสวียนหั่วให้ไว้ หลิวหลีเขย่าประตูหอโอสถ และเหาะตรงเข้าไปหาเจ้าตำหนักเทียนเย่า
“ศิษย์น้อง เป็นยังไงมายังไง เจ้ามาเยี่ยมสหายหรือ” เทียนเย่ามอเด็กหญิงตัวน้อยผิวขาวนวลเนียนที่อยู่ตรงหน้า และถามด้วยใจเอื้ออารี ศิษย์น้องยังเด็ก เวรกรรมเสียจริง
“โจวอีกับโจวมั่ว ไม่ใช่สิ ศิษย์พี่ หลิวหลีมีคำถามอยากขอความรู้จากท่าน” นางดื่มชาศักดิ์สิทธิ์เข้าไปอึกหนึ่ง ทว่าความคิดกลับแล่นไปไกล จะต้องขอใบชาจากศิษย์พี่กลับไปทำไข่ต้มสมุนไพรเสียหน่อย
“มาหาข้าหรือ” เทียนเย่าไม่เข้าใจจุดประสงค์ของนาง นางหาตนด้วยเหตุใด
“ใช่สิเจ้าคะ ศิษย์พี่ ท่านอาจารย์ให้ข้าปรุงยาให้ได้สิบชนิดภายในเวลาสามเดือน แต่ข้าไม่รู้วิธีปรุงยา จึงอยากให้ศิษย์พี่สอนข้าหน่อย ว่าจะปรุงยาได้อย่างไร”
“ปรุงยาหรือ” เทียนเย่ารู้สึกว่าเรื่องนี้ออกจะเกินไป ศิษย์น้องเริ่มปรุงยาแล้วหรือนี่ ลูกศิษย์ทั้งสองของตนยังท่องตำราสมุนไพรอยู่เลย เทียบกันไม่ได้จริงๆ
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ”
“ตันเหมินมีหมอยาอยู่ ศิษย์น้องน่าจะไปดูสักหน่อยก็ได้” เรื่องการตระเตรียมยาเป็นเรื่องเสียเวลา ช่างใช้คนไม่เหมาะกับงานเสียเลย
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ศิษย์พี่” หลิวหลีเอ่ยขอบคุณจากใจจริง ทว่ายังไม่ขยับตัว นางจะเอ่ยปากขอชาศักดิ์สิทธิ์อย่างไรดี
“ศิษย์น้องยังมีเรื่องอันใดหรือ” เทียนเย่าไต่ถามอย่างเอาใจใส่เมื่อเห็นหลิวหลีทำท่าอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
“คือว่า ศิษย์พี่ ชาศักดิ์สิทธิ์ถ้วยนี้รสชาติไม่เลวเลย” หลิวหลีอ้ำอึ้งอยู่เป็นนานสองนานกว่าจะเอ่ยได้สักประโยค
เด็กหญิงถูกใจชาศักดิ์สิทธิ์ของเขา
“ข้ามีอยู่ไม่น้อย แบ่งให้เจ้าหน่อยจะเป็นไรไป ดื่มหมดแล้วอย่าลืมมาเอาที่ข้าอีกล่ะ” เทียนเย่านึกว่ามีเรื่องอันใด แค่ชาเท่านั้นเอง ให้นางนิดๆหน่อยๆจะเป็นไรไป
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะศิษย์พี่ หลิวหลีขอลา” นางรับชาศักดิ์สิทธิ์มาอย่างดีอกดีใจ และเดินออกไปอย่างร่าเริง
โธ่ ศิษย์น้องในวัยหกขวบ ช่างเป็นเด็กน้อยจริงๆ เทียนเย่าคิดพลางดื่มชาอึกหนึ่ง แล้วจึงไปเข้าฌาณ
หลิวหลีทำตามคำแนะนำของอีกฝ่าย เมื่อได้เห็นสถานที่ปรุงยา เห็นอากัปกิริยาแต่ละคนคล่องแคล่วและมือไม้ของพวกเขา ก็ทำให้นางพอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง เอ๋าเลี่ยส่งเสียงหานาง “นังหนู ทั้งการปรุงยาและการทำยาลูกกลอนล้วนต้องใช้สัมผัสเซียน พวกเจ้าต้องใช้สัมผัสเซียนปรุงยา อีกอย่างการรักษาพลังเซียนเอาไว้ก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน โดยทั่วไปความบริสุทธิ์ของสมุนไพรวิเศษจะแปรผันตรงกับพลังเซียนในตัวยาทั้งสิ้น”
“อาเลี่ย ท่านรู้เยอะเสียจริง” หลิวหลีเริ่มเลื่อมใสเขาขึ้นมา
“แน่นอนสิ เจ้าอย่าลืมสรรหาอาหารเลิศรสมาให้ข้า” เอ๋าเลี่ยไม่ลืมกำชับให้นางหาของอร่อยๆให้เขา ตั้งแต่นางกลับมาคราวนี้ คุณภาพอาหารตกต่ำลงไปมาก
“ได้เจ้าค่ะ วันนี้ข้าขอใบชาศักดิ์สิทธิ์จากศิษย์พี่กลับมา กลับไปจะทำไข่ต้มสมุนไพรให้ท่านกิน” หลิวหลีรีบรับปากอย่างใจกว้าง
“ไข่ต้มสมุนไพรหรือ” คิดแล้วก็น่ากิน
หลิวหลีรู้สึกพอหอมปากหอมคอแล้วจึงกลับไปที่หอปรุงยา และนำพืชศักดิ์สิทธิ์ออกมา ทดลองใช้พลังเซียนห่อหุ้มพืชศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ จากนั้นค่อยๆใช้สัมผัสเซียนตรวจตราพืชศักดิ์วิทธิ์ นางพบว่าในพืชศักดิ์สิทธิ์มีเพียงจุดเดียวเท่านั้นที่มีพลังเซียนหนาแน่น คิดแล้วตรงจุดนี้คงเป็นส่วนสำคัญในการปรุงยา ทดลองเคลื่อนย้ายพลังเซียนแล้ว นางก็เริ่มบดพืชศักดิ์สิทธิ์ก้านแรก
………………………………………………………………