ภาคที่ 1 บทที่ 16 นัดพบ

มู่หนานจือ

วันรุ่งขึ้นรายชื่อของนางในที่จะออกจากวังก็ออกมาแล้ว นอกจากติงเซียงกับเถิงหลัวที่อยู่ข้างกายเจียงเซี่ยนแล้วยังมีนางในระดับสูงสองคนที่รับใช้อยู่ข้างกายไป๋ซู่ นางในระดับสูงสองคนที่รับใช้อยู่ข้างกายไทฮองไท่เฟย และนางในระดับต่ำกับระดับสูงอีกจำนวนหนึ่ง

เหมือนกับชาติก่อน ไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อที่อยู่ข้างกายเจียงเซี่ยนเลื่อนขึ้นมาเป็นนางในระดับเจ็ด ส่วนทางไป๋ซู่ก็เลื่อนตำแหน่งให้หลิ่วเย่กับหลิ่วเหมยขึ้นมา

ตามความตั้งใจของไทฮองไทเฮา ในเมื่อพวกติงเซียงจะต้องออกจากวังแล้ว ก็ไม่ให้เสียเวลาในช่วงนี้ไปเช่นกัน นางในและนางในระดับสูงที่เลื่อนขั้นแล้วก็เริ่มรับผิดชอบหน้าที่ของตนเองทันที ส่วนเหล่านางในและนางในระดับสูงที่จะออกจากวังก็ได้พักผ่อนเร็วหน่อย คนที่ควรบอกลาก็บอกลา อยากไปดูหรือเดินที่ไหนก็ทำให้เสร็จโดยเร็ว วันที่ยี่สิบสองเดือนเก้าจะจัดการส่งออกไปจากวังพร้อมกันทั้งหมด

เจียงเซี่ยนจำได้ว่าชาติก่อนตอนที่ติงเซียงกับเถิงหลัวออกจากวัง นางไม่เพียงแต่มอบเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่ไม่ผิดข้อห้ามให้ ทว่ายังมอบเงินให้คนละสามร้อยตำลึงด้วย แน่นอนว่าชาตินี้ก็ยังคงเหมือนเดิม รอให้ติงเซียงกับเถิงหลัวส่งมอบและรับช่วงต่องานในมือเรียบร้อยแล้ว เจียงเซี่ยนก็เอาเงินยี่สิบตำลึงให้ไป่เจี๋ยเลี้ยงอาหารพวกติงเซียงสักมื้อ แล้วมอบของให้

ตอนที่ติงเซียงกับเถิงหลัวเข้ามาขอบคุณ สีหน้าเหมือนงุนงงเล็กน้อย

เจียงเซี่ยนจำไม่ได้ว่าชาติก่อนทั้งสองคนก็แสดงสีหน้าแบบนี้ออกมาเหมือนกันหรือไม่ พอคิดว่าสองคนนี้รับใช้ตนเองมาเกือบสิบปี นางก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยอย่างสบายใจด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “พวกเจ้าออกจากวังไปแล้ว หากเจอเรื่องลำบากอะไร ก็ไปแจ้งข่าวที่จวนเจิ้นกั๋วกงได้เลย ข้าจะกำชับให้ซื่อจื่อดูแลพวกเจ้า”

ซื่อจื่อก็คือเจียงลวี่

ทั้งสองคนรีบคำนับ ตอนที่ลุกขึ้นมานั้นน้ำตาก็ไหลพรากแล้ว ทำให้เจียงเซี่ยนก็เสียใจนานมากเช่นกัน

ส่วนไป๋ซู่นั้นนัดเจอเฉาเซวียนที่หน้าประตูใหญ่ของวังฉือหนิงแล้ว

เจียงเซี่ยนเห็นนางสวมเสื้อคลุมยาวสีเรียบลายดอกเปี้ยนตี้จินสีกุหลาบม่วงที่กลางเก่ากลางใหม่ แต่กลับสวมต่างหูไข่มุกเหอผู่คู่ที่ไทฮองไทเฮาพระราชทานให้ตอนวันตรุษจีน ซึ่งขับให้ทั้งหน้าสวยงามดั่งดอกบัว จนนางอดที่จะเม้มปากยิ้มไม่ได้

ไป๋ซู่เห็นนางยิ้มก็หน้าแดงด้วยความเขินอาย และเอ่ยเพียงประโยคเดียวอย่างรีบมากว่า “ข้าไปแล้ว” แล้วก็เดินออกไปจากห้องอุ่นตะวันออกอย่างเร็วมาก

เฉาเซวียนรออยู่ที่หน้าประตูวังฉือหนิงตั้งนานแล้ว

เขาใช้ความคิดอย่างหนักมากก็คิดไม่ออกว่าไป๋ซู่นัดเขาทำไม

ทว่าไป๋ซู่เห็นเฉาเซวียนแล้วกลับคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้อย่างกะทันหัน

มิน่าเล่าเฉาเซวียนถึงได้ถูกคนเรียกว่า ‘บุรุษรูปงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง’

เขายืนอยู่ใต้ต้นฉัตรจีนต้นใหญ่หน้าประตูวังฉือหนิงอย่างสบายๆ แสงและเงาที่มีสีอื่นแทรกแซมอยู่ทะลุผ่านใบไม้มาตกกระทบลงบนหน้าของเขา กล้ามเนื้อและผิวหนังราวกับหิมะ หน้าตาลุ่มลึก

ไป๋ซู่เข้าใจความคิดของเจียงเซี่ยนเป็นครั้งแรก…ได้เห็นใบหน้าแบบนี้ รอยยิ้มอ่อนโยนแบบนี้ ส่วนเขาจะคิดอย่างไรนั้น ใครจะมีกะจิตกะใจไปเดาอีกเล่า?

นางเดินอมยิ้มเข้าไปหา และคารวะเฉาเซวียน ทว่าพอเงยหน้ากลับพบว่าใต้ต้นฉัตรจีนต้นใหญ่ยังมีบุรุษอีกผู้หนึ่งยืนอยู่ด้วย

เขาสวมใส่เครื่องแบบและเครื่องประดับขององครักษ์วังหลวง รูปร่างสูงเพรียวโดดเด่น ผิวขาวหมดจดแดงเลือดฝาด หน้าตาแข็งแกร่ง คิ้วหนาทั้งสองข้างขับให้สันจมูกโด่งโดดเด่น มีความหล่อเหลาแบบองอาจห้าวหาญ

หากบอกว่าเฉาเซวียนเป็นดอกท้อดอกหนึ่ง บุรุษผู้นี้ก็เป็นต้นไม้ต้นหนึ่ง ถึงแม้ต้นไม้จะไม่สะดุดตาเท่าดอกไม้ แต่กลับดูซ้ำได้หลายรอบโดยที่ไม่เบื่อมากกว่าดอกไม้

ไป๋ซู่อดที่จะมองชายคนนั้นอีกครั้งไม่ได้

ชายคนนั้นรู้สึกถึงสายตาของนางแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่หลบเลี่ยง กลับยังยิ้มให้นางด้วย

รอยยิ้มนั้นสว่างไสวเจิดจ้า ราวกับสามารถสลายเงามืดทั้งหมดในใจคนได้เหมือนแสงอาทิตย์ ทำให้คนมองแล้วรู้สึกเบิกบานขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

มีแต่คนที่มีความสุขเท่านั้นที่จะมีรอยยิ้มแบบนี้ได้

ชายผู้นี้ต้องมาจากตระกูลที่ดีมากอย่างแน่นอน อยู่ในบ้านที่พ่อแม่รักกัน พี่น้องรักใคร่กลมเกลียว และเติบโตมาอย่างราบรื่นโดยตลอด โดยไม่เคยเจออะไรที่มืดมนและไม่เคยเจออุปสรรคอะไรที่ร้ายแรง

ไป๋ซู่คิดพลางมองเฉาเซวียนอย่างงุนงง แล้วเอ่ยว่า “ท่านนี้คือ?”

เฉาเซวียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านนี้คือหลี่เชียนบุตรชายคนโตของหลี่ฉางชิงแม่ทัพฝูเจี้ยน เจ้าอย่ามองว่าเขาอายุยังน้อย ปีที่แล้วเขาสอบขุนนางระดับหย่วนซื่อ[1]ผ่านแล้วนะ ทำพิธีสวมหมวก[2]ล่วงหน้าแล้ว ชื่อจงเฉวียน ตอนนี้เป็นองครักษ์อยู่หน่วยองครักษ์”

ไป๋ซู่ตกใจมาก

นางคิดไม่ถึงว่าหลี่เชียนจะยืนอยู่ตรงหน้านางแล้วเช่นนี้

ทว่าสิ่งที่ทำให้นางยิ่งตกใจคือคิดไม่ถึงว่าหลี่เชียนจะสอบขุนนางผ่าน ตามหลักแล้ว ตระกูลที่สร้างตัวด้วยความดีความชอบด้านการรบแบบตระกูลหลี่นี้ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาลูกชายกับลูกสาวจะไม่เดินในเส้นทางสู่การเป็นขุนนาง ดังนั้นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเรียนหนังสือแล้ว หลี่เชียนคนนี้ไม่เพียงแต่เรียนหนังสือ ทว่ายังเรียนเก่งมากด้วย และสุดท้ายก็ยังเข้าหน่วยองครักษ์โดยการส่งเสริมจุดแข็งและหลีกเลี่ยงจุดอ่อน เหมือนหลี่เชียนเรียนหนังสือเพียงเพื่อให้รู้หนังสือและเข้าใจเหตุผลเท่านั้น

นี่หลี่ชางชิงอยากให้ลูกชายเป็นแม่ทัพใหญ่ที่ ‘อยู่บนหลังม้าก็ไปต่อสู้กับชนกลุ่มน้อยที่กำเริบเสิบสาน ลงจากหลังม้าก็มายุ่งอยู่กับการร่างเอกสารในกองทัพ’ อย่างนั้นหรือ?

เขาฝากความหวังสูงอันไร้ที่สิ้นสุดไว้กับลูกชายคนโตของตนเองคนนี้แล้วจริงๆ ด้วย!

เพียงแต่ไม่รู้ว่าลูกชายคนโตของเขาคนนี้มีความสามารถนี้หรือไม่กันแน่!

ไป๋ซู่กระซิบอยู่ในใจ ทว่ากลับไม่แสดงออกทางสีหน้า และยิ้มพลางทักทายหลี่เชียน

หลี่เชียนอาจจะรู้ว่านางเป็นใคร จึงค่อนข้างสนใจนาง ซึ่งนอกจากครั้งแรกที่ตั้งใจมองนางแล้ว ตอนหลังก็ค่อนข้างรักษามารยาทและไม่มองนางตรงๆ อีก เขาคารวะนางครั้งหนึ่งแล้วก็ถอยหลังไปหลายก้าวไปยืนอยู่ข้างหลังเฉาเซวียน

แผนการทั้งหมดของไป๋ซู่ถูกก่อกวนจนชะงักไปแล้ว

อย่างไรนางก็ถามเฉาเซวียนต่อหน้าหลี่เชียนไม่ได้กระมัง?

“คิดไม่ถึงว่าจะเจอองครักษ์หลี่ที่นี่” ไป๋ซู่เอ่ยอย่างเกรงใจ “ไม่ทราบว่าตอนนี้องครักษ์หลี่รับใช้อยู่ที่ไหนหรือ? พออยู่ได้หรือไม่?”

หลี่เชียนก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าไป๋ซู่จะคุยกับตนเอง เขามองเฉาเซวียนครั้งหนึ่งอย่างค่อนข้างแปลกใจ สีสันที่แตกต่างกันฉายวาบในดวงตาอย่างคลุมเครือ เขาค้อมตัวเล็กน้อย แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเพิ่งจะเข้าวัง ยังไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น ไทเฮาจึงให้ข้าอยู่รับใช้ที่วังคุนหนิงเป็นการชั่วคราวขอรับ”

วังฉือหนิงกับวังคุนหนิงไม่ค่อยถูกกัน พอไป๋ซู่คิดว่าหลี่เชียนเป็นคนของเฉาไทเฮาแล้ว ก็รู้สึกเหมือนเสียดายอย่างบอกไม่ถูก นางพูดคุยอย่างขอไปทีไม่กี่คำ ก็เริ่มคุยกับเฉาเซวียน “หลายวันก่อนไทเฮาพระราชทานขนมถั่วแดงให้กล่องหนึ่ง ตรัสว่าเจ้าเอามาให้ไทเฮาชิมจากนอกวัง ท่านหญิงกินแล้วรู้สึกอร่อยมาก จึงตั้งใจให้ข้ามาถามดูโดยเฉพาะว่าขนมถั่วแดงนั้นซื้อมาจากที่ไหน”

เป็นไปไม่ได้กระมัง?

เรียกเขาเข้าวังมา เพื่อถามเรื่องนี้หรือ?

แต่เขาเคยเอาขนมถั่วแดงเข้ามาในวังตอนไหนกัน ทำไมเขาจำไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว!

เฉาเซวียนตกใจ แล้วก็กลัวเจียงเซี่ยนจะไปซื้อขนมตาม จึงไม่กล้าพูดจาส่งเดช และจำเป็นต้องตอบไปอย่างคลุมเครือว่า “ข้าเคยส่งขนมถั่วแดงเข้าวังหลายครั้ง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอันที่ไทเฮาพระราชทานให้นั้นเป็นของครั้งไหน? เดี๋ยวข้าจะลองไปถามที่วังคุนหนิงให้ แล้วค่อยมาบอกเจ้า ได้หรือไม่?”

“ถ้าเช่นนั้นก็ขอบคุณเฉิงเอินกงมากแล้ว” ไป๋ซู่ยิ้มพลางบอกลาเฉาเซวียน

ทว่าเฉาเซวียนกลับตื่นเต้นมาก และลากหลี่เชียนไปเอ่ยเสียงเบาว่า “เห็นหรือยัง นั่นก็คือท่านหญิงชิงฮุ่ยคุณหนูใหญ่ของตระกูลไป๋จวนเป่ยติ้งโหว หน้าตาสวยใช่หรือไม่? ข้าจะบอกให้นะ คนที่มีสิทธิมาเข้าเฝ้าไทฮองไทเฮาและไทเฮาในเมืองหลวงนี้ ส่วนใหญ่ข้าจำได้หมด คนที่ตระกูลมีอำนาจมากกว่าท่านหญิงชิงฮุ่ยมีไม่น้อย แต่ไม่มีใครสวยกว่านาง และคนที่สวยกว่านางก็มีไม่กี่คนเช่นกัน แต่ไม่มีใครฐานะดีกว่านาง ผู้หญิงแบบนี้มีน้อยมาก เสด็จอาของข้าก็คิดเพื่อเจ้าเช่นกัน และไม่ได้ผลักผู้หญิงสักคนมาตรงหน้าเจ้าอย่างมั่วซั่ว”

และก็ด้วยเหตุนี้เช่นกัน พอได้ยินว่าไป่ซู่อยากเจอเขา เขาถึงได้พาหลี่เชียนมาด้วย

หลี่เชียนยิ้ม และไม่เอ่ยสิ่งใด หน้าตาเจือรอยแดงด้วยความเขินอายเล็กน้อยอย่างที่ชายหนุ่มคนนี้เจอผู้หญิงที่เหมาะจะแต่งงานด้วยแล้ว และเอ่ยว่า “ขอบคุณไทเฮากับเฉิงเอินกงมาก เพียงแต่ถึงอย่างไรเรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานก็ ‘คำสั่งของบิดามารดา คำพูดของแม่สื่อ’ …”

ความนัยที่แฝงอยู่ในนั้นคือ อย่ายื่นมือเข้ามาก้าวก่ายจะดีกว่า

เฉาเซวียนหัวเราะเสียงดัง และรู้สึกว่าคนแบบหลี่เชียนนี้น่าสนใจมาก

หลี่เชียนเหมือนกระอักกระอ่วนเล็กน้อย จึงเปลี่ยนคำถามอย่างชัดเจนว่า “เฉิงเอินกง ไทเฮาได้เลือกเรื่องแต่งงานให้ท่านหรือไม่?”

———————————-

[1] ระดับหย่วนซื่อ การสอบขุนนางระดับที่สองในสมัยหมิงและชิง ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่ ถงซื่อ หย่วนซื่อ เซียงซื่อ ฮุ่ยซื่อ และเตี้ยนซื่อ

[2] พิธีสวมหมวก พิธีบรรลุนิติภาวะที่จัดขึ้นสำหรับเด็กชายที่อายุครบ 20 ปี เพื่อแสดงว่าเด็กชายเป็นผู้ใหญ่ และสามารถแต่งงานได้แล้ว ซึ่งในพิธีนี้บิดามารดาจะตั้งชื่ออย่างเป็นทางการให้ด้วย