เมื่ออันหลินฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือใบหน้าขาวเนียนไร้มลทินดุจผิวหยกของสวีเสี่ยวหลาน
นางชะโงกเข้ามาใกล้มาก กะพริบตาปริบๆ ราวกับกำลังตรวจสอบอะไรบางอย่าง
“บนหน้าข้ามีอะไรอยู่งั้นหรือ” อันหลินถามอย่างอ่อนแรง
สวีเสี่ยวหลานยิ้มบางๆ “มีสิ”
นางยื่นนิ้วงามเรียวยาว แตะที่ปลายจมูกของอันหลินเบาๆ
ท่าทางใกล้ชิดแบบนี้ ทำให้อันหลินรู้สึกเขินนิดหน่อย หน้าแดงก่ำพูดว่า “ฉวยโอกาสแต๊ะอั๋งข้า ตอนที่ข้าอ่อนเพลีย ไม่ค่อยดีหรอกมั้ง…”
แควก
“โอ๊ย…เจ็บ!”
อันหลินกุมจมูก ตะโกนดังลั่น จากนั้นเขาก็เห็นแผ่นยันต์เล็กๆ ในมือของสวีเสี่ยวหลาน
“นี่เป็นยันต์หยุดเลือด เห็นเลือดกำเดาเจ้าหยุดไหลแล้ว ข้าก็เลยดึงออกมาน่ะสิ”
สายตาที่สวีเสี่ยวหลานมองอันหลิน มีความยั่วเย้าเสี้ยวหนึ่งแฝงอยู่
จากนั้น นางก็พูดต่อว่า “อันหลิน เพิ่งเป็นตัวแทนประจำวิชาวันแรก ก็อุทิศตัวเอง ถวายชีวิต พยายามจนเลือดกำเดากระฉูดหมดสติไป เจ้านี่มันจริงๆ เลย”
อันหลินลูบจมูกอย่างเก้อเขิน
คำพูดของสวีเสี่ยวหลาน ทำเขาต่อบทสนทนาไม่ได้
“อ้อ จริงสิ ซูเฉี่ยนอวิ๋นล่ะ”
“นางน่ะหรือ หลังอาจารย์หลิวบอกว่าเจ้าไม่เป็นอะไรมาก ก็กลับไปแล้ว เจ้าไม่รู้หรอกว่า ตอนที่นางรู้สาเหตุที่แท้จริงที่เจ้าหมดสติจากปากอาจารย์หลิว อากัปกิริยาแบบนั้น ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีโอกาสทำให้เทพีอันดับหนึ่งของสำนักเราเกิดความรู้สึกไม่ดี เกรงว่าคราวนี้เจ้าจะคว้าน้ำเหลวแล้ว”
สวีเสี่ยวหลานมองอันหลินด้วยสีหน้าสะใจ พูดอย่างหน้าชื่นตาบาน
อันหลินถอนหายใจ “อย่างไรเสียนางก็ไม่มีทางชอบข้า คิดเรื่องพวกนี้มากไปก็ไม่มีประโยชน์”
“ยังดีที่เจ้าเจียมเนื้อเจียมตัว รีบลุกขึ้นมา ไปกินข้าว!” สวีเสี่ยวหลานตะโกน
อันหลินถึงได้รู้สึกตัวว่า ตอนนี้ท้องของเขาว่างเปล่า
“เจ้าก็ยังไม่ได้กินข้าวหรือ” อันหลินถาม
“ก็เพราะเรื่องบ้าๆ ของเจ้าน่ะสิ! ตอนแรกไปโรงอาหารแล้วแท้ๆ พอได้ยินว่าเจ้าเป็นลม จึงร้อนใจรีบมาดูแลเจ้า เจ้าว่า ข้าดีกับเจ้าขนาดนี้ เจ้าจะตอบแทนข้าอย่างไร” สวีเสี่ยวหลานกลอกตาใส่อันหลิน ฮึดฮัดในลำคอ
“เอาอย่างนี้ ข้ามอบชีวิตให้ดีไหม” อันหลินพูดพร้อมทำหน้าซาบซึ้งใจ
“ไปให้พ้น!”
…
ชีวิตของอันหลินกลับสู่สภาพปกติอีกครั้ง
วันเวลาผ่านไปแต่ละวัน ซูเฉี่ยนอวิ๋นยังคงมาเรียนภาษาจีนและภาษาอังกฤษกับเขา แต่กลับแอบรักษาระยะห่างกับเขา เห็นได้ชัดว่าเกิดความขัดข้องใจกับเรื่องก่อนหน้านี้
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ อันหลินก็เป็นคนเดียวที่นางสามารถพูดคุยได้
เพราะซูเฉี่ยนอวิ๋นนอกจากบำเพ็ญเพียรแล้ว ก็มีเพียงฝึกฝนสองภาษานี้เท่านั้น เรื่องอื่นนางไม่สนใจเลยสักนิด
…
สามเดือนผ่านไปอย่างไม่รู้ตัว
ค่ำคืนหนึ่ง พันธนาการบางอย่างในตัวอันหลิน ถูกพลังมหาศาลทลาย บรรลุกายแห่งมรรคขั้นสี่ได้สำเร็จ!
ราตรีนี้เรียกได้ว่าเป็นคืนที่อันหลินมีความสุขมากที่สุด
เขาพิสูจน์ด้วยความพยายามแล้วว่า เขาก็สามารถบำเพ็ญเซียนได้โดยไม่ต้องพึ่งระบบบ้าบอนี่ เพียงพึ่งความสามารถของตัวเองเท่านั้น!
“หึ ต่อให้สั่งให้เราวิดพื้น ‘ร้อยล้าน’ ยกกำลัง ‘ร้อยล้าน’ ครั้งแล้วยังไง บำเพ็ญเพียรด้วยตัวเองก็ได้!” อันหลินพูดอย่างกระหยิ่มใจ
แม้จะพูดแบบนี้ แต่เขาก็ยังค้นดูระบบเทพสงครามของตัวเองด้วยความคาดหวังอยู่ดี
‘กายแห่งมรรคขั้นห้า บรรลุเงื่อนไข ดูดซึมพลังชีวิตของหินวิญญาณสิบก้อน’
หินวิญญาณเหรอ อันหลินชะงักเล็กน้อย
สำนักนี้อยู่ฟรีกินฟรี ไม่มีโอกาสได้สัมผัสเงินตราขุมพลังชนิดนี้ของแดนบำเพ็ญเซียนอย่างสิ้นเชิง
ฉะนั้น ตอนนี้เขาไม่มีหินวิญญาณเลยแม้แต่ก้อนเดียว
หินวิญญาณสิบก้อน คิดว่าคงจะได้มาไม่ยากมากหรอก ลองถามสวีเสี่ยวหลานดูดีกว่าว่า นางมีหรือเปล่า
ขณะที่อันหลินกำลังจะไปห้องข้างๆ ฝีเท้ากลับหยุดชะงักตรงหน้าประตู เกิดความลังเลขึ้นมา
ในฐานะที่เป็นพวกรั้งท้ายของห้องหนึ่ง เขาต้องรบกวนให้สวีเสี่ยวหลานสอนเขาไม่น้อยเลย
และเป็นเพราะสวีเสี่ยวหลานช่วยเหลือเขามากมายเหลือเกิน หากไปขอเงินกับนางตอนนี้ อันหลินพูดไม่ออกจริงๆ
ขณะที่อันหลินกำลังสองจิตสองใจ ก็มีเงาของคนคนหนึ่งผุดขึ้นมาในสมอง เซวียนหยวนเฉิง!
เขาเคยบอกอันหลินไว้แบบนี้ ‘หากเจ้ามีปัญหาอะไรเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียร มาบอกข้าได้ ข้าในฐานะหัวหน้าห้อง ต้องพยายามช่วยเจ้าสุดความสามารถแน่นอน!’
บ้านพักของเซวียนหยวนเฉิง อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ตอนนี้เวลายังไม่ดึกมาก รีบไปน่าจะทัน
เมื่อคิดได้ดังนั้น อันหลินก็เริ่มเคลื่อนไหว มุ่งหน้าไปยังห้องพักของเซวียนหยวนเฉิง
อันหลินไม่รู้ว่าสิ่งที่เซวียนหยวนเฉิงพูดเป็นเรื่องจริงหรือไม่ บอกตามตรงการไปครั้งนี้เขากดดันไม่น้อยเลย
แต่เพื่อการบำเพ็ญเพียรแล้ว เขายอมทุ่มสุดตัว
อันหลินเคาะประตูห้องเซวียนหยวนเฉิงด้วยใจที่ตุ้มๆ ต่อมๆ
ประตูห้องเปิดออก เขาเห็นเซวียนหยวนเฉิงที่สวมชุดโบราณปักดิ้นทอง
เมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างนอกเป็นอันหลิน ใบหน้าของเซวียนหยวนเฉิงก็ฉายรอยยิ้มอ่อนโยน
“ไม่ทราบว่าสหายอันหลินมาหาดึกดื่น มีเรื่องอะไรหรือ”
วาจาและอากัปกิริยาของเซวียนหยวนเฉิงลุ่มลึกเหมาะสม ทำให้ความตึงเครียดในใจอันหลินลดลงไม่น้อยเลย
“หัวหน้า ก่อนหน้านี้เจ้าเคยบอกข้าว่า หากมีปัญหายามบำเพ็ญเพียร มาขอความช่วยเหลือเจ้าได้ เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า” อันหลินเอ่ยปากถาม
“จริงแท้แน่นอน สหายอันหลินมีปัญหาอะไรหรือ มา เข้ามาคุยข้างใน” เซวียนหยวนเฉิงกวักมือบ่งบอกให้อันหลินเข้ามา
อันหลินโบกมือเป็นพัลวัน พูดอย่างเกรงอกเกรงใจว่า “ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอก ที่จริงข้าแค่อยากยืมหินวิญญาณกับเจ้าสิบก้อน หากวันหน้าข้ามีหินวิญญาณ ค่อยคืนให้เจ้า”
“เรื่องแค่นี้เองหรือ” เซวียนหยวนเฉิงยิ้มจางๆ ล้วงหินวิญญาณออกจากแหวนมิติ และไม่ถามว่าอันหลินเอาหินวิญญาณไปทำอะไร โยนให้เขาทันที
“ข้าไม่มีเงินย่อย นี่เป็นหินวิญญาณห้าร้อยก้อน ยกให้เจ้าหมดเลย ไม่ต้องคืน”
“นี่มัน…”
อันหลินกอดหินวิญญาณหนักอึ้งไว้ งุนงงเล็กน้อย
เซวียนหยวนเฉิงยิ้มสบายๆ ในแววตาเปี่ยมด้วยการให้กำลังใจ “ขอแค่เจ้ากระตือรือร้น พยายามบำเพ็ญเพียรก็พอแล้ว เงินเล็กน้อยแค่นี้ สำหรับข้าไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยจริงๆ”
อันหลินซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง พันหมื่นถ้อยคำ สุดท้ายกลั่นรวมกันเป็นหนึ่งประโยค “พี่เฉิง ขอบคุณมาก!”
อันหลินถือหินวิญญาณห้าร้อยก้อน กลับมาที่ห้องของตัวเองอีกครั้ง
เขาวางหินวิญญาณลงบนโต๊ะ ซึ่งกองพะเนินเป็นภูเขา
ยามมองก้อนหินโปร่งใส ส่องแสงสีเขียวอ่อนพวกนั้น อันหลินรู้สึกตื่นเต้นเป็นล้นพ้น
เขากระตุ้นลมปราณอย่างอดรนทนไม่ไหว ดูดซึมพลังชีวิตภายในหินวิญญาณ
กระแสอุ่นหลั่งไหลภายในกายของเขา ชะล้างและทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน
หินวิญญาณสิบก้อนผ่านไป ตามมาด้วยเสียงแกรก พลังบางอย่างทลายพันธนาการแล้ว
กลิ่นอายของอันหลินเปลี่ยนไป พลังยุทธ์บรรลุระดับกายแห่งมรรคขั้นห้าแล้ว
ไม่ทันได้อุทาน เรื่องแรกที่เขาทำหลังทลายพันธนาการก็คือ เข้าไปดูหน้าจอระบบของเขาด้วยความตื่นเต้น
‘กายแห่งมรรคขั้นหก บรรลุเงื่อนไข ดูดซึมพลังชีวิตของหินวิญญาณ 10 + 10 ก้อน’
ช่างเป็นอุบายที่คุ้นเคยยิ่งนัก…
เมื่อเห็นตัวอักษรแถวนี้ อันหลินก็อดพึมพำอีกครั้งไม่ได้ว่า “พี่เฉิง ขอบคุณสำหรับหินวิญญาณ…”
รอจนดูดซึมหินวิญญาณไปยี่สิบก้อนแล้ว ระดับพลังของอันหลินก็บรรลุกายแห่งมรรคขั้นหก ต่อมา บนแถบระดับพลังยุทธ์ของระบบ ก็มีแจ้งเตือนใหม่ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
‘กายแห่งมรรคขั้นเจ็ด บรรลุเงื่อนไข ดูดซึมพลังชีวิตของหินวิญญาณ 10 x 10 ก้อน’
…
อันหลินกระตุกยิ้ม เงื่อนไขบรรลุที่คุ้นเคยแบบนี้ เปลี่ยนจากวิดพื้นเป็นหินวิญญาณชัดๆ!
เขาไม่มีความลังเลเลยสักนิด เริ่มดูดซึมพลังงานของหินวิญญาณต่อ
หลังดูดซึมพลังงานของหินวิญญาณหนึ่งร้อยก้อนแล้ว พลังของเขาก็ทลายค่าวิกฤตบางอย่างอีกครั้ง บรรลุระดับกายแห่งมรรคขั้นเจ็ดในพริบตา!
เมื่อรับรู้ถึงพลังงานที่โหมซัดภายในร่างกาย ใบหน้าของอันหลินก็แสดงความพอใจ
ระดับพลังยุทธ์จากกายแห่งมรรคขั้นสาม พุ่งทะยานไปถึงกายแห่งมรรคขั้นเจ็ดภายในคืนเดียว ทำให้เขาเกิดความรู้สึกราวกับฝันไป
ต้องรู้ว่า ระดับกายแห่งมรรคขั้นเจ็ด นับว่าเป็นค่ามาตรฐานของนักเรียนใหม่ในสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนแล้ว
ยิ่งระดับของการบำเพ็ญเซียนสูงมากเท่าใด การเพิ่มระดับจะยิ่งยากมากเท่านั้น
สำหรับคนทั่วไปแล้ว ระยะหลังของกายแห่งมรรค ทุกครั้งที่เพิ่มระดับ จะใช้เวลาหลายปี ถึงขั้นว่าหลายสิบปีกว่าจะสำเร็จ
เหล่าอัจฉริยะที่เข้าสำนักแห่งนี้ได้ ก็ต้องพยายามบำเพ็ญเพียรปีถึงสองปีจึงจะทำได้
แต่อันหลินกลับทำได้อย่างง่ายดายโดยการพึ่งหินวิญญาณ ทำให้เขาอดรู้สึกปลื้มใจไม่ได้
มองหินวิญญาณสามร้อยกว่าก้อนที่เหลือ อันหลินรู้ว่า ประโยชน์ของพวกมันอาจจะสิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้
เพราะต่อไป หากคาดเดาไม่ผิดล่ะก็ คงต้องใช้หินวิญญาณร้อยล้านก้อนในการทลายขีดจำกัด…
แม้จะคิดเช่นนี้ แต่เขาก็แอบมองระบบแวบหนึ่งอย่างไม่ยอมถอดใจ
ไม่มองก็ไม่รู้ แต่เมื่อมอง อันหลินต้องตะลึงงันอีกครั้ง
…………………………………..