ในฐานะที่กู้ชูหน่วนเป็นพวกหัวขี้เลื่อย จึงเป็นที่รู้กันดีว่าผู้พนันส่วนใหญ่จะเดิมพันข้างเจ๋ออ๋องและกู้ชูอวิ๋น ถึงอย่างไรชื่อเสียงของเจ๋ออ๋องกับกู้ชูอวิ๋นก็เลื่องลือไปทั่วรัฐเยี่ยตั้งนานแล้ว

ส่วนเรื่องข่าวลือของกู้ชูหน่วนที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์นั้นฟังดูไม่เข้าหูเลยจริงๆ ชิวเอ๋อร์ได้ยินแล้วโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ สีหน้าของเซี่ยวอวี่เซวียนก็ดูไม่พอใจเอามากๆ

เซี่ยวอวี่เซวียนสีหน้าดำทะมึนและทำสายตางี่เง่าใส่นาง “ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ทุกคนต่างกลัวว่าชื่อเสียงของตัวเองจะฉาวโฉ่ แต่เจ้านี่สิกลับใช้เงินจ้างคนจำนวนมากมาทำให้ตัวเองเสียชื่อเสียง ราวกับกลัวว่าใครจะไม่รู้อย่างนั้นละว่าเจ้าเป็นพวกหัวขี้เลื่อย”

“จริงด้วยๆ”

ชิวเอ๋อร์เองก็โกรธเช่นกัน เดิมทีหน้าตาอันอัปลักษณ์ของคุณหนูก็ทำให้หาคนมาแต่งงานยากอยู่แล้ว ตอนนี้ชื่อเสียงยังมาฉาวโฉ่เพราะตัวเองอีก แบบนี้ใครจะกล้าแต่งงานด้วย

เกรงว่าแม้แต่ท่านเทพแห่งสงครามก็คงจะโกรธจนอยากฆ่านางทิ้งทันที

“เจ้าจะไปรู้อะไร”

กู้ชูหน่วนรู้สึกสบายอกสบายใจ นางลิ้มรสสุราชั้นดีอยู่ในหอสุราอันสงบอย่างเพลิดเพลิน ราวกับว่าทุกคนไม่ได้กำลังหัวเราะเยาะและวิพากษ์วิจารณ์นาง

“คุณหนู ข้าไม่เข้าใจ คุณหนูบอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดคุณหนูจึงต้องทำเช่นนี้”

“จะเพื่ออะไรได้ล่ะ เพื่อหาเงินไง”

ชิวเอ๋อร์กลุ้มใจ

สิ่งนี้เกี่ยวกับการหาเงินอย่างไรกัน

นอกจากนี้เพียงเพื่อเงินจำนวนเล็กน้อย มันคุ้มแล้วหรือกับชื่อเสียงของตัวเอง

“การชุมนุมแข่งขันวิชาการจะเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศในวันพรุ่งนี้ ยังไม่รีบวางเดิมพันอีก หากพลาดคราวนี้ต้องรออีกห้าปีเชียวนะ”

ณ ใจกลางหอสุรา ชายวัยกลางคนคนหนึ่งตั้งวงพนันและตะโกนเรียกลูกค้าให้มาลงเดิมพันอย่างต่อเนื่อง

ดวงตาที่เรียวยาวประหนึ่งหงส์ของกู้ชูหน่วนฉาบไปด้วยรอยยิ้มและลอบมองไปที่โต๊ะพนันเป็นครั้งคราว

เซี่ยวอวี่เซวียนคิดขึ้นมาแล้วก็ตบต้นขาตัวเองดังฉาด “พับผ่าสิ ข้ายังกลุ้มอยู่เลยว่าเหตุใดเจ้าจึงต้องให้คนจำนวนมากมาเล่นการพนัน เจ้าคิดจะทำอะไร พนันข้างเจ๋ออ๋องกับกู้ชูอวิ๋นงั้นหรือ เราไม่สร้างเรื่องไม่ได้รึ ใครบ้างที่ไม่รู้ว่ากู้ชูอวิ๋นกับเจ๋ออ๋องมีโอกาสจะชนะมากที่สุด ไม่ว่าเจ้าจะลงเงินไปมากแค่ไหนก็ทำเงินได้ไม่เยอะอยู่ดี ถ้าแพ้ขึ้นมาก็มีแต่จะต้องเสียเงินก้อนใหญ่ไปเปล่าๆ”

กู้ชูหน่วนยิ้มเยาะ “ข้าว่างขนาดนั้นเลยหรือ”

“หรือว่า… เจ้าเดิมพันว่าตัวเองจะชนะ”

เซี่ยวอวี่เซวียนเบิกตากว้าง

นางจะไม่รู้จักประมาณตนขนาดนั้นเชียวหรือ

ตัวนางมีความสามารถแค่ไหนนางจะไม่รู้เลยหรืออย่างไร นึกไม่ถึงเลยว่านางจะกล้าพนันข้างตัวเอง

ภายในหอสุราเต็มไปด้วยผู้คน ทุกคนต่างกำลังหารือกันว่าจะพนันข้างใคร และในที่สุดก็ทยอยลงเดิมพันข้างเจ๋ออ๋องและกู้ชูอวิ๋น

คนเปิดโต๊ะพนันอดขมวดคิ้วไม่ได้ “เหตุใดพวกท่านจึงไม่พนันข้างคุณหนูสามตระกูลกู้เล่า ทุกคนลงข้างท่านเจ๋ออ๋องและคุณหนูสองตระกูลกู้กันหมด งั้นโต๊ะพนันนี่ก็แย่ละซี”

“ถ้าเจ้าเชื่อมั่นในคุณหนูสามขนาดนั้น เหตุใดเจ้าไม่ลงเงินเองเลยเล่า”

“ใช่แล้ว ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าคุณหนูสามตระกูลกู้เป็นพวกหัวขี้เลื่อยไร้ประโยชน์ ถ้านางชนะ ข้าจะตัดหัวตัวเองมาให้พวกเจ้าเตะเลยเอ้า”

คนเปิดโต๊ะพนันเพิ่มระดับเสียง “เอาละ ลดราคาลงครึ่งหนึ่งหากลงข้างคุณหนูสามตระกูลกู้ จะลงไม่ลง”

“มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะลงข้างคุณหนูสาม พวกเราใช่ว่าจะมีเงินเยอะไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเสียหน่อย”

“แล้วหนึ่งต่อร้อยล่ะ ขอเพียงลงพนันว่าคุณหนูสามตระกูลกู้จะเข้ารอบชิงชนะเลิศ ก็จะได้รับเงินไปร้อยเท่า”

ทั่วทั้งที่แห่งนั้นเงียบเป็นเป่าสาก

มากขนาดนั้นเลยรึ

หนึ่งต่อร้อย?

นี่มันรุนแรงเกินไปแล้วหรือเปล่า

“ข้าว่าเถ้าแก่อย่างเจ้าช่างใจดำเหลือเกิน เจ้าก็รู้ดีว่าคุณหนูสามตระกูลกู้ไม่มีทางได้เข้ารอบชิงชนะเลิศ แต่ยังมาให้ความหวังลมๆ แล้งๆ ถ้าดีขนาดนั้นจริงเจ้าก็รีบลงเองเลยสิ”

“ใช่แล้ว ต่อให้หนึ่งต่อร้อยจริงๆ ก็ไม่มีใครกล้าลงว่าคนหัวขี้เลื่อยจะชนะหรอก”

“คนอื่นพูดถึงเจ้าแบบนี้ เจ้าไม่สนใจเลยรึ” เซี่ยวอวี่เซวียนสะบัดพัดอย่างโกรธจัด

กู้ชูหน่วนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการอยู่แล้ว จะสนไปทำไม ไปเถอะ เราไปพนันกันดีกว่า”

กู้ชูหน่วนนำเงินหนึ่งพันตำลึงที่มีอยู่ลงเดิมพันในกรอบของกู้ชูหน่วนทั้งหมด ทันใดนั้นผู้คนที่นั่นก็พากันถอนหายใจขึ้นมาทันที

“แม่นางผู้นี้บ้าไปแล้วหรือไงถึงกล้าเดิมพันว่าคุณหนูสามตระกูลกู้จะชนะ”

“ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ คนปกติจะลงพนันข้างคุณหนูสามตระกูลกู้ได้อย่างไร”

เซี่ยวอวี่เซวียนแตะหน้าผาก

ความกล้าหาญของนางนี่ช่างเหลือเกินจริงๆ

นั่นมันเงินหนึ่งพันตำลึงเชียวนะ ลงเดิมพันไปอย่างนั้นทั้งยังเดิมพันตัวเองอีก นางไปเอาความมั่นใจมาจากไหน

ชิวเอ๋อร์ตาแดงก่ำขึ้นมา

กว่าจะหาเงินหนึ่งพันตำลึงมาได้ เอาละ หมดแล้ว… ตอนนี้มันหมดแล้ว…

“แม่นาง ท่านตัดสินใจไปแล้ว ท่านจะมาเสียใจทีหลังไม่ได้แล้วนะ” คนเปิดโต๊ะพนันหัวเราะหึหึราวกับกลัวว่านางจะเสียดายทีหลัง

“วางใจได้ ท่านไม่เสียใจที่หลังก็แล้วไป”

กู้ชูหน่วนมองเซี่ยวอวี่เซวียนและยื่นมืออันขาวผ่องของตัวเองออกมา

“ทั้งตัวเจ้ายังมีเงินอีกเท่าไหร่ เอาออกมาให้หมด”

“เจ้าเอาเงินหนึ่งพันตำลึงไปจากข้าจนหมดแล้ว ทั้งยังเอาหนึ่งร้อยตำลึงสุดท้ายของข้าไปอีก ตอนนี้ข้าหมดตัวแล้ว จะเอาเงินมาจากไหนอีก”

“งั้นรึ”

“เหลวไหล ไม่ใช่ว่าหลอกกันหรือ”

กู้ชูหน่วนค้นหาตามตัวจนทำให้เซี่ยวอวี่เซวียนโกรธมาก

“เจ้าเป็นผู้หญิง รู้หรือไม่ว่าอะไรที่เรียกว่าความแตกต่างระหว่างชายหญิง เจ้ายังจะมาลูบ… ให้ตายเถอะ เจ้ามันเป็นผู้หญิงเรือนไหนกัน ยังไม่รีบเอาออกไปอีก”

“ไม่เอาน่า ไม่มีเงินแล้วจริงๆ รึ” กู้ชูหน่วนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย จากนั้นจึงฉวยเอาหยกทั้งหมดบนตัวเขาไปลงพนันข้างกู้ชูหน่วนเสียเลย

“นี่มันหยกโบราณล้ำค่าอายุเป็นหมื่นปี นั่น นั่นคือจี้หยกที่เป็นมรดกสืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น เจ้าจะเอาไปลงพนันได้อย่างไร”

เซี่ยวอวี่เซวียนสาบานว่าถ้าเขายังอยู่กับนางอีก ก็อย่านับว่าเขาเป็นคนตระกูลเซี่ยวเลย

“ก็แค่ยืมคืนเดียวเท่านั้น ถึงอย่างไรพรุ่งนี้ก็ได้คืนทั้งต้นทั้งดอก มันจะเป็นของเจ้าทั้งหมด”

“แล้วถ้าแพ้ขึ้นมาเล่า”

“ไม่ต้องห่วง มันจะไม่มีวันนั้นแน่นอน”

“ถ้าเชื่อเจ้าข้าก็บ้าแล้ว”

เซี่ยวอวี่เซวียนยืนมือไปเตรียมจะชิงจี้หยกของตัวเองกลับคืน แต่ทุกคนรีบห้ามเขาไว้ “ตัดสินใจลงแล้วจะเปลี่ยนใจไม่ได้ นี่คือกฎของบ่อนพนัน ในเมื่อลงเดิมพันไปแล้ว นอกจากจะชนะ ไม่มีใครดึงเดิมพันกลับไปได้”

“นั่นมันจี้หยกของข้า แต่ไม่ใช่การเดิมพันของข้า”

“นั่นมันอยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของพวกเรา ถึงอย่างไรตอนนี้ก็เดิมพันไปแล้ว”

เซี่ยวอวี่เซวียนโกรธจนโบกพัดพั่บๆๆ แม้แต่สายลมเย็นๆ ก็ดับความโกรธในใจของเขาไม่ได้

เขาโกรธแล้ว

โกรธชนิดที่เกลี้ยกล่อมอะไรไม่ได้ด้วย

หลังจากออกมาจากหอสุรา แม้ว่าเซี่ยวอวี่เซวียนจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่เขาก็ยังไปส่งทั้งสองคนถึงประตูหลังของจวนอัครเสนาบดีอย่างปลอดภัย

“ข้าละไม่เข้าใจเจ้าจริงๆ ประตูใหญ่มีก็ไม่รู้จักเข้ามาเข้าด้านหลัง แล้วนี่ยังไม่รีบเข้าไปอีก จะเด็ดดอกไม้ได้หรือเปล่าข้าไม่สนใจหรอกนะ”

“ดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ ถ้าเข้าประตูหน้าก็ต้องรบกวนคนในจวนซี”

“ก็ใช่” อีกเดี๋ยวตอนกลับเรือนเขาจะต้องเข้าประตูหลังด้วยไหมนะ

“เจอกันพรุ่งนี้นะเสี่ยวเซวียนเซวียน”

เซี่ยวอวี่เซวียนเสียศูนย์และกำลังจะโกรธ แต่พอมองอีกทีตรงหน้ากลับไม่มีเงาของกู้ชูหน่วนอยู่แล้ว

แม่สาวอัปลักษณ์ช่างรวดเร็วเสียจริง

ภายในจวนอัครเสนาบดี ชิวเอ๋อร์รู้สึกไม่สบายใจ

“คุณหนู วันนี้คุณหนูทำร้ายซย่าอวี่จนบาดเจ็บสาหัส ทั้งยังตีท่านอู่อี๋เหนียงด้วยไม้กระบอง ท่านอู่อี๋เหนียงจะฟ้องนายท่านหรือไม่เจ้าคะ พวกเขาจะไม่ทำให้ท่านลำบากหรือ”

“แน่ละสิ แต่พวกนั้นจะไม่สร้างปัญหาให้เราในวันนี้อย่างแน่นอน ซย่าอวี่บาดเจ็บหนักขนาดนั้น จะรอดหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฮูหยินใหญ่กับอู่อี๋เหนียงก็ไม่ลงรอยกันมาแต่ไหนแต่ไร นางไม่มีทางที่จะพลาด โอกาสในการขุดรากถอนโคนอู่อี๋เหนียง”

“คุณหนู… ข้าไม่ค่อยเข้าใจเลยว่าคุณหนูกำลังพูดถึงอะไร”

“พูดง่ายๆ ก็คือฮูหยินใหญ่กับอู่อี๋เหนียงกำลังฟาดฟันกัน ส่วนจะฟาดฟันกันอย่างไรนั้นไม่ใช่เรื่องของเรา อย่างไรก็ตามก่อนที่ซย่าอวี่จะตาย พวกนางจะไม่มีเรี่ยวแรงเหลือมาก่อปัญหาให้พวกเรา”

หลังจากที่กู้ชูหน่วนเกลี้ยกล่อมให้ชิวเอ๋อร์กลับไปที่ห้อง นางก็รื้อตู้เสื้อผ้าและพบเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ ตัวหนึ่ง จากนั้นจึงสวมเสื้อผ้าตัวนั้นและเปลี่ยนผ้าคลุมหน้า พลิกตัวอย่างคล่องแคล่วกระโดดข้ามกำแพงไป

ภายในชั่วพริบตากู้ชูหน่วนก็วิ่งไปที่พระราชวังชิวเฟิงด้วยความทรงจำที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด

นางมีรูปร่างเพรียวบางและเคลื่อนไหวอย่างปราดเปรียวราวกับนกนางแอ่น ในเวลาเพียงชั่วครู่เดียวนางก็หายตัวไปในความมืด ดูเหมือนว่านางจะเคยฝึกศิลปะการต่อสู้มาก่อน

กู้ชูหน่วนประหลาดใจเล็กน้อยที่ร่างกายนี้ดูเหมือนจะมีดีกว่าที่นางคิดไว้มาก

เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าของเดิมจะมีทักษะการต่อสู้

แต่เหตุใด… นางจึงไม่รู้สึกถึงพลังภายในของจุดตันเถียนเลยสักนิด?

พระราชวังชิวเฟิงตั้งอยู่ในบริเวณที่เงียบสงบทางทิศตะวันออกของเมือง เป็นที่รู้กันว่าที่นี่เป็นราชนิเวศน์ของท่านอ๋องหานเทพแห่งสงคราม

ที่นี่มีใบชิวเฟิงอยู่ทุกหนทุกแห่ง ดังนั้นจึงได้ชื่อว่าพระราชวังชิวเฟิง

จุดตันเถียนคือจุดชีพจรที่สำคัญในร่างกาย

ใบชิวเฟิง คือ ใบเมเปิล