ตอนที่ 14 กลัวความสูงคือปัญหาใหญ่นะ

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

เมื่อโฮเวอร์คาร์เข้าไปในหมู่ตึกก็มองเห็นอาคารสูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่าน หลิงหลานยิ่งรู้สึกว่าเธอมาถึงโลกอนาคตแล้ว เนื่องจากมีที่จอดรถแทบจะทุกชั้น ตลอดทางที่เข้ามาหลิงหลานก็เห็นโฮเวอร์คาร์นับไม่ถ้วนเกาะอยู่บนอาคารสูงใหญ่เหล่านั้น ทำให้เธอเห็นภาพลวงตาของต้นคริสมาสต์ขนาดใหญ่มากที่มีของตกแต่งงดงามมากมายดูพิเศษสุดๆ ใครใช้ให้โฮเวอร์คาร์พวกนั้นมีสีสันต่างๆ นานา ทำให้หลิงหลานคิดโยงไปถึงตรงนั้นล่ะ

ไม่นานก็มาถึงจุดหมายปลายทางของหลิงหลานแล้ว หลิงศูนย์เจ็ดจอดอยู่กลางอากาศ ส่งคำขอไปยังอาคารที่ต้องการจะลงจอด อีกฝ่ายก็แจ้งสถานที่จอดรถมาให้อย่างรวดเร็วว่า เขต B หมายเลข 77-9

โฮเวอร์คาร์เริ่มอ้อมไปตามอาคารจนมาถึงด้านหนึ่ง โฮเวอร์คาร์ก็เริ่มพุ่งขึ้นสูง ไม่รู้ว่ามันขึ้นไปได้กี่ชั้นแล้ว ในที่สุดโฮเวอร์คาร์ก็ร่อนลงไปยังแท่นจอดที่ว่างอยู่แห่งหนึ่ง

หลิงศูนย์เจ็ดจอดเสร็จแล้ว ประตูรถก็เปิดอัตโนมัติขึ้นอีกครั้ง ตอนที่หลานลั่วเฟิ่งลงจากรถ เธอก็ก้มตัวออกมาในองศาที่ลาดเอียงโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้หลิงหลานมองไปที่พื้นใต้เท้าของมารดา…หลังจากนั้น หายนะแล้ว

พื้นเป็นแบบโปร่งใสทั้งหมดทำให้มองเห็นวิวด้านล่างได้หมดเลย ดังนั้นหลิงหลานจึงรู้สึกหน้ามืดไปโดยสิ้นเชิง

เชี่ยแล้วไง ที่แท้เธอก็กลัวความสูง! เธอนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยมาตั้งแต่เด็กๆ ก็เลยไม่รู้ว่าเธอยังมีจุดอ่อนถึงแก่ชีวิตแบบนี้ด้วย…

หลิงหลานน้ำตาร่วงแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าทะลุเวลามาอนาคตเป็นเรื่องที่ทุกข์ทรมานอย่างแท้จริง เนื่องจากเธอพบว่าตลอดทางที่ออกจากบ้านมา เธอเห็นว่าอาคารส่วนใหญ่ต่างก็เป็นอาคารสูงที่มีมากกว่าหนึ่งร้อยชั้น บวกกับโฮเวอร์คาร์ซึ่งเป็นยานพาหนะสายหลักต่างก็สามารถขับอยู่บนฟ้าหนึ่งร้อยเมตรได้อย่างอิสระ นี่ยืนยันได้ว่าวันเวลาหลังจากนี้ไป เธอไม่สามารถหลีกหนีชีวิตที่อยู่บนท้องฟ้าสูงได้เลย

หลิงหลานรู้สึกสับสน นี่จะทำให้เธอใช้ชีวิตอยู่อย่างไร หลานลั่วเฟิ่งพาเธอเข้าไปในอาคารและเดินเข้าไปในลิฟต์ชมวิวโปร่งใส โดยไม่ได้สนใจหายนะที่กำลังจะมาถึงของหลิงหลานเลย

เหตุการณ์ต่อมาก็ไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมายอะไร หลิงหลานหมดสติ อ้อไม่สิ หมายถึงนอนหลับไปแล้ว อย่างน้อยที่สุดหลานลั่วเฟิ่ง มารดาของหลิงหลานก็คิดแบบนี้ เธอไม่สังเกตเห็นน้ำตาร้อนๆ ที่คลออยู่ตรงขอบตาของหลิงหลานเลย

อืม ต่อให้เธอเห็นก็คิดว่านี่เป็นน้ำตาแห่งความง่วงงุนที่ไหลออกมาสองหยดเนื่องจากลูกน้อยของเธอง่วงมากเกินไป ดูสิ เธอดูมีน้ำมีนวลและดูน่ารักมากเลย!

หลิงหลานไม่รู้ว่าสลบ…แค่กๆ ไม่รู้ว่านอนหลับไปนานแค่ไหน เธอถูกเสียงที่แสบแก้วหูปลุกให้ตื่น เธอลืมตาที่ดูกลมๆ อยู่บ้างขึ้นมา และก็เห็นแม่ไดโนเสาร์กำลังพ่นไฟไม่เลือกหน้า

“หลานลั่วเฟิ่ง เธอยังมีสิทธิ์มายืนอยู่ตรงนี้ด้วยเหรอ” ผู้หญิงที่เอ่ยปากพูดมีหน้าตาที่นับว่างดงาม แต่ว่าท่าทีเชิดหยิ่งเหมือนนกยูงของเธอดูน่าเกลียดอยู่บ้างจริงๆ และก็ดูไม่มีมารยาทเลยสักนิด

หลิงหลานมองแวบแรกก็จัดให้คนผู้นี้อยู่ในแฟ้มคนที่น่ารังเกียจแล้ว เธอไม่ชอบคนที่กล้ามาดูหมิ่นมารดาของเธอหรอกนะ

อย่างไรก็ตาม หลิงหลานก็ประหลาดใจอยู่เหมือนกัน เนื่องจากเธอยังไม่เคยเจอคนที่หน้าตาไม่ดีเลย แต่ละคนต่างมีรูปร่างหน้าตาที่เหมาะสม หลิงหลานคิดว่าเทคโนโลยีของโลกอนาคตน่าจะเจริญมาก จนบางทีอาจจะสามารถดัดแปลงแก้ไขรูปลักษณ์ได้ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่?

เฮ้อ หลิงหลานเอ๊ย เธอเห็นเด็กทารกในครรภ์เป็นอะไร โปรแกรมหรือว่าเครื่องจักร? ยังจะดัดแปลงอีก…

ต่อมาหลิงหลานถึงได้รู้ว่า ความจริงแล้วมันเรียบง่ายมาก ถึงแม้ว่ามันจะมีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีอย่างที่หลิงหลานคาดเดาไว้จริงๆ เพียงแต่ไม่ใช่มีมาตั้งแต่กำเนิด หากแต่เป็นหลังจากที่ถือกำเนิด เมื่อพบสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานในการเติบโตก็สามารถใช้ยาเสริมความงามมาเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ คำพูดฟังดูดีมาก แต่ความจริงแล้วมันก็มีหลักการเหมือนกับศัลยกรรม เพียงแต่เทคโนโลยีของมนุษย์ก้าวหน้าแล้ว ดังนั้นใช้เข็มแทงก็จัดการได้เรียบร้อย ไม่จำเป็นต้องใช้มีด

แน่นอนว่ามันไม่ได้กำจัดออกไปอย่างเต็มพิกัด ถ้าหากอยากได้ความงามเลิศล้ำจนผู้คนและสวรรค์พากันเคียดแค้นละก็ เช่นนั้นยาก็ใช้ไม่ได้ผล ต้องเลือกใช้มีดผ่าโดยตรง

หลานลั่วเฟิ่งไม่พูดอะไรและเพียงแต่มองเธอด้วยความเย็นชาแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็ทำเหมือนเธอไม่มีตัวตนและเตรียมอุ้มลูกสาวเข้าไปในห้อง VIP ที่ว่างอยู่แห่งหนึ่ง

การเพิกเฉยของหลานลั่วเฟิ่งยิ่งเพิ่มความโกรธของอีกฝ่ายมากขึ้น เธอคว้าแขนข้างหนึ่งของหลานลั่วเฟิ่งไว้ ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากก็ได้ยินหลานลั่วเฟิ่งฝืนข่มกลั้นความโกรธกล่าวว่า “ปล่อย!”

ยังไม่ทันที่ผู้หญิงคนนั้นจะปล่อยมือ พ่อบ้านหลิงฉินที่เดิมทีอยู่ห่างออกไปหลายก้าวก็สาวเท้าพุ่งมาข้างหน้าและดีดนิ้วเบาๆ

ผู้หญิงคนนั้นร้องว้ายขึ้นมาทีหนึ่ง ถอยหลังไปหนึ่งก้าวและปล่อยมือออกโดยไม่ได้ตั้งใจ ดวงตาของหลิงหลานส่องประกายวูบหนึ่ง เธอไม่นึกเลยว่าพ่อบ้านหลิงฉินที่ดูอ่อนโยนไม่โดดเด่นจะเป็นยอดฝีมือด้านการต่อสู้ การเคลื่อนไหวเล็กๆ ที่แทบจะมองไม่เห็นนั้นถูกสายตาอันแหลมคมของหลิงหลานมองเห็นได้

“คุณนายครับ คุณกับคุณชายเข้าไปที่ ห้อง VIP ก่อนเถอะครับ ที่นี่คนวุ่นวายมากเกินไป จะได้ไม่รบกวนคุณ” หลิงฉินยืนอยู่ข้างกายหลานลั่วเฟิ่งเพื่อแยกผู้หญิงคนนั้นออกไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อสักครู่นี้เขาอยู่ห่างจากหลานลั่วเฟิ่งเล็กน้อยละก็ ผู้หญิงคนนี้ไม่มีทางมีโอกาสคว้าตัวคุณนายของเขาได้แน่

หลิงฉินรู้สึกหงุดหงิดมาก คิดว่าตัวเองประมาทเลินเล่อทำให้อีกฝ่ายมีโอกาสเข้าใกล้คุณนายกับคุณชายได้ ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามมีเจตนาร้ายละก็…หลิงฉินคิดถึงตรงนี้ก็หลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมา รู้สึกหวาดกลัวไม่รู้จบ

อันที่จริงหลิงฉินก็โทษตัวเองมากเกินไป ถ้าหากมีคนคิดร้ายกับหลานลั่วเฟิ่งและหลิงหลานจริงๆ ละก็ ยอดฝีมือระดับเขาจะต้องมีความรู้สึกและเตรียมการป้องกันไว้แน่นอน สาเหตุที่เขารับมือไม่ทันก็เป็นเพราะว่าหลิงฉินไม่ได้รู้สึกถึงจิตสังหารของผู้คนรอบข้าง และบวกกับ VIP ด้านนี้ก็เป็นส่วนที่จัดให้กับผู้หญิงโดยเฉพาะ รอบๆ บริเวณต่างเป็นคุณนายตระกูลสูงศักดิ์หรือไม่ก็ตระกูลที่ร่ำรวยมีอิทธิพล นี่จึงทำให้หลิงฉินเผลอลดฝีเท้าลง

“ได้ค่ะ คุณอาฉิน!” หลานลั่วเฟิ่งก็ไม่สนใจที่จะทะเลาะกับผู้หญิงคนนั้นให้ผู้คนรอบด้านชมเรื่องสนุกหรอกนะ

ตั้งแต่ที่หลิงเซียวสละชีพไปและตัดขาดกับตระกูลหลิง หลานลั่วเฟิ่งก็รู้ว่าเธอจะต้องถูกคุณนายตระกูลสูงศักดิ์บางคนบีบคั้น หลายปีมานี้ตระกูลหลิงไม่ได้ทำเรื่องที่ชอบธรรมมากเท่าไร เอาแต่ยุ่งเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลสูงศักดิ์ต่างๆ มากเกินไป ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถปีนขึ้นไปเชื่อมสัมพันธ์กับทายาทสายหลักของตระกูลใหญ่ที่แท้จริงได้ แต่ว่าก็ยังคบหากับพวกคนของตระกูลสาขาได้บ้าง

ผู้หญิงที่ดึงหลานลั่วเฟิ่งไว้ก็เป็นหนึ่งในสะใภ้ของตระกูลหลิง เริ่มแรกที่แต่งงานดองกันในเวลานั้นก็เป็นเพราะสนใจพลังของหลิงซู่เจิ้งและหลิงเซียวในกองทัพ คาดหวังว่าตระกูลหลิงจะช่วยตระกูลของพวกเธอผ่านทางพวกเขา…แต่ไม่นึกว่าเพราะการสละชีพในสนามรบของหลิงเซียว ตระกูลหลิงพ่ายแพ้หลานลั่วเฟิ่งในการแย่งชิงบำเหน็จความชอบ และถูกบีบให้ออกจากโดฮา ทำลายแผนการที่คำนวณไว้อย่างดีก่อนหน้านี้ของเธอไป และที่ทำให้เกิดทุกสิ่งทุกอย่างนี้ก็เป็นเพราะแผนการของหลานลั่วเฟิ่ง ดังนั้นเธอจึงมีความรู้สึกไม่พอใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอเห็นหลานลั่วเฟิ่งก็เลยพุ่งเข้ามาเตรียมจะกล่าวถ้อยคำเหยียดหยามเพื่อระบายความแค้นออกมาราวกับหมาบ้า หลานลั่วเฟิ่งไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้เลย

อย่างไรก็ตาม หลานลั่วเฟิ่งไม่สนใจ เดิมทีเธอก็ไม่มีความคิดแข่งขันชิงดีชิงเด่นอะไร ถ้าไม่ใช่เพื่อให้ลูกน้อยออกจากบ้านมาลืมตาดูโลกละก็ เธอก็ตั้งใจจะอยู่ในบ้านไม่มีความคิดแม้กระทั่งจะออกจากบ้านเลยด้วยซ้ำ แล้วเธอจะไปสนใจเรื่องถูกคนพูดจาดูถูกบีบคั้นเธอได้อย่างไร

ต้องพูดว่าหลานลั่วเฟิ่งเป็นผู้หญิงที่ทะนงตน ตอนที่หลิงเซียวยังอยู่ เธอยังยินดีไปมาหาสู่กับคุณหญิงคุณนายเหล่านี้เพื่อหลิงเซียวอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เธอไม่มีความคิดนี้แล้ว การตายของหลิงเซียวได้พาจิตวิญญาณครึ่งหนึ่งของเธอไปด้วย ตัวเธอที่เหลือจิตวิญญาณแค่ครึ่งเดียวก็คิดที่จะเลี้ยงดูหลิงหลานให้เติบใหญ่และรักษาบำเหน็จความชอบที่ได้รับจากการพลีชีพของหลิงเซียวเท่านั้น

หลานลั่วเฟิ่งไม่สนใจเสียงกระซิบกระซาบรอบด้านเนื่องจากฉากเมื่อสักครู่นี้ เธอเดินเข้าไปในห้อง VIP ที่ไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง ในขณะเดียวกัน พนักงานบริการ VIP ที่รออยู่ด้านนอกก็เดินตามเข้าไปเพื่อให้บริการอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

หลิงหลานถอนหายใจ หนึ่งหมื่นปีให้หลังระดับชนชั้นที่สมควรตายก็ยังไม่สามารถกำจัดทิ้งได้ ความเท่าเทียมกันของทุกชีวิตมีอยู่ได้แค่ในทฤษฎีเท่านั้นจริงๆ

……………………………………….