บทที่ 29 ไม่มีทั้งแรงและเวลา + บทที่ 30 พบกันอีกครั้งบนเขา Ink Stone_Romance
บทที่ 29 ไม่มีทั้งแรงและเวลา
พวกเด็กๆ เข้ามาเห็นอาหารน่าอร่อยบนโต๊ะก็รีบบอกกันให้ไปล้างมือแล้วมานั่งลงอย่างเชื่อฟัง สายตาจ้องอาหารอย่างตกตะลึง
“เอาล่ะ กินได้เลย”
เมื่อตักเข้าปากไปคำหนึ่ง หยางเล่อเล่อรู้สึกไม่อยากหยุดกินเลยเพราะรสชาติช่างอร่อยล้ำ โดยเฉพาะปลา เมื่อกินเสร็จ เด็กบางรายโอดครวญว่าหยางเล่อเล่อขโมยปลาที่พวกเขาชอบไป ทำให้หยางเล่อเล่อเขินอาย
หยางเล่อเล่อมองหนิงเมิ่งเหยาขณะที่พวกนางรอให้พวกเด็กออกไปเล่นข้างนอก “ข้าอยากเรียนทำอาหารกับเจ้า ต่อให้ข้าไม่ได้เก่งระดับเจ้า แต่ได้เรียนสักหน่อยข้าก็พอใจแล้ว”
“ถ้ามีเวลา ข้าจะสอนเจ้าแล้วกัน”
“จริงหรือ”
พวกนางสองคนเก็บกวาดของและย้ายโต๊ะกับเก้าอี้กลับเข้าที่ หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็มีพวกผู้หญิงโผล่หน้ามาพร้อมผลไม้ที่บ้านพวกนางปลูก สีหน้าท่าทางพวกนางดูกระอักกระอ่วน
หยางเล่อเล่อรู้จักคนเหล่านี้ ลูกของพวกนางเคยมาเรียนกับหนิงเมิ่งเหยา แต่พอมีข่าวลือแพร่ไปถึงหูพวกนางเข้า พวกนางก็เชื่อแล้วพูดไม่ดีถึงหนิงเมิ่งเหยาไปตามๆ กัน หยางเล่อเล่อจึงไม่ชอบพวกนาง
“พวกท่านมีธุระอะไรหรือไม่” เมื่อเห็นคนเหล่านี้เข้ามาข้างในแต่ไม่ยอมพูดจา และเพราะมีพวกเด็กๆ อยู่ด้วย หนิงเมิ่งเหยาจึงไม่มีเวลารักษาหน้ากัน นางวางตัวเย็นชาเฉยเมยแทน
“แม่นางเมิ่งเหยา คือว่านะ…”
ท่าทีของหนิงเมิ่งเหยาทำให้พวกนางตัดสินใจไม่ถูกและไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
“ท่านป้าทั้งหลาย พวกท่านมาทำอะไรที่นี่” หยางเล่อเล่อทนต่อไปไม่ไหว เอ่ยถามแทน
“เมิ่งเหยา พวกข้ามาที่นี่ก็เพื่อขอเจ้า…เจ้าให้ลูกพวกข้ากลับมาเรียนกับเจ้าได้หรือไม่” หญิงนางหนึ่งในกลุ่มถามและมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยความกังวล
หนิงเมิ่งเหยายกศีรษะขึ้นมองพวกนางแล้วเอ่ยปากหลังเงียบไปครู่หนึ่ง “ข้าไม่มีทั้งเวลาทั้งแรงขนาดนั้น”
เมื่อพวกนางได้ยินก็หน้าซีด นางหมายความว่าอย่างไร หมายความว่านางจะไม่สอนลูกของพวกนางอีกต่อไปหรือ
“แต่เมื่อก่อน เจ้า…”
“ท่านก็พูดเองว่าเมื่อก่อน” หนิงเมิ่งเหยามองดูพวกนางทำหน้าเหมือนโดนฟ้าผ่ากลางหัว แล้วตอบไปอย่างเย็นชา
ในตอนแรกเริ่ม นางยินดีจะสอนเด็กเหล่านั้นเพราะพวกเด็กใฝ่รู้ และนางก็อยากมีอะไรทำกับอยากปรับตัวเข้ากับหมู่บ้าน
นางใช้เงินตัวเองซื้อหนังสือ กระดาษ พู่กัน และน้ำหมึก ทั้งยังไม่เก็บค่าสอน จนกระทั่งหลังมีข่าวลือแพร่ออกไป ท่าทีของคนพวกนี้ทำให้นางไม่พอใจ
นางไม่ต้องการให้พวกเขามาปกป้องนาง แต่ตอนหยางซิ่วเอ๋อร์ทำลายชื่อเสียงนาง คนพวกนี้ห้ามไม่ให้ลูกๆ มาเรียนหนังสือ ในเมื่อเช่นนั้นแล้วจะมาทำอะไรเอาป่านนี้กัน
“เมิ่งเหยา ข้ารู้ว่าเรื่องนี้พวกข้าผิด แต่…แต่…”
“ไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว” หนิงเมิ่งเหยาส่ายศีรษะ กล่าวตัดบทอีกฝ่าย
มีเด็กหลายคนมาเรียนที่นี่ด้วยกัน แล้วเหตุใดถึงมีบ้านที่ส่งเด็กมาที่นี่ ในขณะที่บ้านอื่นไม่ยอมส่งมา ทั้งหมดก็เพราะพวกเขาดูถูกนางและคิดว่านางจะสร้างปัญหา
นางพอเข้าใจได้เพราะหยางซิ่วเอ๋อร์แพร่ข่าวลือไม่ดี นางเข้าใจว่าคนเหล่านี้คิดเช่นไร แต่เรื่องนี้ตอกย้ำให้นางคิดได้ว่าถึงแม้ตนเองจะปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ แต่ก็ใช่ว่าผู้อื่นจะปฏิบัติกลับมาด้วยความจริงใจเช่นเดียวกัน แม้ใจตนจะหวังพึ่งพาคนอื่นได้ หาใช่ว่าคนอื่นจะคิดแบบเดียว
ดังนั้นหนิงเมิ่งเหยาจึงไม่คิดจะสอนเด็กในหมู่บ้านต่อไม่ว่าคนพวกนี้จะไปแพร่ข่าวอย่างไร
แม่ของเด็กดูแลสุนัข นางตู้ เห็นว่าพวกนางยอมอ่อนน้อมถึงเพียงนี้แล้วแต่หนิงเมิ่งเหยายังคงทำตัวหยิ่ง นางก็เริ่มไม่ชอบใจ เสียงคมเข้มรุนแรงของนางดัง “ถ้าเจ้าไม่อยากสอนก็ไม่ต้องสอน ก็แค่เรื่องขี้ปะติ๋ว ไม่เห็นมีอะไรวิเศษวิโสสักนิด” พูดจบ นางก็คว้าผักที่เก็บมาแล้วจากไป
นางเดินพร้อมพูดต่อไปว่า ต่อให้ต้องเอาผักไปให้สุนัขกิน ก็ยังดีกว่าเอาให้คนที่ไม่รู้คุณคน
หนิงเมิ่งเหยาฟังนางตู้พูดเงียบๆ ไม่ปฏิเสธอันใด คำพูดของนางตู้จึงยิ่งไม่รื่นหูกว่าเดิม
ระหว่างที่นางตู้ยังพูดต่อไปว่าหนิงเมิ่งเหยาเป็นคนไม่รู้คุณ จู่ๆ หนิงเมิ่งเหยาก็เปิดปาก “ข้าไม่รู้ว่าท่านเคยทำคุณอะไรให้ข้า ไหนลองว่าให้ข้าฟังที บางทีข้าอาจจะจำผิดไป”
นางตู้ที่กำลังยิ้มย่องในตอนแรก เมื่อได้ยินหนิงเมิ่งเหยาเอ่ยค้านนางออกมาเช่นนั้น คำพูดของนางตู้ก็ติดอยู่ในลำคอทันใด
บทที่ 30 พบกันอีกครั้งบนเขา
เมื่อเห็นนางตู้หยุดเดินแล้วหันมามอง หนิงเมิ่งเหยาก็เอ่ยอย่างเยือกเย็น “ถ้าท่านพูดออกมาไม่ได้ ก็อย่ากล่าวโทษข้า หากข้าจะฟ้องว่าท่านพูดจาใส่ร้ายป้ายสีให้คนอื่นเสื่อมเสียก็แล้วกัน”
หนิงเมิ่งเหยาไม่แน่ใจนักว่าที่นี่มีกฎหมายเช่นนั้นหรือไม่ แต่พอเห็นหน้านางตู้ซีดไปในทันใด หนิงเมิ่งเหยาก็ค่อยๆ ยกมุมปากยิ้ม ดูท่าแล้วที่นี่จะมีกฎหมายแบบนั้นอยู่
สีหน้านางตู้ฉายแววตื่นตระหนก ถ้าพูดถึงทำคุณแล้ว ดูเหมือนว่าบ้านของนางจะได้รับความช่วยเหลือจากหนิงเมิ่งเหยามากกว่าจะเป็นฝ่ายช่วยเหลือนาง แค่เด็กดูแลสุนัขอย่างตระกูลนางได้หนังสือ หมึก กระดาษ และจานฝนหมึกจากหนิงเมิ่งเหยาและไม่คิดค่าเรียนก็นับว่ามากพอแล้ว
“ธุระของวันนี้จบแล้ว บ้านของข้าเล็กเพียงเท่านี้ ไม่พอต้อนรับคนสูงส่งสะอาดสะอ้านอย่างพวกท่านทุกคนหรอก กรุณาไปเสียเถอะ” หนิงเมิ่งเหยามองพวกผู้หญิงที่มาพร้อมกับนางตู้ และกำลังหลบอยู่ข้างๆ อย่างไม่รู้ว่าพวกตนควรจะทำเช่นไร ก่อนจะเอ่ยอย่างเย็นชา “ถ้าจากวันนี้ไปยังมีคนเชื่อคำป้ายสีข้าที่หยางซิ่วเอ๋อร์ปล่อยโดยไม่มีเหตุผล ข้าคิดว่าพวกท่านคงไม่ชอบสิ่งที่จะเกิดขึ้นนักหรอก”
สายตาหนิงเมิ่งเหยาจ้องไปที่นางตู้ขณะพูด สายตานั้นทำให้นางตู้ตกใจจนรีบคว้าผักวิ่งหนีไป
พวกผู้หญิงที่เหลือตะโกนกันไปมาจนสุดท้ายพวกนางก็จากไปจนหมด
“พวกนางทำเกินไปแล้วจริงๆ”
“ก็แค่กลุ่มคนที่ไม่สลักสำคัญอะไร” หนิงเมิ่งเหยาสั่นศีรษะเล็กน้อยพลางพูดอย่างไม่ใส่ใจ
เมื่อเห็นหนิงเมิ่งเหยาเป็นเช่นนี้ ในใจหยางเล่อเล่อพลันเจ็บปวด อะไรก็ตามที่หนิงเมิ่งเหยาประสบมาแล้วทำให้นางเป็นเช่นนี้ทำให้นางปวดร้าวในอก
“เหยาเหยา เจ้า…”
“หืม”
“ไม่มีอะไร” หยางเล่อเล่อรีบส่ายศีรษะขณะที่ในใจนางบอกย้ำตัวเองซ้ำๆ ว่านางจะต้องดีกับหนิงเมิ่งเหยา
เมื่อนางตู้กลับไปถึงบ้าน นางหัวเสียยิ่งนัก นางอยากจะพูดอะไรอีก แต่พอนึกถึงสายตาเยือกเย็นปานน้ำแข็งของหนิงเมิ่งเหยาที่ทิ่มแทงลึกถึงกระดูก ถึงจะอยากพูดจาให้ร้ายหญิงสาวผู้นั้น ตัวนางก็พูดไม่ออก นางตู้อมทุกข์กับความรู้สึกนี้ไปตลอดทั้งวัน
เมื่อเด็กดูแลสุนัขถามว่าพวกเขาจะได้กลับไปเรียนหนังสือเมื่อไร นางหัวเสียถึงขั้นตีพวกเด็กดูแลสุนัขอย่างไร้เหตุผล
ปัญหาเรื่องหยางซิ่วเอ๋อร์ไม่ได้มีผลต่อชีวิตประจำวันของหนิงเมิ่งเหยาแต่อย่างใด วันๆ ของนางผ่านไปอย่างสุขสบายกว่าเดิมด้วยซ้ำ
วันนี้ตอนหนิงเมิ่งเหยากำลังเตรียมพาเด็กๆ ไปเรียนหนังสือข้างนอก ฝนพลันเทลงมาห่าใหญ่ หนิงเมิ่งเหยาจำต้องล้มเลิกความคิดจะไปข้างนอกอย่างช่วยไม่ได้
ยังดีที่บ้านของนางมีห้องใต้หลังคา นางให้พวกเด็กๆ ขึ้นไปบนห้องใต้หลังคาแล้วสอนพวกเขาเล่นเกมต่างๆ
ตกบ่าย หนิงเมิ่งเหยาส่งพวกเด็กๆ กลับบ้านแล้วนั่งอยู่บนห้องใต้หลังคาเพื่อดูฝนข้างนอกที่ตกพรำเป็นจังหวะ
เพียงพริบตาเดียว หนิงเมิ่งเหยาก็มาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้สามถึงสี่เดือนแล้ว นางมาที่นี่เมื่อช่วงต้นปี บัดนี้จวนจะถึงกลางปีในอีกไม่นาน เวลาช่างผ่านไปเร็วนัก
ใจนางเผลอคิดย้อนถึงแต่ละวันในปีที่ผ่านมา พลันรอยยิ้มขื่นขมค่อยๆ แย้มปรากฏบนใบหน้า
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ นางก็ตระหนักได้ว่าตนไม่ได้ทำอะไรเลยมาหลายปี เอาแต่วนเวียนอยู่รอบหลิงหลัว และถึงแม้บัดนี้ชีวิตนางจะได้รับการเติมเต็มแล้ว หนิงเมิ่งเหยากลับรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างหายไป ดึงให้นางจมลงสู่ห้วงความคิด
ฝนยังคงตกไปอีกสามวัน จนเข้าบ่ายวันที่สี่ถึงหยุด เมฆบนฟ้าล่าถอยไปช้าๆ เผยให้เห็นดวงอาทิตย์แจ่มใส เมื่อได้เห็นท้องฟ้ากระจ่าง หนิงเมิ่งเหยาพบว่าตนแอบรู้สึกว่างเปล่า
ไม่ว่าจะอย่างไร ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป การมาอยู่ที่นี่ไม่ได้เลวร้ายแต่อย่างใด นางไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารและเสื้อผ้า
ตกค่ำ หยางเล่อเล่อนำแตงโมรสหวานที่นางปลูกเองมาให้ “เหยาเหยา พวกเราขึ้นเขาไปเก็บเห็ดป่ากันดีหรือไม่ เจ้าคิดว่าอย่างไร”
หนิงเมิ่งเหยาชั่งใจแล้วไม่เห็นปัญหาแต่อย่างใด นางพยักหน้าเห็นด้วย “ตกลง”
“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะมาหาพรุ่งนี้เช้านะ” หยางเล่อเล่อพูดอะไรอื่นกับหนิงเมิ่งเหยาอีกเล็กน้อยแล้วรีบกลับบ้าน ราวกับว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่บ้าน
แต่แล้วหยางเล่อเล่อกลับไม่ได้มาในวันถัดไป เพราะพี่สะใภ้ของนาง นางเฉียว อุ้มหยางจื้อกลับบ้านของตระกูลนาง นางหยางและหยางจู้มีเรื่องต้องจัดการจึงไม่มีใครดูแลหยางอี้ หยางเล่อเล่อเลยจำต้องอยู่ที่บ้าน
หนิงเมิ่งเหยาไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้ นางแบกตะกร้าขึ้นหลังแล้วขึ้นเขาไปยังบริเวณที่อากาศดีกว่าช่วงล่างของภูเขา หลังจากฝนแห้งแล้ว ทางเดินในภูเขาไม่ได้ลื่นแต่อย่างใด กลับเหมาะจะเดินเสียด้วยซ้ำ