“องค์หญิง” แคลร์กำลังจะคำนับ แต่แมริสห้ามไว้ก่อน 

 

 

“ที่นี่คือโรงเรียน ไม่ใช่วังหลวง เราเป็นเพื่อนกัน ไม่ต้องคำนับหรอก” แมริสยิ้มน้อยๆ แล้วห้ามแคลร์เอาไว้ 

 

 

การกระทำเล็กๆ นี้ทำให้แคลร์รู้สึกดี องค์หญิงที่ไม่ถือตัวเช่นนี้ทำให้คนเกลียดไม่ลงเลยจริงๆ 

 

 

“ขอบพระทัยองค์หญิง” แคลร์ยิ้ม 

 

 

“ไม่ต้องมีพิธีรีตองขนาดนี้หรอก ให้ข้าพาเจ้าไปห้องสมุดนะ” แมริสยิ้มตอบ หญิงสาวตรงหน้าทำให้นางรู้สึกอยากรู้อยากเห็น เพราะรู้สึกได้ว่าหญิงสาวตรงหน้านี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน นางรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล 

 

 

องค์หญิงแมริสพาแคลร์ไปที่ห้องสมุด ระหว่างทางผู้คนมากมายต่างก็มองพวกนางอย่างสงสัย องค์หญิงผู้สูงศักดิ์ทำไมถึงมาอยู่กับหญิงงี่เง่าบ้าผู้ชายนี่ได้ล่ะ? 

 

 

ในห้องสมุดเงียบสงัด หลังจากผู้ดูแลได้ตรวจสอบบัตรนักเรียนแล้วก็อนุญาตให้ทั้งสองเข้าไป แต่พวกนางเข้าไปได้แค่สามชั้นแรกเพื่อดูหนังสือเท่านั้น ส่วนชั้นสี่นั้นไม่มีสิทธิ์เข้าไป ทั้งสองเพิ่งเข้าไปในห้องสมุดก็ดึงดูดสายตาของคนจำนวนมากแล้ว คนหนึ่งคือองค์หญิงงดงามผู้สูงศักดิ์ ส่วนอีกคนก็คือหญิงงี่เง่าบ้าผู้ชายที่มีชื่อเสียงมากในเมือง ทั้งสองคนที่แตกต่างกันมาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร? 

 

 

“ราเซีย ดูนั่นสิ” หญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ที่บันไดกำลังจะขึ้นไปชั้นบนพูดกับราเซียที่อยู่ข้างๆ 

 

 

“มีอะไร?” ราเซียหันไปมองทางที่หญิงสาวข้างๆ อย่างรำคาญใจ แล้วสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปในทันที นังแคลร์งี่เง่ามาอยู่กับองค์หญิงได้อย่างไร? พอไม่มีใครสนใจนางก็ไปเกาะแกะองค์หญิงอย่างนั้นหรือ? หากไปทำกิริยาอะไรที่ไม่เหมาะสมกับองค์หญิงเข้าก็จะทำให้ตระกูลฮิลล์ขายหน้าไปอีก นังพี่งี่เง่านี่! ไม่แสดงให้เห็นก็คงไม่หลาบจำสินะ 

 

 

“หึ พวกเราไปกัน” ราเซียกล่าวแล้วเดินขึ้นบันไดไป คอยดูเถอะ นังแคลร์งี่เง่า รอเจ้าอยู่ตามลำพังก่อน ข้าจะสั่งสอนเจ้าแทนท่านปู่เอง ราเซียสบถอย่างโกรธๆ ในใจ 

 

 

แคลร์รับรู้ได้ถึงสายตาชั่วร้าย จึงหันไปมองและก็เห็นราเซียที่บันได ราเซีย…… แคลร์ตกใจ นางรู้ว่าเด็กเอาแต่ใจผู้นี้จะต้องมาหานางในไม่ช้า และในเวลาที่แสนสั้นนี้ นางจะต้องพัฒนาพลังของตนเองให้เร็วที่สุด จึงจะรับมือได้ 

 

 

“แคลร์ เจ้าอยากจะอ่านหนังสือประเภทไหนหรือ?” องค์หญิงแมริสถามเบาๆ 

 

 

“ข้าขอลองเปิดดูก่อนนะเพคะ” แคลร์พยักหน้ายิ้มๆ “ขอบพระทัยองค์หญิงที่พามาห้องสมุดเพคะ ขออย่าทรงโกรธนะเพคะ หากข้าหายไปหาหนังสือ” 

 

 

“ได้สิ” องค์หญิงแมริสพยักหน้าแล้วหมุนตัวเดินขึ้นบันไดไป 

 

 

หนังสือในห้องสมุดของโรงเรียนนั้นมีมากมาย ไม่นานแคลร์ก็หาหนังสือที่ตนเองสนใจเจอ แล้วไปนั่งอ่านอยู่เงียบๆ ที่มุมห้องอย่างเพลิดเพลิน นางอ่านเพลินจนลืมเวลา และมารู้สึกตัวตอนที่ผู้ดูแลมาเร่ง เพราะถึงเวลาเย็นที่ห้องสมุดได้เวลาปิดแล้ว เมื่อมองดูท้องฟ้า นางก็คาดว่าน่าจะประมาณสามทุ่มแล้ว และเสียงเรียกร้องของกระเพาะก็ดังขึ้น 

 

 

นางอ่านหนังสือเพลินเกินไปเสียจนลืมทานข้าวเลยก็ว่าได้ หลังจากแคลร์ยืมหนังสือสองเล่มแล้วนางจึงได้ออกจากห้องสมุด นักเรียนแบบนางสามารถยืมหนังสือได้แค่สองเล่มเท่านั้น แต่นักเรียนอัจฉริยะที่ได้รับการดูแลจากอาจารย์ใหญ่อย่างราเซียนั้นจะได้รับการปฏิบัติที่เทียบเท่ากับอาจารย์ และสามารถยืมหนังสือได้ห้าเล่ม 

 

 

โรงเรียนในยามค่ำคืนมีแต่ความเงียบสงัด สายลมพัดมาเบาๆ ก็ทำให้รู้สึกเย็นสบายได้ 

 

 

จะกลับบ้านหรือจะอยู่ที่โรงเรียนดีนะ? แคลร์มองที่ท้องฟ้า คิดๆ ดูแล้วก็ตัดสินใจกลับบ้าน เพราะนางมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องพลังเวทย์บางอย่างที่อยากถามอาจารย์อูมาริ แม้ว่ากอร์ตั้นจะไม่เห็นด้วยที่จะให้อูมาริเป็นอาจารย์ของแคลร์ และอูมาริเองก็ยอมรับว่าตนเองไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นอาจารย์ของนาง แต่ภายในใจของแคลร์นั้น อูมาริก็ได้เป็นอาจารย์ของนางไปแล้ว 

 

 

เมื่อจะออกจากโรงเรียนนั้น นางต้องเดินผ่านป่าเล็กๆ และจัตุรัสไปก่อน 

 

 

เมื่อเข้าไปในป่า อยู่ดีๆ ก็มีลมพัดมาเบาๆ แคลร์จึงหยุดฝีเท้าลง นางมองไปด้านหลังแล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา “ออกมาเถอะ” 

 

 

เสียงที่ตอบกลับแคลร์มาก็คือเสียงลมและเสียงเสียดสีกันของใบไม้ 

 

 

ตาของแคลร์นั้นเย็นชา น่าสงสารที่เด็กอัจฉริยะที่ต้องอยู่รอนางที่ห้องสมุดนานขนาดนี้ 

 

 

“หึ! นังพี่งี่เง่า” เสียงเย็นชาดังเข้ามาในหูของแคลร์ ราเซียในชุดขาวราวกับผีในยามค่ำคืนก็ปรากฎตัวขึ้นด้านหลังของแคลร์ 

 

 

แคลร์หมุนตัวไปช้าๆ แล้วก็มองไปยังใบหน้าที่กระหืดกระหอบของเด็กสาวตรงหน้าอย่างไม่แยแส นางถอนหายใจอย่างจนใจ เด็กเอาแต่ใจผู้นี้ใจร้อนเสียจริง จะลงมืออย่างรวดเร็วเพียงนี้เลย 

 

 

“ไสหัวออกจากโรงเรียนไปซะ ไปอยู่ที่บ้านดีๆ ไม่ต้องออกมาเจอใคร” ราเซียพูดด้วยน้ำเสียงโกรธ “ไม่รู้ว่าท่านปู่คิดอะไรอยู่จึงได้ให้พี่งี่เง่าอย่างเจ้ามาเข้าโรงเรียน นี่ยังขายหน้าไม่พออีกหรือ?” 

 

 

“ถ้าข้าปฏิเสธล่ะ?” ใบหน้าของแคลร์มีรอยยิ้มแปลกๆ นางเองก็ขี้เกียจจะโต้เถียงกับเด็กเอาแต่ใจผู้นี้แล้วเหมือนกัน 

 

 

รอยยิ้มแบบนี้ของแคลร์ในสายตาของราเซียนั้นมันช่างเป็นรอยยิ้มที่อวดดีเสียจริง 

 

 

“งั้นวันนี้ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าถ้ากล้าปฏิเสธข้าแล้วจะลงเอยเช่นไร” ราเซียยื่นมือออกไป แววตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง แล้วปากของนางก็เริ่มท่องคาถา 

 

 

ขณะที่ราเซียกำลังท่องคาถาอย่างรวดเร็วอยู่นั้น ในป่ามีคนสองคนเฝ้ามองอยู่อย่างเงียบๆ คลื่นพลังเวทย์รุนแรงเช่นนี้ช่างเหมาะกับเด็กอัจฉริยะอย่างราเซียนัก ทั้งสองมองดูพลางขมวดคิ้ว ครั้งนี้ พวกเขาต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแคลร์ที่บ้าผู้ชายคนนั้น 

 

 

แคลร์มองราเซียที่ร่ายคาถาด้วยใบหน้าเกลียดชังอยู่ตรงหน้าอย่างเย็นชา แคลร์ส่งเสียงฮึมฮัมจากนั้นก็พุ่งไปข้างหน้า จะให้รอราเซียร่ายคาถาจนจบงั้นหรือ? ตัวแคลร์เองดูเหมือนกระต่ายที่อยู่ในโอวาทแล้วจะรอคอยให้ถูกทุบตีอย่างนั้นหรือ? 

 

 

ราเซียมองแคลร์ที่พุ่งพรวดเข้ามาอย่างตกใจ แต่เพราะคาถาค่อนข้างสั้น พอท่องจบ นางก็สะบัดมือ ประกายไฟพุ่งไปที่แคลร์ สายฟ้านี้แข็งแกร่งกว่าสายฟ้าที่เคยสั่งสอนแคลร์เมื่อครั้งเป็นอย่างมาก ครั้งนี้ราเซียโกรธแล้วจริงๆ 

 

 

เมื่อแคลร์มองเห็นสายฟ้าที่กำลังจะพุ่งมากระทบร่างของตน นางได้ท่องคาถาบางอย่างอย่างรวดเร็ว ในชั่วขณะนั้นโล่สีแดงก็ปรากฏที่ด้านหน้า เสียงของสายฟ้าฟาดเข้าที่โล่นั้นดังขึ้น ตัวโล่มีแรงกระเพื่อมและเปลี่ยนเป็นโล่โปร่งแสง จากนั้นก็หายไป ราเซียอึ้ง ร่างของแคลร์ไม่ถูกโจมตีงั้นหรือ? นั่นมันคือโล่อะไร? พลังเวทย์งั้นหรือ? นังพี่งีเง่าบ้าผู้ชายมีพลังเวทย์งั้นหรือ? 

 

 

“โล่ไฟ” จินเหยียนและองค์ชายสองที่อยู่ในป่าพูดเบาๆ ให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคน ทั้งสองมองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างมีแววตาที่เหลือเชื่อ ใครจะเชื่อว่าหญิงงี่เง่าบ้าผู้ชายคนนั้นจะสามารถเรียนพลังเวทย์ได้ในระยะเวลาอันสั้นขนาดนี้ อีกทั้งเมื่อกี้ยังเรียกโล่ไฟมาได้อีกด้วย! 

 

 

แคลร์เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว แต่ราเซียก็ไม่เสียชื่อเด็กอัจฉริยะ นางตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและมองแคลร์ที่เข้ามาใกล้ ราเซียถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ลอยตัวขึ้นไปกลางอากาศ พลังเวทย์สายลมงั้นหรือ? แคลร์ขมวดคิ้ว ไม่สิ! ไม่ใช่สิ! ราเซียครอบครองธาตุสายฟ้า เวทย์การลอยตัวของธาตุลมนั้นเป็นเวทย์ขั้นสูง แม้ว่าราเซียจะเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ แต่นางก็ไม่มีทางที่จะใช้เวทย์ลมได้อย่างเชี่ยวชาญเช่นนี้ และเป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะทำได้โดยไม่ต้องท่องคาถา ความเป็นไปได้เดียวก็คือราเซียต้องมีวัตถุเวทย์อยู่กับตัวอยู่แน่ๆ และจะต้องเป็นวัตถุเวทย์ที่ล้ำค่ามากๆ ที่ทำให้นางสามารถลอยตัวได้ในทันทีเช่นนี้ 

 

 

ราเซียมองแคลร์ที่อยู่ด้านล่างอย่างตกใจ นางประเมินนังพี่งี่เง่าผู้นี้ต่ำเกินไปแล้ว แคลร์ใช้พลังเวทย์ได้แล้วจริงๆ แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ นางก็ไม่สามารถที่จะปล่อยให้พี่สาวอยู่ในโรงเรียนให้ขายหน้าได้หรอก เพราะว่าการดำรงอยู่ของหญิงบ้าผู้ชายคนนี้เป็นเรื่องที่น่าอายมากๆ! 

 

 

“กำไลแห่งสายลม” องค์ชายและจินเหยียนพูดพร้อมกันเบาๆ ที่ราเซียสามารถลอยตัวขึ้นได้ แท้จริงแล้วไม่ใช่พลังเวทย์ธาตุลม แต่ข้อมือของนางมีกำไลแห่งสายลมอยู่ วัตถุเวทย์ล้ำค่าเช่นนี้เป็นของขวัญที่อาจารย์ใหญ่โรงเรียนไรซิ่งซันมอบให้ราเซียตอนที่รับนางเป็นศิษย์ กำไลนั้นมีการร่ายพลังเวทย์ลงไปเพื่อให้ผู้ที่สวมใส่สามารถลอยตัวในอากาศได้ แต่ว่าจะลอยได้ในระยะเวลาไม่นานนัก แม้ว่าเวลาจะไม่นานแต่ก็นับว่าเป็นของล้ำค่า เพราะว่าในการต่อสู้นั้น หากสามารถลอยตัวขึ้นอย่างไม่มีใครคาดคิดได้ ก็สามารถโจมตีคู่ต่อสู้หรือใช้หนีไปได้ 

 

 

ราเซียไม่มีความลังเลใดๆ นางเริ่มร่ายคาถาอีกครั้ง “ท้องฟ้าโปร่งไร้เมฆ การผสานกันช้าและเร็ว! ตามพันธะสัญญาไฟและสายฟ้า! สายฟ้าคะนอง!” 

 

 

แคลร์ขมวดคิ้วแล้วเรียกโล่ไฟขึ้นมาอีกครั้ง สายฟ้าฟาดดังพร้อมระเบิดออกบนโล่ของแคลร์ จึงทำให้โล่ของนางระเบิดตามไปด้วย แคลร์กลิ้งไปกับพื้นและหลบสายฟ้าลูกต่อไป สายฟ้าที่มีประกายระเบิดอยู่รอบๆ ตัวนาง ในเวลานั้นเสื้อผ้าหน้าผมของแคลร์นั้นยุ่งเหยิงมาก ช่างน่าอายมากจริงๆ ราเซียที่อยู่กลางอากาศขมวดคิ้วมุ่น นั่นก็เพราะไม่มีสายฟ้าลูกไหนที่ตกลงที่ร่างของแคลร์เลย! 

 

 

สายตาของแคลร์ค่อยๆ เย็นชาขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่นางหลบปากก็ท่องคาถาไปด้วย ลูกไฟเล็กๆ พุ่งขึ้นกลางอากาศไปหาราเซีย ราเซียยิ้มอย่างเย็นชา ระดับต่ำเท่านี้คิดว่าจะโจมตีนางงั้นหรือ? ราเซียหลบลูกไฟอย่างดูถูก แต่พอนางหันไปมองก็ต้องตกใจกับลูกไฟมากมายจากทั่วทุกทิศ แคลร์ปล่อยลูกไฟออกมาโจมตีราเซียอย่างต่อเนื่อง สีหน้าของราเซียยิ่งดูถูกแคลร์มากขึ้น ระดับแค่นี้ คิดว่ามีมากแล้วจะทำอะไรนางได้หรือ? ราเซียหลบลูกไฟเหล่านั้นอย่างคล่องแคล่วอย่างง่ายดาย แต่ลูกไฟเหล่านั้นกลับไม่น้อยลงเลย ยิ่งนานเท่าไหร่ก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ราเซียขมวดคิ้ว นังพี่งี่เง่านี่ทำไมถึงได้มีพลังเวทย์มากถึงขั้นที่ปล่อยลูกไฟออกมาได้เยอะขนาดนี้ล่ะ? ตอนที่ราเซียกำลังจมอยู่กับความคิดและไม่ทันได้ระวังนั้น ลูกไฟเล็กๆ ก็พุ่งเข้ามาที่ชายกระโปรงของราเซียจนไหม้ เมื่อราเซียเห็นก็สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที นางถูกนังพี่งี่เง่านี่โจมตีได้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าอายยิ่งนัก! 

 

 

“ไปตายซะเถอะ! นังพี่งี่เง่า! นังโง่!” เวลานี้ราเซียเอาความเกลียดชังแคลร์ที่อยู่ในใจระบายออกมาจนหมด ปากก็รีบท่องคาถาอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้ไม่ใช่คาถาเล็กน้อยที่แค่จะสั่งสอนนางอีกต่อไปแล้ว แต่สายตาของราเซียฉายแววเจตนาฆ่าเลยก็ว่าได้ 

 

 

………………………………………………………………………….