เขาถูมือไปมาด้วยความลำบากใจเล็กน้อย
“แหะๆ แม่นางน้อย เจ้าอย่าเพิ่งโกรธข้า ข้าไม่ได้ตั้งใจสะกดรอยตามเจ้า แค่คิดว่าเงินหมื่นตำลึงนั้นมันเอาเปรียบกันเกินไปหน่อย แม้ข้าจะไม่ค่อยมีเงิน แต่ก็ไม่ควรใจดำเอารัดเอาเปรียบเด็กสาวผู้หนึ่งจริงหรือไม่”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้ว
“หากท่านมาเพราะสาเหตุนี้ มันไม่จำเป็นจริงๆ เพราะในสายตาของข้า หินสีแดงก้อนนั้นคุ้มราคาหมื่นตำลึง”
ยิ่งกว่าเกินคุ้ม คุ้มสุดๆ ไปเลย
แต่ท่านผู้เฒ่าไม่เชื่อและโบกพัดในมือไปมา
“เฮ้อ เด็กน้อยเจ้าอย่าเกรงใจแบบนี้เลย หินสีแดงที่ข้าเคยเจอมีทั้งถูกและแพง แต่หินของเจ้าก้อนนั้นราคาไม่ถึงหมื่นตำลึงจริงๆ เช่นนั้น ข้าเอาของอีกชิ้นให้เจ้าเป็นการชดเชยดีหรือไม่”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้า “ข้าไม่สน”
แม่นางน้อยผู้นี้ช่างเอาใจยากเสียจริง!
“ตกลงท่านมาด้วยเหตุใดกันแน่ ข้าว่าเอ่ยมาตามตรงจะดีกว่า”
เถ้าแก่ผู้เฒ่าเห็นสีหน้าของฉู่หลิวเยว่นิ่งขรึม ดวงดาดำขลับคู่นั้นดูเหมือนจะมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว เขาจึงอดไมม่ได้ที่จะรู้สึกลำบากใจยิ่งขึ้นไปอีก
“อันที่จริง…ข้าอยากถามเจ้าว่าผู้ใดเป็นอาจารย์ของเจ้า”
แม้ว่าร่างกายของนางจะไม่มีความเคลื่อนไหวของพลัง อีกอย่างกระบวนท่าก็แทบจะเรียบง่ายดายมาก แต่เขามองปราดเดียวก็รู้แล้วว่ามันต้องมาจากทักษะการต่อสู้ขั้นสูงบางอย่างหรือหลายๆ อย่างรวมกัน
เบื้องหลังของนางจะต้องมีจอมยุทธ์ขั้นสูงแน่นอน
มิฉะนั้น นางคงไม่สามารถปราบผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สามอย่างลู่จื้อเทาได้อยู่หมัดอย่างง่ายดายขนาดนี้หรอก
หลายปีที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตได้อย่างน่าเบื่อจืดชืด หากได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กระบวนท่าจากอีกฝ่ายคงดีไม่น้อย!
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตา
“หากข้าบอกท่านแล้ว ข้าจะได้ประโยชน์อันใด”
ท่านผู้เฒ่าคนนั้นเกาหัวด้วยความกลุ้มใจ
ก็เขาไม่มีเงินนี่นา อีกอย่างนางดูท่าทางแล้วก็ไม่ใช่คนยากคนจน…
ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเขาก็ลูบศีรษะ พลิกป้ายหยกอันหนึ่งออกมา
“แลกด้วยสิ่งนี้ได้หรือไม่ สิ่งนี้ค่อยคุ้มค่าเงินหน่อย!”
ฉู่หลิวเยว่ก้มหน้ามองดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย
แท้จริงแล้วมันคือป้ายหยกแกะสลักด้วยยันต์คาถา!
แล้วดูเหมือนว่าระดับขั้นของยันต์คาถาจะไม่ได้ต่ำต้อย…
สิ่งนี้ไม่ใช่ของถูกแน่นอน เขาให้นางง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ
“จริงหรือ”
“จริงแท้แน่นอน!”
เมื่อเห็นฉู่หลิวเยว่หวั่นไหว ท่านผู้เฒ่าก็รีบก้าวไปหาแล้วนำป้ายหยกนั้นยัดใส่มือของนาง
“อย่างไรเสียข้าก็ไม่ค่อยได้ใช้สิ่งนี้เท่าไหร่ หากเจ้าชอบก็รับไปสิ!”
ฉู่หลิงเยว่ครุ่นคิดพิจารณา แล้วเก็บของนั้นเข้าไปในใต้ฝ่ามือ
ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าให้ นางก็กล้ารับ!
“ได้ เช่นนั้นข้าก็ขอพูดความจริง…ข้าไม่มีอาจารย์หรอก”
ฉู่หลิวเยว่กล่าวอย่างตรงไปตรงมา
ท่านผู้เฒ่าเดิมทีมีสีหน้าเต็มไปด้วยความรอคอยและตื่นเต้นพลันชะงักค้างทันที
“เช่นใดนะ ไม่มีอาจารย์ เป็นไปได้อย่างไร เจ้าอย่าบอกนะว่าเจ้าเรียนท่าร่างวรยุทธ์ด้วยตัวเองหรือ”
ฉู่หลิวเยว่กระแอมไอ
นางไม่รู้จะอธิบายอย่างไรจริงๆ
“ข้าไม่มีอาจารย์จริง”
แน่นอนว่าท่านผู้เฒ่าคนนั้นไม่เชื่อ เขาจึงคว้าข้อมือของฉู่หลิวเยว่เอาไว้
“เจ้าเด็กนี่ หากเจ้าไม่พูดความจริงล่ะก็…”
เขาพูดได้เพียงครึ่งประโยคก็หยุดชะงักทันที สายตาที่มองฉู่หลิวเยว่ก็ค่อยๆ เผยความตกตะลึง
“เจ้า…เจ้า…”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วมุ่น และคิดที่จะปลีกตัวออกไป
“…เจ้าคือเด็กคนนั้นของตระกูลฉู่หรือ”
ฉู่หลิวเยว่อึ้งไปชั่วขณะ
อีกฝ่ายไม่เคยเห็นหน้านาง แล้วจะจำนางได้อย่างไร
ทว่าในความทรงจำของนาง ไม่มีบุคคลผู้นี้อยู่เลยนี่นา
เมื่อท่านผู้เฒ่าเห็นนางไม่พูดสิ่งใด ก็ยิ่งเกิดความรู้สึกเหลือเชื่อ
“เจ้าคือฉู่หลิวเยว่จริงๆ หรือ ชีพจรของเจ้าไม่ได้…”
ที่แท้เขาจำนางได้จากการจับชีพจรนี่เอง
ฉู่หลิวเยว่ผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก แล้วถอดหมวกออก
“ข้าคือฉู่หลิวเยว่ แล้วท่านล่ะ”
เมื่อเห็นรูปโฉมงดงามของสตรีที่อยู่ตรงหน้า ท่านผู้เฒ่าก็ถึงกับตะลึงไปชั่วขณะ
“ที่แท้เจ้าก็โตขนาดนี้…ไม่ถูกต้องนี่นา ชีพจรเจ้า…”
เขาพูดไม่ทันจบประโยคก็หยุดไปเสียดื้อๆ เขาเองก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
อันที่จริงเขาเคยตรวจชีพจรให้ฉู่หลิวเยว่เมื่อครั้งนางยังเด็ก แล้วยืนยันอีกถึงสามครั้งว่าชีพจรในร่างกายของนางไม่สมบูรณ์ ชาตินี้ไม่มีทางฝึกฝนพลังได้
แต่เมื่อครู่นี้ เขาจับโดนชีพจรนางโดยไม่ได้ตั้งใจ กลับพบว่าชีพจรของนางดูเหมือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย!
ฉู่หลิวเยว่เห็นสีหน้าของท่านผู้เฒ่าที่เปลี่ยนไปมา นางจึงหรี่ตาเล็กน้อย
ยามนี้นางเพิ่งเริ่มฟื้นฟูชีพจรเดิม คนธรรมดาไม่มีตรวจพบได้
แต่ท่านผู้เฒ่าคนนี้กลับสามารถจับชีพจรได้ในพริบตาเดียว เห็นได้ชัดว่าเขามิใช่คนธรรมดา
และมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่า…เขาคือหมอเทวดา!
บางทีคนแก่หงำเหงือกก็อาจจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังวิเศษก็ได้!
“แม่นางน้อย โปรดบอกความจริงกับข้า ตกลงใครเป็นคนช่วยเจ้ากันแน่”
ท่านผู้เท่าเปลี่ยนภาพลักษณ์ที่ดูผ่อนคลายเช่นก่อนหน้านี้ให้ดูจริงจังมากขึ้น จากนั้นเขาก็ปล่อยมือฉู่หลิวเยว่ สบตานางแน่นิ่งก่อนจะเอ่ยถาม
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้าอย่างจริงใจ
“ไม่มีจริงๆ หากท่านไม่เชื่อก็ลองไปสืบถามดูเองก็ได้ แม้ข้าจะมีชื่อเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่ แต่หลายปีที่ผ่านมา ข้ามีชีวิตไม่ต่างอะไรกับคนรับใช้ สามารถปกป้องตัวเองได้มาจนถึงป่านนี้ก็นับว่าโชคดีนักหนาแล้ว นับประสาอะไรกับเรื่องอื่นเล่า”
ท่านผู้เฒ่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เขาละทางโลกมาหลายปีแล้ว เรื่องราวต่างๆ มากมายในเมืองหลวงเขาก็ไม่ค่อยจะเข้าใจแล้วล่ะ
แต่ทว่าฉู่หลิวเยว่เป็นคนที่มีชีพจรไม่สมบูรณ์ตั้งแต่กำเนิด แค่คิดก็พอจะเดาออกว่าที่ผ่านมามีชีวิตความเป็นอยู่เยี่ยงไร
หากจะบอกว่ามีคนคอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง…แต่นางกับฉู่หนิงก็ไร้ภูเขาใหญ่ให้พึ่งพิง จะไปหาใครให้มาช่วยได้ล่ะ
“…ที่แม่นางน้อยพูดก็มีเหตุผล แต่ชีพจรเดิมของเจ้า…อธิบายได้ไม่ชัดเจนจริงๆ นี่น่ะสิ”
ท่านผู้เฒ่าครุ่นคิดอย่างหนัก แต่ก็เดาไม่ออกว่าเหตุใดชีพจรเดิมของฉู่หลิวเยว่ถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน จึงหยิบด้ามพัดเคาะศีรษะตนเองด้วยความปวดหัวอย่างอดไม่ได้
ฉู่หลิวเยว่มองสีของท้องฟ้า
“หากท่านไม่มีธุระอื่นใดแล้ว ผู้น้อยขอตัวกลับก่อน”
แม้จะไม่แน่ใจถึงสถานะตัวตนของท่านผู้เฒ่า แต่ฉู่หลิวเยว่ก็มั่นใจได้ว่าเขามีที่มาที่ไปไม่ธรรดาแน่นอน
บุคคลผู้นี้ แน่นอนว่านางจะไม่เป็นฝ่ายล่วงเกินก่อน
ท่านผู้เฒ่าโบกมือให้ แม้จะยังคงขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความคิดไม่ตก
“สรุปคือ”
ฉู่หลิวเยว่ไม่อยู่ที่นี่มากนักแล้วรีบจากไป
ในตรอกแคบๆ จึงเหลือเพียงท่านผู้เฒ่าที่กำลังจมดิ่งไปกับความคิด
…
เมื่อฉู่หลิวเยว่กลับมาถึงตระกูลฉู่ ทุกอย่างก็ยังดูเป็นปกติ
ยาใหม่ส่งมาถึงแล้ว นางยังคงต้มยาให้ฉู่หนิงก่อนเหมือนเดิม รอฉู่หนิงกลับมาก็นำยาไปให้
ฉู่หนิงไม่พูดไม่จาแล้วก็ดื่มยาจนหมดเกลี้ยง
ความคลางแคลงใจในคราวแรกก็หายไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายของเขาที่เห็นได้ชัดเจน
ตอนนี้ในสายตาของเขา บุตรสาวผู้เป็นแก้วตาดวงใจช่างมีพรสวรรค์ไม่เป็นสองรองใคร!
เขาสัมผัสได้ถึงพลังอันอุ่นร้อนที่ไหลเวียนไปทั่วสรรพางค์กาย และฉู่หนิงถอนหายใจออกมาแผ่วเบา
“เยว่เอ๋อร์ รอพ่อร่างกายแข็งแรงเมื่อไหร่ พ่อจะพาเจ้าไปคำนับอาจารย์ พรสวรรค์เช่นนี้ของลูก มิอาจเก็บเอาไว้ได้อีกต่อไป!”
ฉู่หลิวเยว่ถามขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ท่านพ่อ ตอนนี้แคว้นเย่าเฉินมีหมอเทวดากี่คนเจ้าคะ”
ฉู่หนิงใช้เวลาครุ่นคิดครู่นหนึ่ง
คุณสมบัติของการเป็นหมอเทวดานั้นสูงมาก ต่อให้มีคุณสมบัติแต่ก็มีพรสวรรค์เพียงน้อยนิด สุดท้ายก็ไม่มีทางกลายเป็นหมอเทวดาที่แท้จริงได้ ยามนี้ทั่วทั้งแคว้นเย่าเฉิมมีหมอเทวดาไม่ถึงเจ็ดคน!
ฉู่หลิวเยว่อยากถามอีกหลายเรื่อง แต่น่าเสียดายที่ฉู่หนิงไม่ค่อยรู้เรื่องพวกเขามากนัก ดังนั้นจึงไม่สามารถจับต้นชนปลายเรื่องของท่านผู้เฒ่าแปลกๆ คนนั้นได้
ฉู่หลิวเยว่รู้ดีว่าเรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้ ดังนั้นนางจึงไม่เซ้าซี้ถามอะไรมากอีก เมื่อรอฉู่หนิงออกไป นางจึงเริ่มต้มยาของตนเองต่อ
ค่ำคืนนี้ เสวียเสวี่ยไม่ได้มาหานาง
…
เพียงชั่วพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปอีกสามวัน
ในขณะที่ฉู่หลิวเยว่กำลังจะเริ่มต้มยาให้ฉู่หนิงอีกครั้ง ก็มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาเยือนถึงเรือน
เป็นท่านผู้เฒ่าคนนั้นจริงๆ ด้วย!
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้มาทางประตูหน้า เขายังคงสวมเสื้อผ้าฝ้ายเก่าๆ ขาดๆ ทั้งยังมีเศษใบไม้ติดตามเส้นผมอีกด้วย ขอบตาดำคล้ำของเขาดูแล้วคงจะไม่ได้พักผ่อนมาหลายวัน
เมื่อฉู่หลิวเยว่เห็นสภาพนี้ของเขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“ท่านมาได้อย่างไร”
สายตาของท่านผู้เฒ่าดูเศร้าหมอง
“ข้าคิดมาสามวันสามคืนก็คิดไม่ออก…คิดไม่ถึงว่า…”
ฉู่หลิวเยว่ตกใจ นี่หมายความว่า…เขาไม่ได้นอนหลายวันก็เพราะนางอย่างนั้นหรือ
เขาชี้นิ้วไปที่หม้อยาส่งกลิ่นห้องอบอวลนั้นด้วยมืออันสั่นเทา ราวกับว่าเขาถูกหลอกลวง ก่อนจะโอดครวญด้วยความเจ็บใจ
“เจ้าบอกข้าว่าไม่มีใครช่วยเจ้า เจ้าหลอกข้าได้เจ็บแสบมาก!”