บทที่ 1 การข้ามภพที่แสนจะไม่เต็มใจ

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

หนึ่ง

การข้ามภพที่แสนจะไม่เต็มใจ

เสวี่ยเจียเยว่กำลังนั่งรับแสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณอยู่ที่ธรณีประตู

แสงแดดอ่อนๆ ในวสันตฤดูช่วงเดือนสาม ส่องกระทบร่างบอบบางให้ได้รับความอบอุ่น กระนั้นหัวใจของเธอกลับยังรู้สึกหนาวเหน็บเหลือประมาณ

คืนก่อนเธอนั่งเขียนวิทยานิพนธ์ก่อนจบการศึกษาอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ทันใดนั้นก็ถูกเพื่อนร่วมห้องดึงแขนไปฟังเจ้าตัวเล่าเค้าโครงนิยายออนไลน์เรื่องใหม่ที่เพิ่งร่างขึ้นมา

เพื่อนร่วมห้องคนนี้แต่งนิยายมาเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม โดยโพสต์ลงในเว็บไซต์นิยายที่ได้รับความนิยมเว็บหนึ่ง เป็นนิยายแนวรักโรแมนติก ซึ่งแต่งออกมาได้เลี่ยนจริงๆ และนิยายเรื่องใหม่ที่เจ้าตัวร่างเค้าโครงขึ้นมานั้น พระเอกมีฐานะยากจน เป็นคนใจดำอำมหิต เพื่อเป้าหมายที่ต้องการ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีสกปรกเพียงใดก็ต้องได้มา ถึงขั้นใช้สตรีหน้าตางดงามมายกระดับฐานะของตนให้สูงขึ้น อีกทั้งชื่อเรื่องเพื่อนร่วมห้องก็คิดมาเสร็จสรรพ นิยายเรื่องนี้มีชื่อว่า หญิงงามสิบสองตำหนัก ซึ่งมีความหมายว่าจะต้องรวบรวมหญิงงามให้ครบหนึ่งโหลนั่นเอง

 ในเวลานั้นสมองของเสวี่ยเจียเยว่มีเพียงเรื่องวิทยานิพนธ์ของตน ที่มีท่าทีสนอกสนใจต่อหน้าเพื่อนร่วมห้องนั้น เธอแค่ฟังให้มันผ่านๆ ไป บางครั้งก็ส่งเสียงออกมาเพื่อแสดงให้รู้ว่าตนได้ฟังแล้ว ผ่านไปไม่นานเธอก็แทบลืมไปจนหมดสิ้น ทว่าสิ่งที่เธอคิดไม่ถึงคือ ในขณะที่ลืมตาตื่นขึ้นมา ภาพที่เห็นไม่ใช่เพดานสีขาวในห้องนอนของตัวเอง กลับเป็นหลังคาที่มุงด้วยหญ้า ทั้งยังมีหยากไย่เกาะอยู่ตามมุมผนัง และบนใบหน้ามีแมงมุมสีดำขนาดเท่าหัวแม่มือเกาะอยู่หนึ่งตัว!

หลังจากนั้นเธอมีไข้สูงจนต้องนอนซมอยู่บนเตียงสองวัน ในที่สุดก็ต้องยอมรับความจริงอย่างจนใจว่า เธอข้ามภพมาอยู่ในเค้าโครงนิยายที่เพื่อนร่วมห้องร่างขึ้น ทว่าเนื้อหาในนิยายนั้นยังไม่ได้แต่ง

ถ้าเดาไม่ผิด เธอยังเข้ามาอยู่ในร่างน้องสาวซึ่งเป็นลูกติดแม่เลี้ยงของพระเอกอีกด้วย

ลูกติดแม่เลี้ยงผู้นี้… เสวี่ยเจียเยว่ยกมือขึ้นสัมผัสเส้นผมที่ยุ่งเหยิงไร้ระเบียบของตน พร้อมกับขมวดคิ้วคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาอย่างละเอียด หากจำไม่ผิดละก็ ตามเค้าโครงนิยายที่เพื่อนร่วมห้องร่างขึ้น สตรีผู้นี้เป็นคนสกปรกมอมแมม พูดมาก และชอบรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า ทว่าขลาดกลัวผู้ที่แข็งแกร่ง ที่สำคัญคือนางชอบฟ้องเรื่องพระเอกต่อหน้ามารดาของตนอยู่บ่อยๆ จนพระเอกถูกกักขังให้อดข้าวอดน้ำอยู่บ่อยครั้ง ขณะเดียวกันนางเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกของตน ต่อหน้ามารดานางเอาแต่ใส่ร้ายดูถูกพระเอกไม่หยุดหย่อน แต่ในเวลาเดียวกันก็ชอบไปอยู่ข้างๆ อยากจะใกล้ชิดกับเขาตลอดเวลา

สรุปว่าตัวละครลูกติดแม่เลี้ยงผู้นี้ไม่ดีเอาเสียเลย

แต่มิได้บอกว่าพระเอกเป็นคนใจคอโหดเหี้ยม แม้เพียงเรื่องเล็กน้อยก็ต้องแก้แค้นหรอกหรือ

เสวี่ยเจียเยว่จำได้ว่าในตอนสุดท้ายเขาต้องมอบความตายให้แก่แม่เลี้ยง ส่วนลูกสาวของนางต้องถูกลงโทษที่เคยทำไม่ดีกับเขา หากไม่ตายก็ต้องถูกถลกหนัง

และสิ่งที่น่ากลุ้มใจที่สุดคือ การข้ามภพมาเป็นน้องสาวลูกติดแม่เลี้ยงของพระเอก!

เสวี่ยเจียเยว่ก้มลงมองโคลนตมที่ยังไม่ได้ล้างทำความสะอาดภายในซอกเล็บ พลันรู้สึกไม่สบายตัวเท่าไรนัก

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น เธอจึงเงยหน้ามอง

สตรีผู้หนึ่งใช้มืออันหยาบกร้านผลักประตูที่เปิดอยู่แล้วกระทบผนัง ทำให้ทั้งไก่ตัวผู้และตัวเมียที่กำลังจิกกินอาหารอยู่นั้นตื่นตกใจจนกระพือปีกบินไปทั่วเรือน ไก่ตัวผู้ตัวหนึ่งบินไปยังกองฟางที่อยู่ตรงมุมหนึ่ง แล้วเชิดหัวขึ้นร้องออกมา

เสวี่ยเจียเยว่พินิจมองสตรีผู้นั้น

นางสวมอาภรณ์เก่าๆ สีเขียว และมีผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าโพกศีรษะหนึ่งผืน ใบหน้าสีเหลืองอมเทาทั้งกลมและแบนราบ ดวงตาเฉียบคม โหนกแก้มค่อนข้างสูง ดูหน้าตาก็รู้ว่าเป็นคนใจดำอำมหิต

เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือมารดาเจ้าของร่างที่เธอครอบครอง แม่เลี้ยงของพระเอก นางมีนามว่าซุนซิ่งฮวา ตอนที่เพิ่งข้ามภพมานั้น เสวี่ยเจียเยว่มีไข้และปวดศีรษะ แต่สตรีผู้นี้กลับหยิบไม้กวาดที่ทำจากดอกหลูเว่ยขึ้นมาทุบตีเธอที่กำลังนอนอยู่บนเตียงไม้อันแสนเรียบง่าย ด่าเป็นการใหญ่เพียงเพราะเธอเป็นไข้นอนตัวแข็งทื่อเหมือนศพอยู่บนเตียงสองวัน ด้วยช่วงนี้เป็นฤดูกาลปลูกข้าว จึงมีงานมากมายในไร่นาที่ยังทำไม่เสร็จ ทว่าเธออยากจะนอนแข็งทื่อเป็นศพเมื่อไรกัน

ดูเหมือนซุนซิ่งฮวาจะทำกับลูกสาวแท้ๆ ของตนเช่นนี้เป็นปกติ

เสวี่ยเจียเยว่คิดเช่นนั้นในใจ ขณะที่เธอเงยหน้าขึ้นมองซุนซิ่งฮวาด้วยสีหน้านิ่งสงบ

ในยามนี้เอง ซุนซิ่งฮวาก็เห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่มานั่งอยู่บนธรณีประตูแล้ว

เดิมทีซุนซิ่งฮวาเป็นคนโมโหร้ายอยู่แล้ว อีกทั้งหมู่บ้านเล็กๆ ในชนบท ลูกสาวมักจะถูกมองว่าเป็นสินค้าที่ขาดทุน ดังนั้นแม้ว่าร่างที่เสวี่ยเจียเยว่ครอบครองอยู่จะเป็นลูกแท้ๆ แต่ในใจลึกๆ ของซุนซิ่งฮวาก็ใช่ว่าจะรักลูกสาวคนนี้มากนัก ยิ่งไปกว่านั้น ลูกสาวนางยังเป็นคนหนักไม่เอา เบาไม่สู้ ทั้งเกียจคร้านและตะกละตะกลาม

“วันนี้เจ้าลุกขึ้นมาจากเตียงได้แล้ว ไม่นอนแข็งทื่อเป็นศพอีกแล้วหรือ” ซุนซิ่งฮวาเดินผ่านเสวี่ยเจียเยว่ไปด้วยสีหน้านิ่งสงบ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน “ข้านึกว่าเจ้าจะยังนอนอยู่บนเตียง ทำตัวเป็นคุณหนูใหญ่ให้ข้าคอยปรนนิบัติรับใช้ ยกข้าวยกน้ำมาให้เจ้าทุกวันเสียอีก”

“ฮึ” เสวี่ยเจียเยว่แค่นเสียงเย็นชาออกจากจมูกเบาๆ ไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมา

เธอข้ามภพมาได้สองวันแล้ว ไข้ขึ้นสูงทั้งยังตัวร้อนดุจไฟเผา เห็นซุนซิ่งฮวายกข้าวยกน้ำมาให้เธอเมื่อไรกัน หากเมื่อคืนนี้ไม่ได้ยินนางบอกว่าเธอคลานออกมาจากไส้กับหู เสวี่ยเจียเยว่คงนึกว่าตนเป็นเด็กที่ซุนซิ่งฮวาเก็บมาเลี้ยงเสียอีก

เสวี่ยเจียเยว่ไม่เคยพบมารดาเช่นนี้ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนบนโลกนี้สมควรจะเป็นพ่อแม่คน บิดาของเธอในชาติภพก่อนก็เป็นคนไม่มีคุณธรรมเช่นกัน

“เจ้ายังจะนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นเพื่ออะไร!” ซุนซิ่งฮวาตะโกนออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “ยังไม่รีบมาช่วยข้าอีก”

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้น จึงลุกขึ้นอย่างช้าๆ แล้วหมุนกายเดินตามไป

เรือนนี้ตั้งอยู่ทางทิศเหนือและหันหน้าไปทางทิศใต้ ผนังทำจากดินสีเหลือง หลังคามุงหญ้า พื้นเป็นดินสูงต่ำไม่ราบเรียบสลับกัน และมีหลุมเล็กๆ อยู่เป็นจำนวนมาก ด้านนอกตัวเรือนมีลานและสวนขนาดย่อมซึ่งล้อมรอบด้วยอิฐก้อนใหญ่ ในสวนปลูกต้นผีผา[1] กับต้นท้ออย่างละต้น ด้านขวามือยังมีเรือนที่มุงหลังคาด้วยหญ้าอีกสองหลังซึ่งเตี้ยกว่าเรือนหลักเล็กน้อย เพื่อใช้เป็นเล้าไก่และเรือนเก็บฟืน แต่จากการสังเกตอย่างเงียบๆ ของเสวี่ยเจียเยว่ในสองวันที่ผ่านมา พระเอกใช้เรือนเก็บฟืนหลังนั้นเป็นที่ซุกหัวนอน ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเป็นความต้องการของซุนซิ่งฮวา

นางปล่อยให้พระเอกผู้ใจดำอำมหิต ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่ก็ต้องแก้แค้น อาศัยอยู่ในเรือนเก็บฟืน! เฮ้อ… ซุนซิ่งฮวาผู้นี้มิใช่กำลังรนหาที่ตายอยู่หรอกหรือ

เสวี่ยเจียเยว่เดินไปทางห้องครัวอย่างช้าๆ

เรือนนี้แบ่งออกเป็นสามห้องใหญ่ ตรงกลางคือห้องโถง ระหว่างห้องด้านซ้ายกับห้องด้านขวามีผนังดินกั้นเอาไว้ ซุนซิ่งฮวากับบิดาของพระเอกจะนอนที่บริเวณครึ่งแรกของห้องด้านซ้ายมือ ส่วนครึ่งหลังใช้วางสิ่งของต่างๆ อย่างเช่นตู้หรือหีบ บริเวณครึ่งแรกในห้องด้านขวามือใช้เก็บสิ่งของต่างๆ และมีเตียงไม้เรียบง่ายหนึ่งหลัง ซึ่งบริเวณนี้คือห้องของเสวี่ยเจียเยว่ ส่วนครึ่งหลังใช้เป็นห้องครัว

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เข้ามาในห้องครัว เธอก็เห็นซุนซิ่งฮวากำลังจะทำโจ๊กข้าวฟ่าง

ข้าวฟ่างนี้แช่น้ำเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้ซุนซิ่งฮวาซาวมันขึ้นมา และล้างด้วยน้ำสะอาดครู่หนึ่ง ก่อนจะใส่ลงไปในหม้อพร้อมกับเติมน้ำแล้วปิดฝา จากนั้นก็ยัดฟืนเข้าไปในเตา

เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่เข้ามาแล้ว ซุนซิ่งฮวาก็ชี้ไปยังผักขึ้นฉ่ายกองใหญ่ที่อยู่บนแท่นเตาพร้อมกับสั่ง “เอาไปล้าง”

เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้กล่าวอะไร เข้าไปหยิบขึ้นฉ่าย แล้ววางถังน้ำไว้ข้างๆ จากนั้นก็นั่งลงเริ่มล้างทันที เมื่อล้างเสร็จเธอก็นำขึ้นฉ่ายไปวางไว้บนแท่นเตาโดยไม่พูดไม่จา

เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าซุนซิ่งฮวากำลังจ้องมาที่เธอ ดวงตาคู่นั้นเป็นประกายราวกับดวงตาของนกฮูกที่ถูกแสงไฟส่องกระทบในยามค่ำคืน ทำให้คนมองรู้สึกไม่ปลอดภัย

“ล้มป่วยครั้งนี้ถึงกับทำให้เจ้าเป็นใบ้เชียวหรือ หรือว่าเป็นไข้จนสมองเจ้าทึ่มไปแล้ว” ซุนซิ่งฮวาใช้เหล็กคีบถ่านเคาะภายในเตา แค่นเสียง ‘ฮึ’ อย่างเย็นชาก่อนจะพูดต่อ “ตั้งแต่ข้ากลับมาจนถึงตอนนี้ แม้แต่ผายลมข้าก็ยังไม่เห็นเจ้าทำ”

เสวี่ยเจียเยว่ยังคงทำหน้านิ่ง และไม่พูดไม่จาเช่นเคย

เธอไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเจ้าของร่างนี้แม้แต่น้อย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นคนอย่างไร หรือในยามปกติปฏิบัติตัวอย่างไรต่อซุนซิ่งฮวา ด้วยคิดว่ายิ่งพูดก็จะยิ่งผิดพลาดไปใหญ่ เธอจึงทำตัวเป็นคนใบ้ไปชั่วคราว ถูกคนอื่นมองว่าไร้สติ ยังดีกว่าเรื่องที่จู่ๆ นิสัยเจ้าของร่างนี้ก็เปลี่ยนไปขนานใหญ่ หรือให้ผู้คนคิดว่าถูกผีสิงไปเลยยิ่งดี

การที่ซุนซิ่งฮวามีท่าทีเย็นชาเช่นนี้ คาดการณ์ได้เลยว่าถ้ามีใครบอกว่าลูกสาวนางถูกผีเข้าและต้องฆ่าทิ้งเสีย นางจะต้องตอบรับอย่างไม่ลังเลแน่นอน

ซุนซิ่งฮวาใช่ว่าจะห่วงใยลูกสาวอย่างแท้จริง เป็นใบ้หรือไร้สติก็ล้วนไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับนาง ขอเพียงทำงานต่อไปได้ก็พอ เมื่อกล่าวจบซุนซิ่งฮวาโยนเหล็กคีบถ่านทิ้งไป ก่อนจะเรียกเสวี่ยเจียเยว่ “มาก่อไฟอีกเตาแล้วอุ่นหมั่นโถว”

นางลุกขึ้นไปเปิดตู้กับข้าว ก่อนจะหยิบหมั่นโถวธัญพืชออกมาหลายลูก แล้วใส่ลงไปในหม้ออีกใบ จากนั้นก็หยิบมีดหั่นผักกับเขียงมาหั่นขึ้นฉ่ายที่เสวี่ยเจียเยว่ล้างเมื่อครู่

ส่วนเสวี่ยเจียเยว่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ กำลังหักไม้ไผ่และเรียนรู้ท่าทางการคีบฟางยัดเข้าไปภายในเตาของซุนซิ่งฮวา

แต่ยังไม่วายถูกซุนซิ่งฮวาด่าเช่นเดิม “เจ้าอยากตายหรือไง! แม้แต่ก่อไฟก็ทำไม่เป็นอย่างนั้นหรือ”

เสวี่ยเจียเยว่ทำไม่เป็นจริงๆ ทั้งที่เมื่อครู่ตอนเธอดูซุนซิ่งฮวาทำก็เหมือนจะเป็นเรื่องที่แสนง่ายดาย เพียงใช้เหล็กคีบถ่านคีบฟางกับฟืนยัดเข้าไปในเตาก็พอแล้ว แต่เมื่อเธอคีบฟางเข้าไปกลับไม่มีเปลวไฟ สิ่งที่ออกมาจากเตามีแค่ควันเท่านั้น ทั่วทั้งห้องครัวเต็มไปด้วยควันสีดำ คนที่ฉุนจนแสบจมูกจึงไออย่างอดไม่ได้

ซุนซิ่งฮวาโยนขึ้นฉ่ายทิ้งทันที แล้วด่าเสวี่ยเจียเยว่เสียงดังลั่นพร้อมดึงเหล็กคีบถ่านในมืออีกฝ่ายไป จากนั้นนางยื่นมือเข้าไปในเตา ก่อนจะขุดหลุมแล้วใช้เหล็กคีบถ่านโกยฟางที่อยู่ด้านในออกมา เมื่อทำเสร็จก็ทิ้งเหล็กคีบถ่าน พร้อมกับด่าเสวี่ยเจียเยว่

“การก่อไฟไม่ได้ทำเช่นนี้ จะต้องขุดหลุมเอาไว้ด้านใน นี่เจ้าลืมหมดเลยอย่างนั้นหรือ”

จากนั้นนางก็ตบศีรษะเสวี่ยเจียเยว่อีกหนึ่งทีพร้อมดุด่า “ข้าว่าการป่วยครั้งนี้มันทำให้เจ้าไร้สติเสียแล้ว แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็ลืมมันไปหมดสิ้น”

คนที่เคยชินกับการทำนา น้ำหนักมือมีหรือจะเบา ทว่าเสวี่ยเจียเยว่ที่ถูกซุนซิ่งฮวาตบอย่างกะทันหันจนศีรษะเอียงไปด้านหนึ่ง กลับไม่ปริปากพูดอะไรออกมาสักคำ

ตอนนี้เธอสามารถเอ่ยคำใดออกไปได้บ้าง ลุกขึ้นมาต่อปากต่อคำกับซุนซิ่งฮวาอย่างนั้นหรือ เธอคาดเดาว่าเจ้าของร่างนี้คงมีอายุเจ็ดแปดขวบ เพราะรูปร่างดูเหมือนเด็ก ทั้งยังซูบผอมจากการขาดสารอาหาร หากต่อปากต่อคำกับนางจริงๆ ดีไม่ดีอาจถูกทุบตีเอาได้ ดังนั้น… ช่างเถอะ ต้องอดทนเอาไว้ชั่วคราว

โชคดีที่โจ๊กในหม้อเริ่มเดือดแล้ว ซุนซิ่งฮวาจึงไม่สนใจเสวี่ยเจียเยว่อีก จากนั้นก็รีบวิ่งไปเปิดฝาหม้อ แล้วหยิบไม้พายขึ้นมาคนโจ๊กให้เข้ากัน หยิบหม้อขนาดใหญ่ใบหนึ่งออกมาจากตู้ถ้วยชาม แล้วตักโจ๊กทั้งหมดใส่หม้อใบนั้น ก่อนใช้ผ้าเช็ดรอบๆ ปากหม้อ จากนั้นก็หยดน้ำมันไช่จื่อ[2] ลงไปในกระทะสองหยด แล้วนำขึ้นฉ่ายลงไปผัด

เมื่อขึ้นฉ่ายสุกได้ที่แล้ว หมั่นโถวก็ร้อนพอดี ซุนซิ่งฮวานำตะกร้าไม้ไผ่ใบหนึ่งมาใส่หมั่นโถวกับหม้อผัดขึ้นฉ่ายใบเล็ก และวางถ้วยดินเผาเนื้อหยาบกับตะเกียบหลายคู่ลงไปด้วย จากนั้นใช้ผ้าหยาบสีขาวปิดตะกร้าเอาไว้แล้วเรียกเสวี่ยเจียเยว่ “มาถือตะกร้าแล้วไปนากับข้า”

ช่วงเดือนสามถึงเดือนสี่คือฤดูที่ครอบครัวในชนบทกำลังยุ่งกับการทำนา ปลูกแตง ปลูกถั่ว ทำให้ไม่มีเวลาได้พักผ่อน ดังนั้นซุนซิ่งฮวาจึงกลับมาทำอาหารโดยเฉพาะ เมื่อทำเสร็จแล้วก็ต้องนำไปส่งให้สามีที่กำลังดำนาอยู่โดยไม่ต้องมากินที่เรือน ทำเช่นนี้จะประหยัดเวลาไปได้มาก

และแน่นอนว่าในทุ่งนาไม่ได้มีเพียงสามีของนางคนเดียว ยังมีพระเอกในเรื่องนี้ด้วย

เสวี่ยเจียเยว่เดินตามหลังซุนซิ่งฮวาพร้อมกับถือตะกร้าไม้ไผ่ ขณะที่อีกฝ่ายถือตะกร้าใส่หม้อข้าวต้ม มองนางปิดประตูเรือนแล้วใส่กุญแจ จากนั้นทั้งสองคนก็มุ่งหน้าไปที่ทุ่งนา

[1] ต้นผีผา หมายถึง ต้นโควอท หรือต้นปีแป๋

[2] น้ำมันไช่จื่อ คือน้ำมันคาโนลา หรือน้ำมันจากดอกเรปซีด หรือดอกผักกาดก้านขาว