หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.323 – คาดเดาเกี่ยวกับนรก

 

ดาบพิภพลอยล่องกลับมาตกลงข้างกายกับกู่ฉิงซาน

 

ดาบพิภพแต่เดิมคืออาวุธเทวะที่เสียสละให้แก่สวรรค์และโลกตามตำนานยุคโบราณ(คอยทำหน้าที่แบกรับมวลน้ำหนักบนผืนพิภพ) และมันสามารถสื่อสารกับเหล่าเทพวิญญาณได้

 

ช่วงเวลาที่อยู่ในโลกเทวะ กู่ฉิงซานก็เคยได้ก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ และมันก็ช่วยฆ่าสังหารอสูรกายและมารสวรรค์ในช่วงที่เขาต้านทานรับทัณ์สวรรค์อีกด้วย

 

กู่ฉิงซานรับรู้ถึงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของดาบพิภพดี ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจใดๆ ทว่าเหลียวฮังที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งกลับจ้องมองฉากนี้อย่างโง่งม

 

“ดะ .. ดาบ … ดาบพูดได้ นี่มันบ้าสิ้นดี ไม่เห็นจะตรงกับหลักวิทยาศาสตร์เลย … ” เหลียวฮังเอ่ยงึมงำราวกับสูญสิ้นจิตวิญญาณ

 

หากเป็นการฝึกยุทธ หรือเทคนิคฝึกยุทธ เหลียวฮังก็ยังพอจะรับได้ เพราะในโลกใบนี้ก็มีการดำรงอยู่ของพวกมืออาชีพอยู่

 

อย่างไรก็ตาม ดาบที่สามารถพูดได้ แถมยังสามารถฆ่าตัวตนที่มองไม่เห็นนี่มัน … กล่าวได้ว่าเป็นการทำลายโลกทัศน์ของเขาโดยสมบูรณ์

 

เย่เฟย์หยูดูท่าจะร้อนรนจนไม่มีเวลามามัวสนใจเรื่องนี้อีกต่อไป เขาเร่งเอ่ยถาม “ตอนนี้หลิวชิจุนเป็นยังไงบ้าง?”

 

กู่ฉิงซานขับเคลื่อนพลังวิญญาณ จ้องมองตรงไปยังป้ายหลุมศพ

 

อย่างไรก็ตาม เขาพบว่าร่างของหลิวชิจุนนั้นผอมแห้ง บอบบาง และแทบจะมองไม่เห็นอยู่รอมร่อแล้ว

 

“แบบนี้ชักจะไม่ดีแล้ว!”

 

กู่ฉิงซานตะคอกคำหนึ่ง ตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบดิสก์ค่ายกลรวบรวมวิญญาณออกมา

 

ทันใดนั้นพลังวิญญาณก็เอ่อล้นออกจากดิสก์ค่ายกล พร้อมกับตัวมันที่เปล่งแสงสดใสขึ้นอย่างฉับพลัน

 

สายลมอ่อนโยนปรากฏขึ้นในห้อง ตามด้วยหมอกจางๆ

 

รวบรวมวิญญาณ!

 

กู่ฉิงซานหยิบดิสก์ค่ายกลออกมาอีกอัน และจัดวางมันอีกครั้ง

 

สี่เสาต้องห้าม!

 

สี่เสาที่ว่านี้ ประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ

 

นี่มิใช่ธาตุ แต่ทว่าเป็นกฏการทำงานที่แฝงตัวอยู่ของโลก

 

มันเป็นการเลียนแบบการเคลื่อนไหวของดิน น้ำ ลม ไฟ และสร้างโลกขนาดเล็กที่แยกตัวออกจากโลกภายนอกขึ้นมา

 

ค่ายกลรวมรวบวิญญาณเสริมด้วยสี่เสาต้องห้าม ส่งผลให้พลังวิญญาณเริ่มก่อตัวขึ้นในโลกใบเล็ก

 

พลังงานวิญญาณจากสวรรค์และโลกจะช่วยหล่อเลี้ยงทุกสิ่งอย่าง แม้กระทั่งวิญญาณคนตายก็ไม่มีข้อยกเว้น

 

โลกใบเล็กที่แยกตัวจากโลกภายนอก จะช่วยปกป้องไม่ให้เหล่าสมัภเวสีเข้าไปรบกวนได้

 

ทั้งสองค่ายกลผสานทำงานร่วมกัน และเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ร่างอันเลือนลางของหลิวชิจุนก็เริ่มกลับมาแลดูมั่นคงอีกครั้ง

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจโล่งอก

 

แม้ว่าสองดิสก์ค่ายกลนี้จะต้องจ่ายออกด้วยศิลาวิญญาณจำนวนมาก แต่กู่ฉิงซานนั้นมีมรดกของนิกายร้อยบุปผาไว้ในครอบครองอยู่ ฉะนั้นในเรื่องนี้ย่อมไม่เป็นปัญหาใดๆ

 

กล่าวโดยคร่าวๆแล้วด้วยศิลาวิญญาณที่เขามี มันสามารถรับประกันได้ว่าค่ายกลทั้งสองนี้จะยังคงโคจรต่อไปอีกหลายพันปี โดยไม่มีปัญหาใดๆ

 

หลังจากนั้นอีกสักพัก

 

เมื่อได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยพลังงานวิญญาณ ร่างอันเลือนลางของหลิวชิจุนก็ค่อยๆก่อรูปขึ้น

 

เธอก้มลงมองร่างกายตัวเองด้วยความประหลาดใจ และตบลงบนหน้าอกเธอ พร้อมถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

เธอเอ่ยปากขอบคุณกู่ฉิงซานไปหลายคำ

 

และแน่นอน ว่าคำที่เธอพูดออกมา มีเพียงเย่เฟย์หยูเท่านั้นที่ได้ยิน

 

เย่เฟย์หยูพ่นลมหายใจบรรเทาความตึงเครียด แล้วหันไปพูดกับกู่ฉิงซานว่า “เธอฝากมาบอกว่าขอบคุณสำหรับน้ำใจที่ช่วยชีวิต แต่เธอตายไปแล้ว ดังนั้นเลยไม่รู้ว่านี่สมควรจะเรียกว่ามันเป็นการช่วยชีวิตหรือเปล่า แต่ยังไงช่วยก็คือช่วยอยู่ดี เธอบอกว่าขอบคุณจริงๆ”

 

เชาวางมือลงบนไหล่กู่ฉิงซานและกล่าวอย่างจริงจัง “การช่วยเธอก็เหมือนกับช่วยฉัน และฉันต้องขอบคุณนายมากจริงๆ”

 

แม้จะดูเหมือนกับว่ากู่ฉิงซานอยู่ที่นี่ แต่แท้จริงแล้วความคิดของเขาเตลิดไปที่อื่น

 

เขาเอ่ยถามดาบพิภพ “เมื่อครู่นี้มันคืออะไรกัน? มันดูแตกต่างจากมอนสเตอร์ที่ปรากฏตัวในตอนที่ข้าก้าวข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์นะ”

 

“แน่นอนว่ามันย่อมต่างออกไป” ดาบพิภพกล่าว “อสูรกายเมื่อครู่เป็นผู้คุมวิญญาณของนรกเยือกแข็ง”

 

กู่ฉิงซานกล่าว “ผู้คุมวิญญาณ? แล้วในเมื่อมันเป็นตัวแทนแห่งกฏเกณฑ์จากปรภพ เช่นนั้นทำไมมันถึงต้องโจมตีหลิวชิจุนด้วย?”

 

“ผู้คุมวิญญาณ เดิมเป็นการดำรงอยู่ของหนึ่งในผู้ปราบปรามเหล่าวิญญาณร้ายในนรก ข้าก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่ามันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”

 

ดาบพิภพเอ่ยเสริม “แต่ไม่ว่ายังไงมันก็กำลังดูดซับจิตวิญญาณของผีตนนี้อย่างแท้จริง ซึ่งนี่คือสิ่งที่ทางปรภพไม่อนุญาต ดังนั้นข้าจึงสังหารมันอย่างไม่ลังเล”

 

กู่ฉิงซานมิได้เอ่ยถามอะไรอีกต่อไป

 

เขาเงยหน้าขึ้นไปมองวิญญาณของหลิวชิจุน และไตร่ตรองอยู่สักพัก

 

“คุณหลิว ฉันมีวิธีที่จะช่วยให้คุณสามารถควบรวมฝึกฝนจิตวิญญาณได้ แต่คงต้องขอถามก่อนว่าคุณยินดีที่จะเรียนรู้มันไหม” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เย่เฟย์หยูพอได้ฟังก็กำลังจะหันไปถามเธอ แต่กลับพบว่าหลิวชิจุนพยักหน้ารับครั้งแล้วครั้งเล่า

 

– แน่นอนว่าเธอได้ยินบทสนทนาของคนทั้งหลาย

 

หลังจากที่ได้ติดต่อกับเย่เฟย์หยูมานาน เธอก็ตระหนักได้ว่าบุคคลตรงหน้าเธอนั้นแข็งแกร่งเพียงใด

 

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเอาอิฐขาวก้อนใหญ่ขึ้นมา

 

เขาขบคิดเกี่ยวกับมัน ก่อนจะหยิบใบหยกบางๆออกมาชิ้นหนึ่ง

 

กู่ฉิงซานทำการบันทึกวิธีการฝึกฝนสำหรับภูติผีที่อยู่อิฐขาว ใส่ไว้ในใบหยก

 

“นี่คือวิชาฝึกยุทธของคุณ หลังจากที่ทำการศึกษาเรียนรู้ จิตวิญญาณของคุณจะค่อยๆควบรวมกัน และต่อมา เมื่อก้าวไปสู่ขอบเขตที่ลึกซึ้ง คุณก็จะสามารถเป็นเหมือนเดิมดั่งเช่นเดียวกันกับคนปกติ สามารถรับรู้และสัมผัสถึงโลกใบนี้ได้อย่างแท้จริง”

 

“เมื่อเวลาที่คุณเริ่มต้นพูดคุยได้ด้วยตัวเองมาถึง คุณก็จะไม่แตกต่างไปจากคนที่มีชีวิต และเย่เฟย์หยูก็ไม่ต้องใช้เทคนิคเทียนซวนเพื่อรับฟังเสียงของคุณอีกต่อไป”

 

กู่ฉิงซานวางชิ้นหยกบางเบาลงบนป้ายหลุมศพอย่างอ่อนโยน

 

เขาเอื้อมมือออกไปจีบออกด้วยวิชาลับ และทำการกระตุ้นพลังวิญญาณไปยังมืออย่างว่องไว

 

บังเกิดจุดแสงสว่างขึ้นบนปลายนิ้วของเขา

 

เขาขยับปลายนิ้วเล็กน้อย และจุดแสงสว่างก็ลอยล่องไปตกลงบนหน้าผากของหลิวชิจุน

 

จุดแสงสว่างได้หายไป

 

“นั่นมันคืออะไรกัน” เย่เฟย์หยูเอ่ยถามด้วยความตึงเครียด

 

“วางใจเถอะ ฉันแค่ให้วิธีการเริ่มต้นแก่เธอน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ในสายตาของหลิวชิจุน บังเกิดประกายตระหนักรู้เล็กน้อย เธอโค้งหัวโค้งกายไปทางกู่ฉิงซานครั้งแล้วครั้งเล่า

 

เธอได้เรียนรู้วิธีการอ่านใบหยกแล้ว

 

นี่เป็นเทคนิคมนตราที่ง่ายที่สุด ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงใช้มันวางรากฐานให้เธอได้อย่างง่ายดาย

 

“เธอบอกว่าขอบคุณมากๆนะ” เย่เฟย์หยูกล่าว

 

“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่นายช่วยถามเธอให้หน่อยสิ ว่าทำไมจู่ๆ เธอถึงถูกโจมตีโดยผู้คุ้มวิญญาณอย่างกระทันหัน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ในแววตาของหลิวชิจุนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว  เธอเริ่มบอกเล่าเรื่องราวพร้อมแสดงท่าทีต่างๆให้มันดูชัดเจน

 

“พลังแปลกๆกำลังฉุดลากเธอไปยังที่ไหนสักแห่ง และเมื่อเธอต่อต้านมัน เธอก็เริ่มที่จะแตกสลาย” เย่เฟย์หยูเอ่ยทวนซ้ำ

 

“ไปยังที่ไหนสักแห่ง? ช่วยถามเธอได้ไหมว่ามันคือที่ไหน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เย่เฟย์หยูเอ่ยถาม ก่อนจะหันมาตอบให้แก่กู่ฉิงซาน “สาธารณรัฐฟูซี หุบเขาหวงหยุน”

 

ทั้งสองสบตากันวูบหนึ่ง และเห็นถึงความหนักอึ้งในแววตาของอีกฝ่าย

 

นั่นเพราะพวกเขาเพิ่งจะกลับมาจากหุบเขาหวงหยุน และแน่นอนว่าย่อมรู้ว่าที่นั่นคือนรกเยือกแข็ง

 

ฟังจากที่ดาบพิภพได้กล่าว ผู้คุมวิญญาณคือตัวตนที่คอยปราบปรามการดำรงอยู่ของผีร้าย แต่ตอนนี้มันกลับช่วยให้พวก ‘คนตาย’ จากในนรกออกตามล่าจิตวิญญาณ

 

ความหมายอันแสนสำคัญของสิ่งนี้ได้บ่งบอกถึงเรื่องราวที่น่าตกใจ

 

กู่ฉิงซานจู่ๆก็พลันจดจำได้ถึงเรื่องหนึ่ง

 

ในตอนที่หลิวชิจุนเสียชีวิต เธอบอกว่าได้มีพลังอำนาจบางอย่างฉุดลากเธอไป แต่ต่อมาในภายหลังกลับหายไปเสียดื้อๆ

 

นั่นคือเหตุผลที่เธอยังสามารถอยู่ในโลกใบนี้ต่อไปได้

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถามทันที “พลังที่ฉุดลากคุณในครั้งนี้ ใช่เป็นพลังแบบเดียวกันที่ในตอนที่พึ่งเสียชีวิตลงรึเปล่า?”

 

“เกี่ยวกับคำถามนี้ คุณควรจะคิดเกี่ยวกับมันให้ชัดเจนก่อนที่จะตอบผม”

 

หลิวชิจุนเมื่อเห็นถึงท่าทีจริงจังเคร่งขรึมเวลาที่เขาพูด เธอก็เร่งเรียกคืนความทรงจำอย่างถี่ถ้วนก่อนจะตอบออกไป

 

“เธอบอกว่ามันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง” เย่เฟย์หยูกล่าว

 

“คุณสามารถสัมผัสได้ถึงความแตกต่างระหว่างสองพลังที่ฉุดลากนี้ได้ยังไง” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“เธอบอกว่าพลังแรกจะให้ความรู้สึกอบอุ่นและเต็มไปด้วยความเมตตา”

 

“ส่วนพลังที่สอง … ”

 

เย่เฟย์หยูหันมองไปทางหลิวชิจุน

 

หลิวชิจุนขบคิด และขยับปากออกมาเพียงสามคำ

 

“เย็นชา , ชั่วร้าย และทรงพลัง”  เย่เฟย์หยูเอ่ยทวนซ้ำ

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ

 

พลังชนิดแรกที่คอยรับส่งวิญญานได้หายไป และถูกแทนที่ด้วยพลังชนิดที่สองที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย

 

–พลังอำนาจในการฉุดลากจิตวิญญาณมนุษย์แตกต่างออกไปจากเดิม บางที นี่อาจจะเป็นตัวบ่งบอกว่าเกิดปัญหาบางอย่างขึ้นจากทางฝั่งปรภพใช่หรือไม่?

 

นี่เป็นข้อมูลที่กระทั่งมนุษย์ในชีวิตก่อนหน้าก็ยังไม่เคยได้รับรู้

 

ในชีวิตก่อนหน้าช่วงวันสุดท้าย ภัยพิบัติต่างๆพากันถาโถมเข้ามามากมายเกินไป และทุกคนก็อยู่ใกล้กับขอบเหวแห่งการสูญสลาย จึงไม่มีเวลาที่จะสำรวจถึงความจริงของนรกเยือกแข็ง

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจออกมา

 

ถ้าหากมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับทางฝั่งปรภพจริงๆ ถ้าอย่างงั้นแสดงว่านรกเยือกแข็งที่มาถึงนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

 

ตามความรู้ ความเข้าใจของโลกผู้ฝึกยุทธเกี่ยวกับปรภพ กล่าวได้ว่าพวกเขาได้ให้น้ำหนักเกี่ยวกับมันเป็นอย่างมาก ปรภพนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

 

ปัญหาในตอนนี้ดูท่าว่าจะไม่ได้มีเพียงแค่นรกเยือกแข็งเท่านั้นซะแล้ว

 

ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายของโลกมนุษย์ในที่สุดก็ได้มาถึงแล้วอย่างแท้จริง