เล่ม 1 ตอนที่ 13 จู่โจมอย่างหนัก

ราชินีพลิกสวรรค์

ผู้คนต่างฮือฮา 

 

 

คนเกือบทั้งหมดบนถนนใหญ่อันคึกคัก และเส้นตรอกซอกซอยหลายสายของเมืองซูหนาน ล้วนแสดงสีหน้าแบบเดียวกัน 

 

 

ล้วนตกตะลึง 

 

 

พวกเขาได้ยินอะไรเข้า ประสาทหูต้องผิดปกติแล้วแน่ๆ 

 

 

ราวกับจะพิสูจน์ว่าหูของพวกเขาไม่ได้ผิดปกติอย่างไรอย่างนั้น เสียงตีฆ้องรัวกลองนั่นดังสนั่นหวั่นไหวอย่างไม่ขาดสายอยู่ทั่วเมืองซูหนาน 

 

 

“…วันนี้เจียงหลีข้ารับใช้ของตระกูลลู่จะขอถอนหมั้นกับคุณชายเย่ว์หนานซีแห่งตระกูลเย่ว์ ต่อจากนี้ไปทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์ใดเกี่ยวข้องกันอีก จึงขอส่งหนังสือถอนหมั้นนี้ถึงตระกูลเย่ว์ หวังว่าเย่ว์หนานซีแห่งตระกูลเย่ว์จะเคารพด้วยเกียรติและศักดิ์ศรี และไม่มารบเร้าอีกต่อไป!” 

 

 

คำประกาศนี้ ไม่มีถ้อยคำสบประมาทแม้แต่น้อย เป็นเพียงการอธิบายเรื่องราว ทว่า ตระกูลลู่กลับส่งคนมาอย่างอึกทึกครึกโครมจนคนทั้งเมืองทราบกันหมด จะส่งหนังสือถอนหมั้นก็ส่งสิ ถึงขนาดต้องมาแห่ขบวนต่อหน้าผู้คน กลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้เชียวหรือนี่ 

 

 

แน่นอน นี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ 

 

 

สิ่งสำคัญคือ นี่มันเป็นประเด็นร้อนเลยนี่ หลังจากที่ตกตะลึง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังขึ้นตามมาราวกับคลื่นน้ำที่โถมซัดจนทำให้เมืองซูหนานจมลงทั้งเมือง 

 

 

“อะไรนะ นายน้อยเย่ว์มีคู่หมั้นแล้ว และยังเป็นข้าทาสของตระกูลลู่อีก” 

 

 

“ก่อนหน้านี้นายน้อยเย่ว์ยังรักใคร่หวานชื่นกับหญิงสาวสวยคนหนึ่งอยู่เลยมิใช่หรือ” 

 

 

“อย่าบอกนะว่า นายน้อยเย่ว์คนนี้กินอยู่ในถ้วยแต่ตามองในหม้อ ทำให้ทาสหญิงของตระกูลลู่เป็นต้องแค้นเคืองใจ ถึงได้โกรธว่าที่สามีเช่นนี้” 

 

 

“หึๆ ที่น่าสนใจกว่าคือ คู่หมั้นหมายของนายน้อยเย่ว์เป็นเพียงทาสหญิง และเขาเป็นถึงเทียนเจียวในเมืองซูหนานของพวกเรา แต่กลับถูกนางทิ้งเสียเอง”  

 

 

“ฮ่าๆๆๆ” 

 

 

“ไม่เลวๆ ผู้ชายถูกภรรยาที่ยังไม่ได้แต่งงานด้วยขอถอนหมั้นก็น่าอัปยศอดสูพออยู่แล้ว นึกไม่ถึงเลยว่า คู่หมั้นคนนี้ยังเป็นแค่ข้าทาสอีก” 

 

 

“ข่าวนี้มาจากตระกูลลู่ คงมิเป็นเท็จอย่างแน่แท้ ตระกูลเย่ว์นี้ก็เป็นสุนัขรับใช้ดีๆ นี่เอง หวังจะไต่เต้าเทียบเคียงตระกูลลู่ ถึงขนาดกล้าเอาบุตรผู้เป็นหน้าเป็นตาของตระกูลตัวเองไปขอแต่งงานกับทาสของตระกูลลู่เชียว ผลสุดท้าย ก็ถูกนางรังเกียจเสียเอง” 

 

 

“ฮ่าๆๆ หากข้าคือเย่ว์หนานซี ข้าเกรงว่าหลังจากนี้จะไม่มีหน้าไปพบใครได้อีกแล้ว” 

 

 

“เหตุใดจึงมีแต่เพียงเย่ว์หนานซีเล่า หลังจากนี้ คนของตระกูลเย่ว์จะเดินในเมืองซูหนานก็ล้วนไร้ซึ่งสง่าราศีแล้วด้วย” 

 

 

“บันเทิง บันเทิง เป็นเรื่องที่น่าบันเทิงเสียจริง” 

 

 

“ข้ากลับอยากรู้จักเจียงหลีที่กล้าถอนการหมั้นหมายของตระกูลเย่ว์คนนี้เสียหน่อย ทาสหญิงคนหนึ่งได้แต่งงานกับลูกชายคนโตของตระกูลเย่ว์ ก็สามารถหลุดพ้นจากสถานะทาสได้ ทว่าการแต่งงานเช่นนี้ นางกลับถอนหมั้นโดยไม่เสียดายแม้แต่น้อย ช่างใจเด็ดยิ่งนัก” 

 

 

“ใช่ๆๆ ข้านับถือทาสหญิงที่องอาจหาญกล้าคนนี้เสียแล้วสิ” 

 

 

“…” 

 

 

ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานา แต่เสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่น่าแปลกใจนั้น ล้วนกำลังหัวเราะเยาะตระกูลเย่ว์และเย่ว์หนานซี 

 

 

การที่ชื่อของเจียงหลีได้ถูกกล่าวขานขึ้นในเมืองซูหนานเป็นครั้งแรกและเป็นไปในทิศทางที่ค่อนข้างดี กลับกลายเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของนาง  

 

 

“ไปกันเถอะ ตามคนของตระกูลลู่ไปดูฉากอันน่าตื่นเต้นที่จวนของตระกูลเย่ว์กัน” 

 

 

กลุ่มทหารอารักขาของตระกูลลู่ ถือหนังสือถอนหมั้นที่เจียงหลีเขียนบนมือ พร้อมเดินตีฆ้องรัวกลองสนั่นไปทั่วเมืองซูหนานก่อนหนึ่งรอบ ถึงจะมุ่งตรงไปยังจวนของตระกูลเย่ว์ และด้านหลังของพวกเขา ตามติดมาด้วยผู้คนจำนวนมากที่หวังจะชมเหตุการณ์อันตื่นเต้น 

 

 

เดิมทีมีกลุ่มคนแค่เพียงไม่กี่สิบคน แต่เมื่อใกล้จะถึงจวนตระกูลเย่ว์ ก็ได้กลายเป็นกลุ่มใหญ่ที่มีคนนับพัน ช่างเป็นการถอนหมั้นที่ยิ่งใหญ่อลังการจริงๆ 

 

 

คนในตระกูลเย่ว์และเย่ว์ชิงหลิวไม่ทราบเรื่องราวนี้แม้แต่น้อย พอเขาได้ฟังแม่ลูกแซ่เหอบอกเล่าเรื่องที่กลับตาลปัตรจบลง ก็บันดาลโทสะจนตบโต๊ะหักเป็นเสี่ยงในฉาดเดียว 

 

 

“เหลวไหลสิ้นดี! ข้าเห็นแก่ว่านางเป็นลูกของพี่เจียง จึงดูแลอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่นางกลับไปเกาะต้นไม้ที่สูงใหญ่อีกต้น แล้วทำพฤติกรรมชั่วร้ายกับลูกชายข้าเช่นนี้ได้” 

 

 

“ใช่แล้วเจ้าค่ะ นายท่านใหญ่ ยามปกติที่นังเจียงหลีอยู่ในบ้านก็อวดดีจนเคยตัว และไม่เคยมองผู้ใดอยู่ในสายตา พวกเราที่เป็นผู้ตกยากลำบากได้มาพึ่งบารมีของตระกูลเย่ว์ เดิมทีก็ควรจะสำเหนียกและเจียมตัว แต่นังตัวดีนั่น กลับทำเรื่องลักขโมยในตระกูลเย่ว์ ข้าผู้เป็นอาสะใภ้จึงเอาตัวนางไปขาย เพื่อให้นางได้รับบทเรียนเสียบ้าง แล้วผ่านไปสักพักก็จะไถ่ตัวนางคืน ใครจะรู้ว่า นางกลับได้เข้าไปถึงจวนของตระกูลลู่ ครั้นพวกเราไปเยี่ยมนาง เพราะกลัวว่านางต้องประสบกับความขื่นขมเหนื่อยยาก แต่นางกลับเหยียดหยามพวกเราด้วยความจองหองลำพองใจ เฮ้อ ไม่เห็นค่าความตั้งใจดีของพวกเราก็ไม่เป็นไร แต่ยังพูดยุยงให้อารักขาของตระกูลลู่ทำร้ายหนานซีอีก เห็นได้ชัดว่านี่คือคนที่กินบนเรือนขี้รดหลังคาชัดๆ” เหอซื่อพูดใส่สีตีไข่ 

 

 

เจียงอวี๋ก็พูดเสริมด้วยว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ท่านลุงเย่ว์ เจียงหลีคนนั้นยังพูดอีกด้วยว่า จะเขียนหนังสือถอนหมั้นส่งมาที่จวนตระกูลเย่ว์ นี่ไม่ใช่ว่ากำลังจะทำให้ตระกูลเย่ว์ต้องอับอายขายขี้หน้าหรอกหรือเจ้าคะ” 

 

 

“อะไรนะ! นางพูดว่าจะถอนหมั้นกับตระกูลเย่ว์เชียวหรือ หน็อย! งานแต่งครั้งนี้เป็นโมฆะไปตั้งนานแล้ว หนังสือถอนหมั้นนี่ ก็ต้องให้ฝ่ายตระกูลเย่ว์ของเราเป็นคนเขียนต่างหาก” เย่ว์ชิงหลิวโกรธจนใบหน้าแดงซ่าน 

 

 

เหอซื่อกลับแสยะยิ้ม “ข้าว่า นางพูดไปอย่างนั้นเองแหละเจ้าค่ะ การได้แต่งงานกับตระกูลเย่ว์ดีๆ เช่นนี้ นางจะยอมทิ้งอย่างไม่เสียดายได้อย่างไร ข้าว่าต้องเป็นเพราะนิสัยอวดดีที่ชอบทำทีวางท่าแบบคุณหนูนั่นแหละเจ้าค่ะ” 

 

 

“เป็นหญิงสาวต้องโทษ ข้าทาสชั้นต่ำ! ริอาจเป็นคุณหนูอะไรได้อีก อย่าหวังเลยว่านางจะได้แต่งงานกับลูกชายข้า! ลูกสะใภ้เช่นนี้ ตระกูลเย่ว์รับไว้ไม่ลง แล้วก็ไม่เสียดายด้วย นางหาได้คู่ควรไม่! หากนางเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเย่ว์ มีแต่จะทำให้ตระกูลเย่ว์ของข้ากลายเป็นที่หัวเราะเยาะในเมืองซูหนานเอาได้” นางหลี่ซื่อซึ่งเป็นมารดาของเย่ว์หนานซีเดินฮึดฮัดออกมาด้วยความโกรธ นัยน์ตาสองดวงมีรอยแดงฝาด เห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะหยุดร้องไห้มา 

 

 

“ท่านป้า ท่านอย่าโกรธจนเสียสุขภาพเลยนะเจ้าคะ” เจียงอวี๋พูดเอาใจ 

 

 

แต่นางหลี่ซื่อเพียงกวาดตามองนางอย่างดูแคลน แล้วมองไปยังสามีของตน “ท่านพี่ หากหนานซีฟื้นขึ้นเมื่อไรก็ให้เขาส่งหนังสือถอนหมั้นไปที่จวนตระกูลลู่ ส่วนพวกเราก็ต้องเจรจากับตระกูลลู่ด้วยเจ้าค่ะ” 

 

 

เจรจากับตระกูลลู่หรือ 

 

 

เย่ว์ชิงหลิวขมวดคิ้ว แสดงความลังเลเล็กน้อย 

 

 

นางหลี่ซื่อเห็นท่าทีของเขา ก็รีบพูดว่า “จริงอยู่ที่อำนาจของตระกูลลู่ยิ่งใหญ่ ทว่าลูกชายคนโตของพวกเราตระกูลเย่ว์ก็ไม่ควรถูกอารักขาคนหนึ่งรังแกได้เช่นนี้ ถ้าหากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป ตระกูลเย่ว์ของเราจะมีหน้ามีตาอะไรได้อีกในเมืองซูหนาน แต่ข้ามิได้สนตรงนั้น ลูกของข้าบาดเจ็บขนาดนี้ ข้าต้องการให้ตระกูลลู่ส่งตัวอารักขาที่ทำร้ายเขาออกมา พร้อมกับเจียงหลี นางชั้นต่ำนั่น” 

 

 

ใบหน้านางที่ดุร้ายของนาง ทำให้เจียงอวี๋หวาดผวาจนต้องถอยหลังออกไป และไม่กล้าเข้าใกล้อีก 

 

 

นิสัยของนายหญิงตระกูลเย่ว์คนนี้ นางไม่กล้าที่จะประจบสอพลอเลย 

 

 

“เรื่องนี้ ค่อยว่ากัน” อย่างไรก็ตาม เย่ว์ชิงหลิวยังคงรู้สึกหวาดหวั่นต่อตระกูลลู่ จึงไม่ได้ตอบรับนาง 

 

 

นางหลี่ซื่อตวาดอย่างโมโห “เช่นนั้นท่านจะเอาแต่ดูลูกชายถูกรังแกหรือ” 

 

 

“นายท่าน ฮูหยิน นายน้อยฟื้นแล้วเจ้าค่ะ” เวลานี้ มีสาวใช้ออกมาจากห้องด้านในรายงานทั้งสองด้วยความยินดี 

 

 

เย่ว์หนานซีฟื้นแล้ว?! 

 

 

ข่าวนี้ทำให้การสนทนาของคนที่อยู่นอกห้องหยุดลง 

 

 

นางหลี่ซื่อได้ยินว่าลูกชายฟื้นแล้ว จึงรีบเดินเข้าไปห้องด้านใน ในใจเจียงอวี๋ก็คิดอยากจะตามเข้าไปด้วย แต่แม่ของนางได้ส่งสายตาเป็นสัญญาณลับๆ เตือนให้ยั้งก้าวเดินเอาไว้ 

 

 

เย่ว์ชิงหลิวเดินออกประตูข้างนอกไป เพื่อจะรายงานกับคนในตระกูลที่รอฟังข่าวอยู่ ว่า ‘ปลอดภัย’ เพียงแต่ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยคำว่า ‘ปลอดภัย’ นั้นออกไป ก็ได้ยินเสียงแหลมที่ดังมา 

 

 

“นายท่าน ข้าน้อยได้รับบัญชาให้มายังที่แห่งนี้ เพื่อนำหนังสือถอนหมั้นที่เจียงหลีผู้เป็นทาสของตระกูลลู่เขียนให้แก่เย่ว์หนานซีแห่งตระกูลเย่ว์ เหตุใดจึงยังไม่รีบออกมาพบอีก นายน้อยของตระกูลข้าได้กล่าวไว้ว่า หลังจากนี้จะไม่อนุญาตให้นายน้อยตระกูลเย่ว์ไปรังควานทาสหญิงของท่านอีกต่อไป หากบังอาจฝ่าฝืนอีก จะฆ่าทิ้งไร้ความปราณี!” 

 

 

“ฆ่าทิ้งอย่างไร้ปราณี!” 

 

 

“ฆ่าทิ้งอย่างไร้ปราณี!” 

 

 

เสียงเหล่านี้ที่วนเวียนอยู่ในอากาศและปกคลุมทั้งจวนของตระกูลเย่ว์ 

 

 

เมื่อคนข้างนอกที่ตามมาดูเหตุการณ์ได้ยินดังนั้นก็ต่างงงงวย ได้ยินว่าตระกูลลู่ปกป้องลูกน้องของตัวเองก็จริง แต่คิดไม่ถึงว่านายน้อยตระกูลลู่ถึงขนาดขู่ตระกูลเย่ว์ที่อยู่ในเมืองซูหนานมายาวนานเกือบร้อยปี เพียงเพื่อทาสหญิงคนเดียว 

 

 

เย่ว์ชิงหลิวก็งงงวยเช่นกัน และที่มึนงงไปพร้อมๆ กับเขาก็คือคนในตระกูลเย่ว์ที่เดิมทียืนรอคอยฟังข่าวของเย่ว์หนานซีอยู่ภายในเรือน 

 

 

ด้านในห้อง เมื่อเย่ว์หนานซีที่เพิ่งจะฟื้นขึ้นได้ยินคำพูดนี้ ก็โกรธจนใจเดือดเลือดพล่าน แล้วพ่นลมออกมาอย่างแรงด้วยโทสะ ครานี้เขากระอักเลือดออกมาไม่หยุด และหมดสติไปอีกครั้ง