ตอนที่ 69-2 แสดงเป็นนางจิ้งจอก

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

เสียงฆ้องกลองดัง ละครดีๆ เปิดฉากขึ้น

 

 

อวิ๋นหว่านถงซึ่งแต่งตัวเป็นปีศาจจิ้งจอกต้องออกในฉากที่สาม และเนื่องจากปีศาจจิ้งจอกเป็นตัวร้าย ฉากเปิดตัวจึงต้องให้ผู้ชมเห็นว่าน่าเกลียด ใบหน้าอวิ๋นหว่านถงจึงถูกแต่งแต้มด้วยสีสันมากมาย ศีรษะมีหูแหลมๆ ประหลาดๆ ประดับไว้ทั้งสองข้าง ร่างกายสวมชุดหนังสัตว์ ดูแล้วก็อดขำไม่ได้

 

 

นางถูกคนหลังม่านผลักออกไป จึงตกใจหน้าซีด แต่ไม่กล้าส่งเสียงร้อง กลัวแต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ต้องทำท่าหลังค่อม กางกรงเล็บออก ให้เข้ากันกับชุด แต่ดูๆ ไปก็สมบทบาทดี เก้ๆ กังๆ คล้ายสัตว์ป่าที่ยังกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ไม่สมบูรณ์แบบ

 

 

กลุ่มคนที่ดูอยู่ชั้นบน บ้างก็หัวเราะ บ้างอยากร้องไห้แต่ร้องไม่ได้

 

 

“ว่าไม่ได้เชียว ถงเอ๋อร์แสดงได้เหมือนปีศาจจิ้งจอกจริงๆ ความสามารถเฉพาะตัวล้วนๆ” หวงน้าสี่ดูละครพลาง แทะเมล็ดทานตะวันพลาง นางปากจัดอยู่แล้ว ขนาดไป๋เสวี่ยฮุ่ยยังไม่ไว้หน้า แล้วลูกสาวอนุฟางจะเหลือหรือ

 

 

ฉากสุดท้าย ปีศาจจิ้งจอกถูกนางเอกเชือดคอด้วยดาบ ม้วยมรณาในดาบเดียว!

 

 

อวิ๋นหว่านถงรีบล้มตัวลงนอน ก่อนถูกนางเอกใช้เท้าเหยียบจนขยับตัวไม่ได้

 

 

ผู้ชมที่อยู่ด้านล่างปรบมือเสียงดังกึกก้อง เพราะตื่นเต้นสะใจ ต่างโห่ร้องตะโกน

 

 

“ดี! ดี! เชือดได้ดี! สมน้ำหน้า ใครใช้ให้เจ้าเป็นปีศาจจิ้งจอก! ยั่วยวนผัวเขาก่อนดีนัก! ยังทำร้ายเมียหลวงอีก! นางจิ้งจอกในใต้หล้าทุกตัวควรมีจุดจบเยี่ยงนี้! อย่าหาว่าคนเขาไม่เอาคืน ยังไม่ถึงเวลาต่างหาก!”

 

 

เดิมทีไป๋เสวี่ยฮุ่ยนั่งดูอยู่อย่างสนุกสนาน แต่พอได้ยินคำพูดเหล่านี้ ก็หน้าเสีย เหงื่อตก รีบเบือนหน้าหนี

 

 

หวงน้าสี่เหลือบไปเห็นเข้า ก็แค่นหัวเราะออกมาสองที

 

 

ด้านรัชทายาท ก็รู้สึกสะใจเช่นกัน หันมาหัวเราะ “นี่ เรื่องนี้สะใจดีนะ ตอนนี้เราสบายใจขึ้นมาก ไม่โกรธแล้วล่ะ ฮาๆ!”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะ “แต่ข้าว่า บทยังเขียนไม่เสร็จ ยังสะใจไม่มากพอ”

 

 

“เอ๋?” รัชทายาทยิ้มค้าง

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นกะพริบตา “นางจิ้งจอกควรถูกเชือดอยู่แล้ว แต่ผู้ชายที่นอกใจเมียนั่นล่ะ ไม่ถูกตบสักฉาด ถ้าเขารักมั่นจริง จะถูกนางจิ้งจอกยั่วยวนได้หรือ สุดท้าย เขาก็แค่รับเมียกลับมาใหม่ โดยไม่เสียหายอะไร เสียดาย เสียดาย!”

 

 

รัชทายาทเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง พลันเอ่ย

 

 

“หรือว่า เราจะลองเปลี่ยนตอนจบดู เผื่อผู้ชมจะสะใจยิ่งกว่า”

 

 

“หา?” อวิ๋นหว่านชิ่นอึ้ง ไม่เข้าใจ หมายความว่าอะไร

 

 

รัชทายาทกะพริบตาปริบๆ “ละครเรื่องนี้ เราเป็นคนเขียนบทเอง”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นอ้าปากค้าง “…..” มิน่าเล่า นิยายที่โด่งดังขนาดนี้ถึงได้หาตัวผู้แต่งไม่เจอ! ที่แท้ก็คือรัชทายาทที่อยู่ลึกเข้าไปในพระราชวังนั่นเอง!

 

 

ใช่แล้ว…เมื่อครู่รัชทายาทเหมือนเอ่ยปากชมว่าคนเขียนบทเขียนได้สนุก คนแต่งก็แต่งเก่ง…อวิ๋นหว่านชิ่นเหลือบมองรัชทายาท หน้าหนาใช่ย่อย

 

 

รัชทายาทไม่พูดมากอีก เริ่มเข้าสู่ภวังค์ความคิด ว่าจะให้เรื่องจบใหม่แบบไหนดี

 

 

ขณะอวิ๋นหว่านชิ่นคิดหันไปซุบซิบกับเมี่ยวเอ๋อร์ ก็พบว่าเมี่ยวเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกาย คล้ายไม่ได้ยินเรื่องที่ตนคุยกับรัชทายาทเมื่อครู่

 

 

กับอวิ๋นหว่านถงที่คิดไม่ซื่อ การถูกลงโทษเช่นนี้นับว่าสมควรแล้ว บวกกับก่อนหน้านี้ที่นางเห็นแก่ตัว เอาตัวรอดด้วยการผลักชายขี้เมาใส่อวิ๋นหว่านชิ่น ซึ่งปกติ ถ้าเมี่ยวเอ๋อร์เห็นเรื่องสนุกๆ เช่นนี้ ก็ต้องหัวเราะงอหายแต่แรกแล้ว ทว่าตอนนี้ กลับนั่งนิ่งดูละคร ไม่พูดไม่จา

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่า ขณะเมี่ยวเอ๋อร์ดูละครเรื่อง สังหารปีศาจจิ้งจอกนั้น น่าจะนึกถึงมารดาตนเอง จึงอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปจับหลังมือเมี่ยวเอ๋อร์

 

 

ผิดคาด เมี่ยวเอ๋อร์มีอารมณ์ร่วมและสะเทือนใจมากกว่าที่นางคิด

 

 

หลังมือเมี่ยวเอ๋อร์เย็นเฉียบ พอนางหันมอง ก็เห็นเมี่ยวเอ๋อร์หลั่งน้ำตา

 

 

ดูหยาบกระด้างตรงไปตรงมาเช่นนี้ แต่จิตใจกลับละเอียดอ่อนกว่าใคร ผู้ใดยืนยันได้บ้างว่า พอเมี่ยวเอ๋อร์รู้ชาติกำเนิดที่แท้จริงของตน จะไม่เอาผ้าห่มคลุมโปงแล้วร้องไห้

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าใจความรู้สึกของเมี่ยวเอ๋อร์ดี จึงคล้องแขนนางเบาๆ คิดพานางออกจากห้อง แล้วรอให้ละครเล่นจนถึงครึ่งฉากสุดท้ายก่อน ค่อยเข้ามาใหม่

 

 

ห้องข้างๆ เป็นห้องเตรียมเครื่องดื่มเล็กๆ เด็กรับใช้สวมชุดสีน้ำเงินที่คอยรับใช้แขกชั้นบน พอเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นเดินมาก็ทักทาย ก่อนเดินเฉียดไหล่นางออกไป

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นห้องเตรียมเครื่องดื่มเงียบดี จึงเดินเข้าไปกับเมี่ยวเอ๋อร์

 

 

พอได้พักสักครู่ เมี่ยวเอ๋อร์ค่อยรู้สึกดีขึ้น จริงๆ แล้วก็แค่ภาพที่เห็นสะกิดบาดแผลในใจ ตอนนี้หายเป็นปกติแล้ว ตนยังมีคุณหนูใหญ่ที่อบอุ่นและเอาใจใส่อยู่ทั้งคน ยังจะมีอะไรให้ต้องเศร้าเสียใจอีก

 

 

คิดไปคิดมา ก็ยิ้มออกจนได้ จึงจับมือคุณหนูใหญ่พลางว่า “บ่าวไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่ เราออกไปกันเถอะ…”

 

 

แต่พูดยังไม่ทันขาดคำ จมูกของอวิ๋นหว่านชิ่นก็ได้กลิ่นอะไรตุๆ จึงพยายามดม

 

 

“เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าได้กลิ่นอะไรไหม”

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์ดมตาม ไม่เห็นได้กลิ่นอะไร

 

 

กลิ่นนี้ บอกไม่ถูกว่าเป็นอะไร ไม่หอม แต่ก็ไม่เหม็น…เหมือนกลิ่นจุดประทัดฉลองวันตรุษจีน แต่ก็มี

 

 

อีกนิดที่เหมือนกลิ่นในวันไหว้บ๊ะจ่าง ใช่แล้ว วันไหว้บ๊ะจ่างต้องจิบเหล้าสงหวง[1] แล้วนำเหล้าสงหวงไปพรมตามลานบ้าน และห้องต่างๆ เพื่อป้องกันงู หนอน หนู มด แมลง…กลิ่นเหล้าสงหวงนี่เอง

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเดาในใจ แต่ยังไม่กล้าฟันธง จึงพาเมี่ยวเอ๋อร์ไปยังจุดที่ตนได้กลิ่นแรงสุด

 

 

“เจ้าลองดมดูอีกครั้งสิ”

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์ตั้งใจสูดดม จึงได้กลิ่นแปลกๆ เล็กน้อย คุณหนูใหญ่นี่จมูกดีมากๆ ถ้าไม่บอก นางก็ไม่ได้กลิ่นอะไรเลยจริงๆ ดมแล้วก็นิ่ง “อี๋ กลิ่นนี้มัน คล้ายกลิ่น…”

 

 

“อะไร” อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องมองนาง

 

 

“คล้ายกลิ่นดินประสิวอยู่บ้าง!” เมี่ยวเอ๋อร์ก็รู้สึกทะแม่งๆ

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรีบถาม “ดินประสิว? ใช้ทำอะไร”

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์อธิบาย “คุณหนูใหญ่ไม่ค่อยได้อยู่หน้าเตาไฟจึงไม่รู้ว่า ดินประสิวสามารถใช้แทนไม้ขีดไฟ ในการจุดไฟก่อฟืนหุงข้าว เมื่อก่อนตอนบ่าวอยู่บ้านนอกน่ะเคยใช้ แล้วก็ เด็กบ้านนอกยากจน ตอนตรุษจีนอยากจุดพลุ แต่ไม่มีเงินซื้อ ก็ชอบนำดินประสิวยัดเข้าไปในกระบอกไม้ไผ่ แล้วจุดไฟ กระบอกไม้ไผ่ก็จะพุ่งขึ้นฟ้า ใช้เล่นแทนพลุได้”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นมือสั่น

 

 

เดี๋ยว เหล้าสงหวง ดินประสิว พลุไม้ไผ่ ของเหล่านี้ ถ้านำมารวมกัน…ก็ทำดินระเบิดได้นี่!

 

 

ทำไม…ทำไมในโรงละครถึงมีกลิ่นเช่นนี้ล่ะ!

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์ไม่ได้กลิ่น แต่นางกลับได้กลิ่นอย่างชัดเจน แรงมากเสียด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว

 

 

โดยเฉพาะที่นี่ กลิ่นกระจายออกจากที่นี่ คล้ายต้นตอของกลิ่นอยู่ที่นี่! รอบห้องเป็นผนังสี่ด้าน ด้านข้างวางถังต้มน้ำร้อนไว้ พื้นปูด้วยหินปูพื้น

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นนั่งยองๆ ลงเคาะพื้น แล้วจับผนัง

 

 

“คุณหนูใหญ่ มีอะไรหรือ…” เมี่ยวเอ๋อร์รู้ว่าเกิดปัญหาบางอย่าง จึงนั่งยองๆ ตาม

 

 

สมองอวิ๋นหว่านชิ่นวาบ เด็กรับใช้ชุดน้ำเงินที่เดินเฉียดไหล่นางเมื่อครู่ ร่างคล้ายมีกลิ่นเหมือนกลิ่นในห้องเตรียมเครื่องดื่มนี่ เพียงเบาบางกว่า นางจึงมิได้เอะใจ

 

 

รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา แต่ยังไม่อยากจะเชื่อ อาจไม่เคยพบเจอเรื่องเสี่ยงแบบนี้มาก่อน อีกอย่างเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงการคาดเดา

 

 

แต่ไม่ว่าอย่างไร อวิ๋นหว่านชิ่นยังคงต้องบอกเรื่องที่คาดเดาในใจให้เมี่ยวเอ๋อร์ฟังว่า อาจมีคนวางระเบิดโรงละคร

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์หน้าซีด สะดุ้งโหยง “เป็นไปได้อย่างไร…”

 

 

นางกำชับเมี่ยวเอ๋อร์ “เจ้ากลับไปที่ห้อง บอกญาติผู้พี่ข้าก่อน แล้วข้าจะรีบตามไป”

 

 

ว่าแล้วก็หันกาย เคลื่อนแผ่นหลัง อวิ๋นหว่านชิ่นก้าวออกจากห้องไปแล้ว

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์ตั้งสติ แล้วรีบวิ่งกลับห้อง  

 

 

 

 

——

 

 

[1] เหล้าสงหวง เหล้าโบราณชนิดหนึ่ง มีกำมะถัน สารหนู และเหล้าขาว เป็นส่วนผสม ไม่นิยมดื่ม ใช้ฆ่าเชื้อโรคและป้องกันสัตว์มีพิษต่างๆ