ตอนที่ 13 เรื่องยาในภายหลัง

แม่ครัวยอดเซียน

ตอนที่ 13 เรื่องยาในภายหลัง Ink Stone_Romance

จากการบรรยายของท่านอาจารย์ และการเอ่ยเสริมบางประโยคจากศิษย์พี่ หลิวหลีก็สรุปใจความได้ว่า อยู่ในสำนักต้องใช้คะแนนสะสม เมื่อออกจากสำนักจะใช้หินวิญญาณ ซึ่งสำหรับในสำนักนั้นคะแนนสะสมมีค่าเท่ากับหินวิญญาณ ซึ่งแน่นอนว่าจะใช้หินวิญญาณซื้อคะแนนสะสมก็ย่อมได้ ศิษย์พี่เทียนเย่าเป็นคนใจกว้างยิ่งนัก เมื่อท่านอาจารย์แจกรางวัลเสร็จ ศิษย์พี่ก็พลันโบกมือมอบหินวิญญาณระดับกลางให้นางอีกร้อยชิ้น หลิวหลีรับหินวิญญาณมาจากศิษย์พี่ด้วยความปลื้มปิติ

 จากนั้นจึงเล่าวิธีการปรุงยาของตนเอง ตั้งแต่การจัดแจงพืชศักดิ์สิทธิ์ ไปจนถึงการควบคุมไฟในขณะที่ปรุงและวิธีการเติมหญ้าเรืองแสงในขั้นตอนสุดท้าย จนออกมากลายเป็นตัวยาได้อย่างไร

เสวียนหั่วและเทียนเย่าอดจะรู้สึกไม่ได้ว่าศิษย์น้องเล็กช่างเก่งกล้าสามารถเสียจริง หากหลิวหลีได้ยินเสียงในใจพวกเขา คงจะบอกว่า นี่คือนี่ความดันทุรังของนักกิน

เมื่ออ่านรายละเอียดที่บันทึกลงในแผ่นหยก เทียนเย่าก็ต้องยอมรับว่าหลิวหลีเป็นผู้มีพรสวรรค์ จัดการกับพืชศักดิ์สิทธิ์ได้ดีกว่าผู้เชี่ยวชาญมากนัก นับว่าอาจารย์ลุงช่างมีสายตาแหลมคม

“ท่านอาจารย์ ศิษย์ขอกลับก่อนได้หรือไม่” หลิวหลีมองเสวียนหั่วตาปริบๆ นางถือเงินจำนวนมหาศาลเช่นนี้ ไม่รู้เลยว่าควรทำตัวอย่างไร

เสวียนหั่วรู้สึกว่าผลการทดสอบของนางช่างเหนือความคาดหมาย นังหนูทำสำเร็จชนิดที่อาจเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ เขาโบกมือพาศิษย์ตัวน้อยจากไปอย่างเบิกบาน เทียนเย่ามองแผ่นหยกในมือ และมองอาจารย์ลุงที่เดินจากอย่างรวดเร็วจนไม่เห็นฝุ่นอีกครั้ง พิโธ่ ชีวิตของเขาช่างเหนื่อยล้า สั่งให้ศิษย์ตนส่งแผ่นหยกไปเผยแพร่ ภายนอกสำนักให้การตอบรับกันเป็นอย่างดี ทว่ายังมีบางคนไม่พอใจ ขว้างปาสิ่งของ แต่ไม่ได้มีใครพะเน้าพะนอนางเท่านั้นเอง

หลิงจูมองเศษแก้วที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น ทรุดนั่งลงบนเตียง ใบหน้าคร่ำเคร่ง คนสารเลวลูกพ่อค้านั่นประสบความสำเร็จและมีสถานะถึงเพียงนี้เชียว ที่น่าโกรธก็คือ นางถือเป็นคนแรกที่ทดลองยาตัวนั้นทั้งยังเอ่ยคำชมอีกด้วย ใช่แล้วเพราะวันนั้นนางไปฝึกวิชาจึงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย บัดนี้นางไม่ได้เป็นคุณหนูผู้อรชรอ้อนแอ้นอีกแล้ว นางบำเพ็ญเพียรจนมีพลังอันแกร่งกล้าช้าๆ แต่ความหยิ่งผยองถือตัวนั้นยังคงอยู่บัดนี้พลังบำเพ็ญเพียรของนางอยู่ที่ขั้นที่ 3 แล้ว นับว่าเป็นแถวหน้าในบรรดาศิษย์รุ่นเดียวกัน แต่นังเด็กลูกพ่อค้านั่นบำเพ็ญเพียรจนไปถึงขั้นที่ 8  ศิษย์พี่ของนางยังบำเพ็ญเพียรได้ไม่ถึงขั้นที่ 5 ด้วยซ้ำ หรือว่านังคนชั่วจะมีสติปัญญาฝืนชะตาฟ้าจริงๆ เมื่อหวนนึกถึงรสชาติยาวันนั้น รสชาติดีจริงๆ ไม่มีรสขมเลยแม้แต่น้อย แต่พอนึกถึงคนปรุงยา นางก็พลันรังเกียจเดียดฉันท์ หลิวหลียังไม่รู้ตัวว่ามีคนเกลียดชังนางขนาดนี้ และไม่รู้ว่าตนได้กลายเป็นปีศาจในใจของหลิงจูไปแล้ว

ทั้งอาจารย์และศิษย์กลับถึงหอปรุงยา หลิวหลีน้อมรับการตรวจของอาจารย์อย่างว่าง่าย โธ่ ท่านอาจารย์จะรอข้านำเงินไปเก็บก่อนแล้วค่อยคุยกันไม่ได้หรือ

“ศิษย์ข้า พรสวรรค์ของเจ้าเกินความคาดหมายของข้ามาก รอพลังเจ้าอยู่ในช่วงพื้นฐานแล้วข้าจะทำเรื่องขอแบ่งเพลิงอัคคีม่วงให้เจ้า” คำพูดของเสวี่ยนหั่วไม่ต่างอะไรจากเสียงฟ้าฟาด หลิวหลีตกตะลึง  ท่านอาจารย์จะเร่งรัดให้นางบรรลุช่วงพื้นฐานหรือ  ลูกอัคคีแตกต่างจากต้นอัคคี โดยจะอบอุ่นกว่า แต่ในส่วนของความอบอุ่นนี้เมื่อเปรียบกับต้นอัคคีแล้ว ก็ยังสู้กันไม่ได้ หลายวันมานี้หลิวหลีโลดแล่นไปจุดที่มีเพลิงอัคคีล้วนอยู่ในสายตาเสวียนหั่วทั้งสิ้น ยิ่งเขารู้ว่าหลิวหลีนำอัคคีเหล่านี้มาฝึกชีพจรภายในร่างกาย ชีพจรส่วนใหญ่ที่สำคัญล้วนแต่ถูกนางใช้เพลิงไฟทะลวงมาแล้วทั้งสิ้น เพลิงอัคคีม่วงถือเป็นถึงต้นกำเนิดหลักของเส้นลมปราณอัคคีของนาง

“เพลิงอัคคีม่วง ได้หรือเจ้าคะท่านอาจารย์” หลิวหลีประหลาดใจอย่างยิ่ง จะให้จัดการเพลิงอัคคีที่ถูกควบคุมเช่นนี้ยังพอเป็นไปได้

“อืม บอกตรงๆ ข้าเองก็ใช้ลูกไฟของเพลิงอัคคีม่วงเช่นเดียวกัน” เสวี่ยนหั่วไม่ได้พูดผิด แม้ว่าในการรวบรวมปราณอมตะจะมีอัคคีที่แท้จริงอยู่ แต่ก็ยังต่างไปจากเพลิงอัคคีที่อยู่ในธรรมชาติจริง

“ท่านอาจารย์เจ้าคะ ศิษย์จะตั้งใจฝึกฝนแน่นอนเจ้าค่ะ” หลิวหลีเอ่ยพลางชูกำปั้นน้อยๆ คงต้องสู้เพื่อเพลิงอัคคีสักตั้ง

“ดีมาก เพียงแต่ว่า ข้าเองก็มีเงื่อนไข”

“ท่านอาจารย์เชิญกล่าวมาได้เลย” เหตุใดจึงเกิดความรู้สึกไม่ค่อยดีนัก

“เงื่อนไขของข้าคือ ยามที่เจ้าฝึกฝนช่วงพื้นฐานจนมั่นคงแล้วจะต้องปรุงยาระดับ 1 คุณภาพชั้นยอดให้สำเร็จ”

เงื่อนไขนี้ค่อนข้างยากทีเดียว ความยากลำบากในการปรุงยาชั้นยอดพอจะให้มองข้ามไปได้ แต่ไม่รู้เหตุใดหลิวหลีถึงได้เชื่อมั่นนักว่าตนเองจะต้องทำสำเร็จอย่างแน่นอน

“ท่านอาจารย์โปรดวางใจ ศิษย์จะต้องทำได้อย่างแน่นอน” หลิวหลีใช้คำว่าแน่นอนเพื่อแสดงให้เห็นความแน่วแน่ตั้งใจ

“ดีมาก สมแล้วเป็นศิษย์ข้าเสวียนหั่ว” เสวียนหั่วพอใจยิ่งนัก ซึ่งเขาก็มีความเห็นแก่ตัวอยู่บ้างเล็กน้อย เทียนเย่าผู้เป็นศิษย์ของศิษย์พี่เขาเป็นถึงผู้ถูกเลือก ยาคุณภาพชั้นยอดที่ปรุงหลังจากบรรลุช่วงพื้นฐานจนแข็งแกร่งแล้ว เขายังจำได้ว่าท่าทีลำพองในตอนนั้นของศิษย์พี่ตน  เขาต้องการให้ศิษย์เขาโดดเด่นยิ่งกว่า!

“ท่านอาจารย์” หลิวหลีขวยเขิน บิดชายเสื้อตนไปมา ท่าทางราวสาวน้อยวัยละอ่อน เสวียนหั่วมองแล้วก็หัวเราะเสียงดัง

“เอาล่ะ ศิษย์ข้า หอคลังโอสถมีเทียบยาระดับ 1 อยู่ไม่น้อย เจ้าเข้าไปเรียนรู้ได้ ข้าจะเข้าฌานเสียหน่อย รอจนเจ้าทะลวงช่วงพื้นฐานแล้ว จงบีบจี้หยกที่ข้ามอบไว้ให้แหลก” เมื่อกล่าวจบเสวียนหั่วก็จากไป

หลิวหลีกลับห้องตน ว่าไปแล้ว หอคลังโอสถอยู่ที่ใดกัน เมื่อส่งพิราบกระดาษไปถามจื่ออี หลิวหลีถึงได้รู้ว่าเป็นหอที่ใช้แลกเปลี่ยนโอสถและสร้างอาวุธ อีกทั้งการแลกเปลี่ยนเทียบยาจะต้องใช้คะแนนสะสม! นางกำป้ายเงินมูลค่าแสนแต้มของตนเอง ในภายหน้าคงจะมีมากกว่านี้ หลิวหลีรู้สึกได้ว่าอาจารย์ตนเองน่าจะมีแผนการอะไรแน่

ไปขอร้องจื่ออี ตอนนี้ต่อให้เรียกเขาเป็นศิษย์พี่ คาดว่าเขาคงไม่รับปาก นางไปแลกตำรับยามา 10 สูตร ใช้คะแนนสะสมไปร้อยแต้ม นางจงใจดูเทียบยาระดับ 2 หรือกระทั่ง 3 แต่ราคาต่างกันเป็นสิบเท่า พอมองดูแล้วมีคะแนนสะสมเรือนแสนก็คงไม่พอ

เมื่อซื้อเสร็จ หลิวหลีก็กลับห้องตนเองแล้วเอ๋าเลี่ยพลันปรากฎกายขึ้นทันที

“นังหนู นานมากแล้วนะที่เจ้าไม่ได้ทำอาหารเลิศรสให้ข้ากิน” น้ำเสียงเขาเจือด้วยความโกรธเคือง ช่วงก่อนหน้านี้นังหนูนี่เหมือนคนเสียสติไปแล้ว ทว่ายังถือว่าประสบผลสำเร็จ นางถึงขั้นคิดค้นตัวยาที่มีรสชาติขึ้นมาได้ ประกายในแววตาเอ๋าเลี่ยฉายแวววิบวับ ถึงแม้เขาจะไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาเองก็รู้สึกผูกพันกับคู่พันธสัญญาผู้นี้ขึ้นมาไม่น้อย

“รู้แล้วๆ จะทำอาหารอร่อยอย่างอื่นให้ท่านอีก” ในเมื่อมีเงินทองในมือมากพอ นางจึงทำข้อตกลงกับห้องเครื่องให้ส่งวัตถุดิบมาทุกสิบวัน รวมไปถึงบรรดาข้าวสาร บะหมี่ พืชผัก และเนื้อต่างๆด้วย

หลิวหลีจัดการวัตถุดิบอย่างเป็นระเบียบ เมื่อเจอหม้ออบยาก็เปลี่ยนขนาดหม้อยาให้ใหญ่ขึ้น ขัดคราบน้ำมันตรงก้นหม้อให้สะอาด สับกระดูกอสูรหมูรองไว้ที่ก้นหม้อ หั่นมันฝรั่งใส่ลงไปหลายลูก ใส่รากบัวไปอีกชั้นหนึ่ง เพิ่มหอมหัวใหญ่ ปลาเงินลง และผักกาดขาวลงไป ใส่น้ำส้มสายชูช้อนใหญ่ปรุงรสชาติเพิ่ม

“อาเลี่ย ใช้ไฟแรง” หลิวหลีกำชับเสียงเรียบ นี่เป็นวิธีทำอาหารที่นางเคยอ่านเจอในนิยายและไป๋ตู้เมื่อชาติก่อนแล้วทั้งนั้น แต่หากไม่มีน้ำมันงารสชาติจะต่างออกไปหรือไม่ ทำก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ผ่านไปสักครู่ อาเลี่ยลดไฟลง กลิ่นหอมเข้มข้นค่อยๆ โชยฟุ้งขึ้นมา เอ๋าเลี่ยรู้สึกว่าต่อมรับรสที่แห้งเหี่ยวไปกว่าหมื่นปีของตนค่อยๆตื่นขึ้นอีกครั้ง กลิ่นหอมเหลือเกิน มุมปากค่อยๆมีของเหลวประหลาดไหลออกมา

“อาเลี่ย ไฟไม่คงที่แล้ว รีบปรับไฟกลับ ไม่อย่างนั้นจะไม่อร่อย” หลิวหลีใช้ข้าววิเศษมาบดให้เป็นผง วางแผนว่าจะทำเส้นหมี่เอาไว้กิน แหม ก็ชินแล้วที่ต้องมีมื้อหลัก ไม่กินไม่ได้ อาจารย์ที่ห้องเครื่องบอกว่ามีข้าวสาลีด้วย คราวหน้านางก็จะได้กินบะหมี่แล้ว

เอ๋าเลี่ยมักจะหน้าแดงอยู่บ่อยๆแต่ว่าไม่ค่อยเด่นชัดนัก เพราะความตะกละจึงทำให้หน้าแดงอยู่บ่อยครั้ง

ไม่นานก็ลงมือกินได้ ยามนางเปิดฝาหม้อ น้ำลายเอ๋าเลี่ยก็สอขึ้นมา ช่างหอมเกินไปแล้ว

เส้นหมี่นั้นทำออกมาเพียงสำรับเดียว เหตุเพราะเอ๋าเลี่ยเป็นสัตว์กินเนื้อ จึงมิได้รักใคร่ในอาหารประเภทนี้นัก ทั้งสองคนคีบอะไรก็กินอันนั้น ไม่เลือกกิน กล่าวให้ถูกคือหลิวหลีไม่เลือกกิน ส่วนเอ๋าเลี่ยกินแค่ปลากับเนื้อ อาหารหม้อใหญ่ทั้งสองกินจนไม่เหลือแม้กระทั่งน้ำแกง หลิวหลีลูบท้องน้อยๆของตน กินอิ่มไม่น้อย ช่วงนี้นางลำบากเกินไปแล้ว ไม่ได้กินอาหารให้ดีๆเลยด้วยซ้ำ

“นังหนู ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า” เอ๋าเลี่ยว่าพลางบิดขี้เกียจ

“มีอะไร?” เมื่ออิ่มแล้ว ต้องหมั่นฝึกฝนบำเพ็ญเข้าไว้

“นังหหนู บอกวิธีฝึกปรุงยาของเจ้าให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ วางใจเถิดข้าจะไม่เอาเปรียบเจ้าแน่นอน เจ้าให้ยาข้าหนึ่งขวด ข้าจะมอบหินวิญญาณระดับล่างให้เจ้าหนึ่งชิ้น” เอ๋าเลี่ยอดไม่ไหวที่จะอธิบายเพิ่มเติม

“ข้าขอถามศิษย์พี่เทียนเย่าก่อนว่านับเป็นการขายขาดหรือไม่” อย่างไรเสียต้องคุยกันให้ชัดเจนก่อน

เมื่อเทียนเย่าได้รับพิราบสื่อสารของนางก็ประหลาดใจเล็กน้อย ศิษย์น้องอ่านเทียบยาระดับ 1 ทั้ง 10สูตรจบแล้วหรือ? เมื่อได้ยินว่าไม่มีอะไรให้ก็ไม่สนใจ ตอบกลับไปทันทีว่าได้ ส่วนภายหลังเหตุเพราะตัวยานั้นจะกระจายไปไม่ถึงโลกปีศาจทำเขาหัวเสียอยู่นาน

“ศิษย์พี่บอกว่าได้ ข้าจะมอบวิธีปรุงยาให้ท่าน” หลิวหลีเมื่อได้ฟังคำตอบของศิษย์พี่ ก็รู้สึกว่าเขาช่างใจกว้างยิ่งนัก

เมื่อมอบเทียบยาให้เอ๋าเลี่ยแล้ว เอ๋าเลี่ยก็กลืนไปในคำเดียว หลังจากนั้นเอ่ยว่าตนต้องฝึกวิชาก็หายวับไปยังมิติอสูรภูติ ที่จริงแล้วเป็นเพราะร่างจริงกับร่างแยกมีความแตกต่างกัน ณ โลกของอสูรเทพ เอ๋าเลี่ยเรียกหาผู้นำเผ่ามังกรให้หา

“บรรพชน”  เอ๋าป๋อเหวิน ผู้นำเผ่ามังกรคนปัจจุบัน ยืนอย่างเคารพนบน้อมอยู่ตรงหน้าบรรพจารณ์ที่อารมณ์ไม่แน่นอนตนนี้

“นำเทียบยานี้มอบให้แก่นักปรุงยาของเผ่าเรา อีกอย่างช่วยข้าตรวจสอบด้วยว่า มีลูกหลานเผ่ามังกรคนไหนหลุดไปที่โลกภายนอกหรือไม่?” เอ๋าเลี่ยเอ่ยจบก็ส่งสัญญานเพื่อบอกให้เขาออกไป

เมื่อเอ๋าป๋อเหวินเห็นป้ายหยกที่บรรพชนมอบให้ก็จนใจ เมื่ออ่านเนื้อหาแล้วก็มีสีหน้าพิกล บรรพชนคงไม่ต้องการยาหรอกกระมัง เพราะยานี้มีกลิ่นด้วย

เขาจึงเอาความคิดอยากลอง อย่างไรเสียบรรพชนท่านนี้ นอกจากอารมณ์แปรปรวนแล้วอย่างอื่นก็นับว่าเชื่อถือได้ นำไปใช้กับอสูรตัวน้อยที่เพิ่งเกิดน่าจะเข้าท่า สุดท้ายเอ๋าป๋อเหวินอดไม่ไหวที่จะหัวเราะออกมา ให้ตายเถอะ ป้ายหยกนี้บรรพจารย์ไปได้จากที่ใดกัน ช่างมีประโยชน์เสียจริง อัตราการเกิดอสูรเทพมีน้อย ดังนั้นทุกชีวิตที่เกิดมาจึงล้ำค่ายิ่ง โดยเฉพาะทุกครั้งที่ทารกบาดเจ็บจะดื่มได้แค่ยาน้ำได้เท่านั้น ทุกครั้งจะต้องมีภาวะขาดน้ำ เมื่อลองให้นักปรุงยาปรุงตามเทียบยาที่บรรพชนนำกลับมาคราวนี้ใช้ได้กับทารกที่บาดเจ็บเหล่านั้นได้พอดี เมื่อก่อนต้องใช้วิธีบังคับกรอกยาลงไป แต่ตอนนี้กลับดื่มกันได้เอง ดื่มจนหมดแล้วยังต้องการอีก แถมสรรพคุณของตัวยาก็ดีกว่าเดิมไม่น้อย จริงสิ ในตอนสุดท้ายแล้วบรรพบรรพชนบอกว่าต้องการหินวิญญาณ ให้เขามากไปหน่อยก็ยังได้เลย

เอ๋าป๋อเหวินคิดถึงลูกหลานเผ่ามังกรที่บรรพชนพูดถึง ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วจึงส่งข่าวไปหาสกุลหลงแห่งเผ่ามังกร บรรพชนไม่น่าจะพูดเรื่อยเปื่อย น่าจะต้องมีสาเหตุอยู่

ณ สกุลหลง เมื่อเอ๋าตงได้รับข้อความจากผู้นำเผ่าก็ตะลึงนิ่งไป สกุลหลงมีลูกหลานที่เร่ร่อนอยู่ด้านนอกหรือไม่นั้นเห็นทีคงต้องไปถามคนในสกุลแทนเสียแล้ว ผู้ที่ผูกพันธสัญญากับเอ๋าตงนั้นคือ หลงจิ่งหลิน ผู้เป็นบุตรชายคนที่สามที่เกิดจากฮูหยินคนแรก ซึ่งพอจะดูออกว่าอีกฝ่ายมีเรื่องจะคุยกับเขา

“ตงตง เจ้ามีเรื่องอะไรจะพูดกับพี่หรือ”

“บอกแล้วอย่างไร ห้ามเรียกข้าว่าตงตง จริงสิ สกุลหลงของเจ้ามีลูกหลานที่เร่ร่อนอยู่ภายนอกหรือไม่” คำว่าตงตงสองคำนี้ เอ๋าตงรู้สึกว่าตนไม่ชอบเอาเสียเลย ทว่าก็ยังถามต่อ

“ที่เร่ร่อนอยู่ภายนอกคงไม่มี หากมีละก็ ก็ไม่น่าจะมีอยู่ดี โคมวิญญาณของน้องเล็กเองก็มอดดับไปแล้ว” หลงจิ่งหลินเอ่ย นอกจากน้องเล็กที่หายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุเมื่อสิบปีก่อน และโคมวิญญานนางเองก็ดับไปตั้งแต่หกปีก่อนแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ยังทำให้ท่านพ่อเสียใจอยู่นาน แล้ว ก็ไม่มีลูกหลานคนใดหายไปอีก

“น้องซินเย่ว์” หรือว่าจะเป็นนังหนูซินเย่ว์ ก็อย่างที่หลงจิ่งหลินพูด ในเมื่อหลงซินเยว่จากไปแล้ว จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นลูกของหลงซินเยว่

เมื่อคิดได้อย่างนั้น เอ๋าตงก็คุยกับหลงจิ่งหลิน และรายงานยังเอ๋าป๋อเหวินอีกด้วย

……………………………………………………