บทที่ 11 คาดไม่ถึง
เห็นเสิ่นเทียนปรากฏกายขึ้นอย่างกะทันหัน เสี่ยวหลิงเซียนก็สะดุ้งตกใจเช่นกัน

พี่ชายที่กระโดดลงมาจากท้องฟ้าผู้นี้เป็นใคร

แม้มีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลามาก ถึงขั้นสามารถทำให้เทพธิดาที่งดงามอย่างนางยังอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกหวั่นไหว

แต่การกระโดดลงมาจากท้องฟ้าแล้วเหยียบลงบนเปลือกกล้วยวิญญาณ มันจะน่าขันเกินไปหรือเปล่า!

“เทพธิดาโปรดวางใจ ตราบใดที่ข้าอยู่ที่นี่ จะไม่มีทางปล่อยให้เจ้าโจรถ่อยแตะต้องแม้แต่ปลายเส้นผมของเจ้า”

เสิ่นเทียนลุกขึ้นยืนด้วยความยากลำบาก ดึงเอาเสี่ยวหลิงเซียนมาปกป้องที่ด้านหลังของตนเอง

เขาชี้ไปทางโจรถ่อย กล่าวอย่างมีคุณธรรม “นี่! เจ้าโจรถ่อยใจกล้า กล้าลวนลามนายหญิงกลางวันแสกๆ ควรได้รับโทษอย่างไร!”

โจรถ่อยคนนั้นรู้สึกงงอยู่ “หา โจรถ่อย? ใครลวนลามนายหญิง!”

เสี่ยวหลินเซียนที่อยู่ด้านหลังเบะปาก กล่าวพึมพำ “ข้ายังเป็นสาวน้อยนะ ไม่ใช่นายหญิงอะไรสักหน่อย!”

มุมปากของเสิ่นเทียนกระตุก นี่มันใช่ประเด็นสำคัญหรือเนี่ย

ประเด็นสำคัญคือข้ากระโดดลงมาจากท้องฟ้า ยื่นมือเข้าช่วยเหลืออย่างมีคุณธรรม สวมบทวีรบุรุษช่วยหญิงงามไม่ใช่หรือหรือ

“ข้าจะให้โอกาสเจ้า” เสิ่นเทียนมองโจรถ่อยผู้นั้นด้วยสายตาที่เฉยเมย “คืนศิลาวิญญาณให้แม่นางเสี่ยวหลิงเซียน ข้าจะปล่อยเจ้าไปสักครั้ง ไม่เช่นนั้น…”

โจรถ่อยผู้นั้นยิ้ม เขามองเสิ่นเทียนด้วยสายตาที่ดูถูก “ไม่เช่นนั้นทำไม”

มุมปากของเสิ่นเทียนยกสูงขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่เพียงพอจะทำให้หญิงสาวนับหมื่นนับพันคลั่งไคล้ได้

เขาส่ายศีรษะเล็กน้อย ถอนหายใจแล้วกล่าว “ข้าได้ให้โอกาสเจ้าแล้ว แต่เจ้าไม่ไขว่คว้าเอง”

เสี่ยวหลิงเซียนที่อยู่ด้านหลังกระตุกแขนเสื้อของเสิ่นเทียน “คุณชาย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราก็ไม่รู้จักกัน ข้าว่าท่านไปดีกว่า!”

“ไม่รู้จัก? เหอะเหอะ”

เสิ่นเทียนเงยหน้าสี่สิบห้าองศาแหงนมองท้องฟ้า กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคือง “ยืนโดดเดี่ยวเคียงธาราอันหนาวเหน็บ จอมยุทธ์ผู้พานพบในยุทธภพ พานพบอีกคราคือพรหมลิขิต”

มองใบหน้าที่สง่างามของเสิ่นเทียน ฟังคำพูดที่มีชั้นเชิงจากปากของเขา

ใบหน้าของเสี่ยวหลิงเซียนแดงเล็กน้อย “แต่ว่า…”

“ไม่มีคำว่าแต่” เสิ่นเทียนพูดขัดเสี่ยวหลิงเซียน กล่าวอย่างหนักแน่น “ระหว่างทางพานพบอธรรมเข้าช่วยเหลือ เมื่อถึงเวลาลงมือก็ย่อมต้องลงมือ”

“พวกเราคือผู้บำเพ็ญเซียน เห็นคนเดือดร้อนจะไม่ช่วยได้อย่างไร?”

โจรถ่อยรู้สึกอับอายจนโมโห ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วกล่าวว่า “มีคนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านโผล่ออกมา แถมยังอยากสวมบทวีรบุรุษช่วยหญิงงาม? คอยดูข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร!”

กล่าวจบ โจรถ่อยส่งเสียงคำราม พุ่งตรงเข้าไปหาเสิ่นเทียน

บนร่างกายของเขามีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งแผ่ซ่านออกมา เขาเป็นผู้แข็งแกร่งระดับแดนหลอมปราณของจริง

เสี่ยวหลิงเซียนรู้สึกร้อนใจแล้ว “ไม่ต้องสู้ พวกเจ้าไม่ต้องสู้กันแล้ว”

“แม่นางไม่จำเป็นต้องกังวลแทนข้า ตัวตลกเช่นนี้ ยังไม่อยู่ในสายตาของข้า”

เสิ่นเทียนเหลือบมองโจรถ่อยผู้นั้นด้วยสายตาที่ดูถูก “ลุงกุ้ย!”

ตะคอกเสียงเบา เสียงขันรับของกุ้ยกงกงที่อยู่บนหลังคาดังขึ้นทันที “บ่าวอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ!”

“จัดการ!”

……

“บ่าวรับคำสั่ง!”

ทันทีที่สิ้นเสียง วิชามารสู่สุริยันถูกสำแดงออกมาทันที

มีพลังวิญญาณสีแดงเข้มที่แข็งแกร่งปะทุออกจากร่างกายของกุ้ยกงกง กลิ่นอายมารคลุ้มคลั่ง ลึกล้ำเปลี่ยนผัน

ร่างกายของเขาถูกพลังวิญญาณปกคลุม กลายเป็นร่างเงาสีแดง ไปขวางอยู่ตรงกลางระหว่างเสิ่นเทียนและโจรถ่อยในชั่วอึดใจเดียว

“เจ้าโจรถ่อยใจกล้า ถึงขั้นกล้าเสียมารยาทต่อองค์ชายองค์ชาย!”

คำพูดประโยคนี้ กุ้ยกงกงจงใจตะโกนออกมา

ก่อนหน้านี้เสิ่นเทียนเหยียบโดนเปลือกกล้วยวิญญาณ เป็นข้อผิดพลาดที่ใหญ่หลวงยิ่งนัก คาดว่าคงเสียคะแนนความประทับใจไปไม่น้อย

แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงมาก ด้วยดวงชะตาขององค์ชาย เหยียบเปลือกกล้วยวิญญาณเป็นเรื่องปกติแล้วที่หนีไม่พ้น

ขอเพียงเขาเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงขององค์ชายออกมาโดย ‘ไม่ได้ตั้งใจ’การคว้าหญิงงามมาเป็นคู่ครองก็ไม่ใช่ปัญหา

ความสุขขององค์ชาย เป็นสิ่งที่บ่าวไล่ตามมาทั้งชีวิต

โจรชั่ว ตายซะเถอะ!

กุ้ยกงกงที่อายุห้าสิบกว่า กระหน่ำหมัดจู่โจมใส่ร่างกายของโจรถ่อยครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างบ้าคลั่ง

ความเร็วที่เหนือระดับก็คือพลังที่เหนือระดับ

วิชาเซียนทั่วหล้าไม่มีวิชาใดอยู่ยงคงกระพัน ต้องเร็วเท่านั้นถึงไร้จุดบกพร่อง!

ผลบำเพ็ญระดับแดนหลอมปราณของโจรถ่อยเมื่ออยู่ต่อหน้าความเร็วราวกับภูตผีวิญญาณของกุ้ยกงกง ไม่สามารถโต้ตอบแม้แต่ครั้งเดียว

เขาโดนหมัดนับร้อยกระหน่ำใส่ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ โดนทำร้ายจนมีบาดแผลทั่วร่าง ก้มคลานหาฟันบนพื้น

“องค์ชาย เจ้าโจรชั่วสยบแล้ว!”

หลังจากจู่โจมโจรถ่อยจนล้มลงพื้น กุ้ยกงกงถอยไปด้านข้างด้วยความเคารพ เว้นพื้นที่ทั้งหมดไว้ให้เสิ่นเทียน

ตอนนี้ ถึงเวลาออกโรงขององค์ชายแล้ว

มองดูสีหน้าที่ตกตะลึงและถึงขั้นเหม่อลอยเล็กน้อยของเสี่ยวหลิงเซียน เสิ่นเทียนยิ้มเล็กน้อย “แม่นาง เจ้าปลอดภัยแล้ว”

“ไม่ต้องขอบคุณข้า นี่เป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญเซียนที่มีคุณธรรมและมีวิชาทุกคนควรทำ”

ทว่าสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของเสิ่นเทียนคือเสี่ยวหลิงเซียนแท้จริงแล้วไม่ได้ขอบคุณเขา

นางวิ่งไปหยุดอยู่ตรงหน้าโจรถ่อย เห็นสภาพที่น่าเวทนาของโจรถ่อย นางใช้มือปิดปากตัวเองเสมือนกำลังอดกลั้นไม่ให้หัวเราะออกมา

แต่ก็ยังฝืนกล่าวด้วยความเป็นห่วง “เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่!”

โจรถ่อยโดนทำร้ายจมูกช้ำปากบวม แม้กระทั่งฟันก็หลุดไปครึ่งปาก เวลาพูดอะไรจึงไม่สามารถจับใจความชัดเจน

“จู้กิวอ้วกกริวกอ!”

เสิ่นเทียนโน้มหน้าเข้าไปใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เขาทำกับเจ้าเช่นนั้น เจ้ายังเป็นห่วงว่าเขาจะเป็นอะไรหรือเปล่า และนี่…เขากำลังพูดอะไร”

เสี่ยวหลิงเซียนถลึงตาขาวใส่เสิ่นเทียน ท่าทางเหมือนโกรธ เหมือนดีใจ และยังเหมือนอยากร้องไห้เล็กน้อย

“เขาบอกว่า ‘เจ้าทำร้ายพวกเดียวกัน!’ ”

เสิ่นเทียนงงงัน “ทำร้ายพวกเดียวกันอะไร?”

โจรถ่อยมองเสิ่นเทียนด้วยสายตาที่ไม่พอใจ เปล่งคำพูดออกมาด้วยความยากลำบาก “จู้รูกอ ข้าม่อป่ออ้วกจู้ปอแอ้”

เสิ่นเทียนส่ายศีรษะ “เขาพูดอะไรอีก”

เสี่ยวหลิงเซียนกล่าวด้วยท่าทางที่ขุ่นเคือง “เขาบอกว่า ‘เจ้ารอก่อน ข้าไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่’ ”

เสิ่นเทียนเริ่มโมโห “หนอย ไอ้เจ้าคนอารมณ์ร้าย ลวนลามนายหญิงกลางวันแสกๆ แล้วยังกล้าข่มขู่ข้า รนหาที่ตายหรือ”

กุ้ยกงกงกล่าวห้ามปราม “องค์ชายทรงใจเย็น หรือจะให้กระทืบอีกสักยก ไม่ก็ฆ่าทิ้งไปเลย!”

ทันใดนั้น ในดวงตาของโจรถ่อยเผยให้เห็นประกายของความหวาดกลัว “ว้อยจีวุด ต้าจัวยุโปะว้อยจีวุด”

เห็นเสี่ยวหลิงเซียนกำลังจะเอ่ยปากอีกครั้ง เสิ่นเทียนส่ายศีรษะ “ประโยคนี้ไม่ต้องแปล ข้าฟังรู้เรื่องแล้ว ‘ไว้ชีวิต ท่านจอมยุทธ์โปรดไว้ชีวิต’ ”

โจรถ่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก พยักหน้าด้วยความชื่นชม

ส่วนเสี่ยวหลิงเซียนกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “ข้ากำลังจะบอกว่าข้าไม่ใช่นายหญิง ไม่ใช่นายหญิง ไม่ใช่นายหญิงจริงๆ!”

เสิ่นเทียน “…”

……

เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของคนทั้งสาม เสี่ยวหลิงเซียนลังเลอยู่สักพัก สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดความจริง

ที่แท้เสี่ยวหลิงเซียนไม่ใช่นักชีพจรวิญญาณอะไรทั้งนั้น

และคนที่นอนอยู่บนพื้นก็ไม่ใช่โจรถ่อยอะไรทั้งนั้น แต่เป็นลูกชายที่ไม่เอาไหนของเถ้าแก่ซ่งเจ้าของร้านวิญญาณสวรรค์

เสี่ยวหลิงเซียนเคยเรียนมรดกสืบทอดของนักชีพจรวิญญาณเพียงน้อยนิดโดยบังเอิญภายใต้โชคลิขิต

คิดจะพึ่งพามรดกสืบทอดพวกนี้ประเมินชีพจรวิญญาณเลิกฝันไปได้เลย แต่ถ้าใช้ต้มตุ๋นคนที่ไม่มีความรู้ด้านนี้ยังพอเป็นไปได้

บวกกับรูปลักษณ์ที่งดงามของเสี่ยวหลิงเซียน แถมยังมีออร่าที่ทำให้ผู้คนรู้สึกใกล้ชิดโดยกำเนิด

ดังนั้นสมองของนางจึงแล่นอย่างฉับพลัน มาร่วมมือกับร้านแร่วิญญาณเหล่านี้ กลายเป็น ‘นักโฆษณาคนดัง’ ของสวนหมื่นวิญญาณดีกว่า

ทุกครั้งที่ร้านใดในสวนหมื่นวิญญาณนำเข้าสินค้ารอบใหม่ ก็จะเชิญเสี่ยวหลิงเซียนไปแสดง

นำเอาหินแร่วิญญาณที่เตรียมเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ให้เสี่ยวหลิงเซียนแสร้งทำเป็นซื้อมัน

จากนั้นจะเปิดมันออกทันที แสดงให้ผู้คนเห็นฉากที่ทำกำไรได้มากว่าสิบเท่า

บวกกับเสี่ยวหลิงเซียนมีผู้ที่ชื่นชอบนาง ติดตามนางมากมายอยู่แล้ว จึงสามารถช่วยให้ร้านแร่วิญญาณหาแขกจำนวนมากได้อย่างง่ายดาย

แขกเหล่านี้ มีความเป็นไปได้ระดับหนึ่งที่จะใช้จ่ายในร้านแร่วิญญาณ

ส่วนร้านแร่วิญญาณก็จะแบ่งเอากำไรจากแขกเหล่านั้นประมาณร้อยละสิบมาให้เสี่ยวหลิงเซียนเป็นค่าตอบแทน

เหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร เสิ่นเทียนเคยพบเจอเรื่องแบบนี้ในธุรกิจต่างๆ เมื่อภพที่แล้ว

พวกหน้าม้าไวน์เอย หน้าม้าร้านอาหาร หน้าม้าซื้อขายบ้าน หน้าม้าการพนัน หน้าม้ามิจฉาชีพ หน้าม้ามายากล…

ในธุรกิจเหล่านี้ก็มีถมเถไป

เพียงแต่เสิ่นเทียนคาดไม่ถึงว่าตนเองข้ามภพมาถึงโลกบำเพ็ญเซียนแล้ว ยังมาเจอพวกหน้าม้าที่นี่อีก

ทั้งที่แลดูไม่ต่างอะไรกับเทพธิดา ดูไม่มีพิษไม่มีภัย

แต่คาดไม่ถึงเลยว่านางจะเป็นหน้าม้าขายแร่!

…………………