บทที่ 15 ขอโทษอย่างสำนึกผิด!

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 15 ขอโทษอย่างสำนึกผิด! EnjoyBook

บทที่ 15 ขอโทษอย่างสำนึกผิด!

ทุกคนมองไปยังเฉินฮั่นหลง คุณลุงท่านนี้กล้าหาญเกินไปแล้ว เขารู้ตัวไหมว่าตัวเองกำลังต่อยกับใครอยู่?

“นี่ล้อกันเล่นใช่ไหม!” ตอนนี้ทุกคนกำลังเป็นห่วงเฉินฮั่นหลง แต่เฉินฮั่นหลงกลับไม่ยอมหยุด เขาเตะไปที่หัวของเจิ้งกันอีกครั้ง

เจิ้งกันรีบยกมือป้องกันหัวตัวเองทันที แววตาของเจิ้งกันเปล่งประกายความโหดเหี้ยมออกมา จนถึงตอนนี้เจิ้งกันยังไม่เคยโดยเหยียดหยามขนาดนี้มาก่อน ในใจถางโร้วเองก็รู้สึกดีที่ได้ระบายความโกรธออกมาที่เห็นเจิ้งกันโดนกระทืบแบบนี้ แต่เธอก็เป็นห่วงเฉินฮั่นหลง ตัวตนของเจิ้งกันนั้นไม่ธรรมดา หากทำร้ายเขาแบบนี้ตระกูลเจิ้งคงไม่ยอมวางมือง่าย ๆ แน่

“แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?” เจิ้งกันร่างกายแข็งแรงสมวัยถือว่าไม่ธรรมดา เขาพยายามลุกขึ้นมาหลังจากโดนกระทืบอย่างหนัก ดวงตาแดงก่ำจ้องมองเฉินฮั่นหลงอย่างดุร้าย

“แกเป็นใครละ? พูดออกมาแล้วฉันจะตกใจไหมเนี้ย?” ใบหน้าเฉินฮั่นหลงแสดงถึงความหยอกล้อ

“ฉันคือเจิ้งกัน เจิ้งก่วงอี้เป็นพ่อของฉันเอง!!” เจิ้งกันรู้ว่าชื่อเสียงของตนอาจไม่เป็นที่รู้จักมากพอ เขาเลยบอกชื่อพ่อของเขาออกมา เขาจ้องมองไปที่เฉินฮั่นหลงอย่างดุร้ายและรอเห็นสีหน้าที่รู้สึกเสียใจของเฉินฮั่นหลง เป็นไปตามที่เขาคิด ใบหน้าของเฉินฮั่นหลงแสดงความหวาดกลัวออกมา แต่ว่าทั้งหมดนี้มันเป็นเพียงแค่การแสดงของเฉินฮั่นหลงเท่านั้น

แม้ในใจของเฉินฮั่นหลงจะรู้สึกกังวลอยู่บ้างเพราะเขารู้จักเจิ้งก่วงอี้ไม่น้อย ตระกูลเจิ้งเองก็มีอำนาจไม่ธรรมดา ซึ่งเขาก็เกรงใจอีกฝ่ายไม่น้อย

แต่ทว่าเรื่องพวกนี้ไม่ทำให้เขาตกใจหรอก เขายังมีกลุ่มเหยี่ยวมังกรอยู่ แม้ว่าตระกูลเจิ้งจะเป็นตระกูลของผู้มีอิทธิพลแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฉู่ชวิ๋น เขาไม่เชื่อว่าตระกูลเจิ้งจะทำอะไรได้!

“พวกนายบอกมาว่าตาลุงนั้นเป็นใคร?” พนักงานที่มาเห็นต่างก็ซุบซิบกัน

“คิดว่าน่าจะเป็นแฟนคลับถางโร้ว ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาได้ยังไง”

“ถ้าหากว่าเป็นแฟนคลับจริง ๆ ก็น่าสงสารเขานะทำให้นายน้อยเจิ้งไม่พอใจแล้วอย่าคิดว่าจะเอาตัวรอดไปได้เลย?” พนักงานที่ทำงานแอบกระซิบกระซาบ!

เจิ้งกันใช้มือประคองตัวเองกับโต๊ะเอาไว้และชี้หน้าเฉินฮั่นหลงพร้อมกัดฟันแน่น “แก ไอ้เศษสวะ ไม่คิดว่าจะกล้ามาทำร้ายฉัน จะมาเสียใจตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว ฉันต้องสับแกให้เป็นชิ้น ๆ ทำให้แกต้องนั่งรถเข็นคนพิการไปชั่วชีวิต!!” พูดจบเจิ้งกันก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดโทรไปหาใครสักคน!

ถางโร้วได้ยินคำพูดของเจิ้งกันก็มองไปที่เฉินฮั่นหลงที่กำลังแกล้งทำสีหน้าหวาดกลัว เธอไม่รู้ว่านั่นคือการแสดงของเฉินฮั่นหลงและคิดว่าเฉินฮั่นหลงเป็นแฟนคลับของเธอจริง ๆ

แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดอะไร สักพักก็มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาพวกเขาคือผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ใส่เสื้อสูทสีดำหลายสิบคนวิ่งเข้ามา

พวกเขาเป็นบอดี้การ์ดของเจิ้งกันที่รออยู่บนรถยนต์ด้านนอกมาตลอด พวกบอดี้การ์ดมองเห็นสภาพเจิ้งกันที่มีสภาพยับเยินก็ตกใจทันที!

“พวกแกยังยืนงงอยู่ทำไม? รีบ ๆ จัดการมันซะ!” เจิ้งกันตะโกนสั่งและชี้ไปที่เฉินฮั่นหลง หลังจากที่บอดี้การ์ดทั้งหลายได้สติก็รีบล้อมรอบตัวเฉินฮั่นหลงไว้

“ปัง!” เฉินฮั่นหลงหันหลังกลับไปใช้เท้าถีบเจิ้งกันให้ล้มลงกับพื้นอีกครั้งและหันกลับมาพูดกับพวกบอดี้การ์ดทั้งหลายทันทีว่า “พวกแกลองลงมือสิ ฉันรับรองว่าพวกแกจะไม่เห็นพระอาทิตย์ของวันพรุ่งนี้แน่นอน”

ตอนนี้พวกบอดี้การ์ดต่างก็พากันตกใจและเริ่มลังเลไม่กล้าลงมือคิดว่าอีกฝ่ายอาจมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่คอยสนับสนุนอยู่

เฉินฮั่นหลงเดินตรงเข้าไปหาเจิ้งกันที่ล้มอยู่บนพื้นสักพักก็ใช้เท้าเตะอีกฝ่าย “ไอ้คนชั่ว ฉันเห็นแกมีชีวิตอยู่แล้วมันน่าสะอิดสะเอียนจริง ๆ! แม้แต่เจิ้งก่วงอี้พ่อของแกยังไม่กล้ายกมือชี้หน้าด่าฉันเลยแล้วแกมีสิทธิ์อะไร?” เจิ้งกันถูกต่อยครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกคนต่างก็มึนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น

พวกบอดี้การ์ดของเจิ้งกันก็มองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร พวกเขาไม่สนแล้วว่าชายคนนี้จะเป็นใครแต่นายน้อยถูกต่อยจนกลายเป็นแบบนี้ ถ้าหากว่าพวกเขามัวแต่มองดูเฉย ๆ พวกเขาต้องตายแน่ ๆ บอดี้การ์ดจึงพุ่งเข้าโจมตี ใส่เฉินฮั่นหลง

พวกเขาพึ่งจะเริ่มลงมือ ทันใดนั้นก็มีเงาปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา แค่คนคนนี้ยกมือขึ้นมา เหล่าบอดี้การ์ดทั้งหลายก็นอนจมกองเลือดทันที!

ฉู่ชวิ๋นยื่นอยู่หน้าประตูตลอดตั้งแต่แรกแต่ไม่มีใครสังเกตเห็น เมื่อมองพวกบอดี้การ์ดที่นอนจมกองเลือด พนักงานที่อยู่บริเวณรอบ ๆ รู้สึกตกใจราวกับถูกงูกัดลนลานทยอยวิ่งหนีกันออกไปหมด

เฉินฮั่นหลงเมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวก็หันกลับไปและก็เห็นบอดี้การ์ดทั้งหลายนอนตายอยู่บนพื้นเขารีบวิ่งมาพูดกับฉู่ชวิ๋นอย่างนอบน้อม “ขอบคุณครับนายท่านที่ช่วยผมเอาไว้”

“ฉันควรจะขอบคุณนายมากกว่า!” ฉู่ชวิ๋นพูด พอได้ยินประโยคนี้ เฉินฮั่นหลงก็ยิ้มดีใจจนปากจะฉีกแล้ว ฉู่ชวิ๋นก็เดินตรงเข้าไปหาถางโร้ว

ถางโร้วมองเห็นฉู่ชวิ๋นที่กำลังเดินมาหาเธอ แววตาก็เริ่มรู้สึกไม่แน่ใจ “ไม่เจอกันนานเลยนะ!” ฉู่ชวิ๋นยิ้มเบา ๆ แล้วพูดขึ้น

ถางโร้วจ้องมองฉู่ชวิ๋นอย่างนิ่ง ๆ และสีหน้าก็เริ่มปรากฏความไม่แน่ใจออกมาเพราะว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอ ทำให้เธอรู้สึกว่าคุ้นเคยมาก ๆ

พอเห็นสีหน้าของถางโร้วที่ดูไม่แน่ใจฉู่ชวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาหลังจากนั้นก็ยื่นมือไปลูบหัวเล็ก ๆ ของถางโร้ว ทันใดนั้นถางโร้วก็ดวงตาเบิกกว้างและส่งเสียงแปลกใจออกมา

“คุณคือ…พี่ฉู่ชวิ๋น?”

“ฉลาดมาก” ฉู่ชวิ๋นพูดยิ้ม ๆ

“คุณคือพี่ฉู่ชวิ๋นจริง ๆ ด้วย!” ถางโร้วกอดฉู่ชวิ๋นด้วยความดีใจและดวงตาที่สวยงามทั้งสองข้างของเธอก็จ้องมองไปที่ใบหน้าของฉู่ชวิ๋น

“ฉันเอง ตัวจริงแน่นอน” ฉู่ชวิ๋นพูดและรู้สึกหดหู่ใจบางอย่าง ถ้าหากว่าเขาไม่ได้เข้าคุกชีวิตของเขาคงไม่เป็นแบบนี้

“ดีจริง ๆ พี่ฉู่ชวิ๋นในที่สุดพี่ก็กลับมาแล้ว พี่หายไปอยู่ที่ไหนมาน่ะ?” ใบหน้าถางโร้วยิ้มออกมาอย่างสดใส เธอดีใจมากจริง ๆ พี่ฉู่ชวิ๋นของเธอกลับมาแล้ว จริง ๆ แล้ว เธอแอบชอบฉู่ชวิ๋นมาตลอด สามปีก่อนที่ฉู่ชวิ๋นหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เธอรู้สึกเจ็บปวดมานานมาก

หลังจากที่ดีใจได้ไม่นานถางโร้วก็รู้สึกเป็นห่วงฉู่ชวิ๋นอีกครั้ง ตอนนี้ดูเหมือนว่าเฉินฮั่นหลงน่าจะเป็นลูกน้องของพี่ฉู่ชวิ๋นและตอนนี้เฉินฮั่นหลงก็ต่อยเจิ้งกันจนเกือบปางตาย เจิ้งกันจะต้องแก้แค้นคืนแน่นอน ที่ถางโร้วและฉู่ชวิ๋นรู้จักกันเป็นเพราะเมื่อก่อนพวกเขาเป็นเพื่อนบ้านกันและพักอยู่ในเขตเดียวกัน พ่อแม่ของฉู่ชวิ๋นเป็นพนักงานบริษัทระดับสูงเหมือนกันกับพ่อแม่ของเธอ

ครอบครัวของพวกเธอเป็นแค่พนักงานบริษัทแล้วแบบนี้จะสามารถต่อกรกับการแก้แค้นของตระกูลเจิ้งได้เหรอ?

“พี่ฉู่ชวิ๋น ตอนนี้พวกเราควรทำยังไงดี?” ถางโร้วถามอย่างกังวลใจ ฉู่ชวิ๋นมึนงงสักพักถึงจะพูดตอบโต้ถางโร้วเกี่ยวกับเจิ้งกันอย่างเย็นชา

“ขอโทษอย่างสำนึกผิดซะ” คำพูดนี้แค่พูดออกมาคนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ต่างก็แสดงสีหน้าดูถูกออกมา เมื่อกี้พวกเขายังคิดว่าฉู่ชวิ๋นเป็นคนที่เท่สุด ๆ! เรื่องก่อนหน้านี้เป็นแค่การแกล้งขู่ ผลสุดท้ายเขาก็ต้องไปขอโทษอีกฝ่ายอยู่ดี

“พี่ฉู่ชวิ๋น เจิ้งกันเขาไม่ธรรมดา เกรงว่าเขาจะไม่ยอมรับการขอโทษของพวกเราน่ะสิ” ถางโร้วพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล แม้ตระกูลเจิ้งจะเป็นฝ่ายผิดในตอนแรกแต่เรื่องมันมาขนาดนี้แล้วแค่ไปขอโทษแล้วจบกันมันดูจะเป็นไปไม่ได้ซะแล้ว

“หา!” ฉู่ชวิ๋นรู้สึกมึนงงหลังจากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาและลูบหัวของถางโร้วเบา ๆ “เธอเข้าใจผิดแล้ว ที่ฉันพูดคือให้ตระกูลเจิ้งนั่นมาขอโทษเธอ”

“เอ๋?” ถางโร้วคิดว่าตัวเองฟังผิดพี่ฉู่บอกให้ตระกูลเจิ้งมาขอโทษเธอ นี่มันจะเป็นไปได้ยังไง? คนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ต่างก็เอื่อมระอา พวกเขาคิดว่าฉู่ชวิ๋นนั่นเป็นบ้าเสียสติไปแล้ว

“น้องถางครับ นี่เป็นนามบัตรของผม” เฉินฮั่นหลงใช้มือลูบเสื้อสูทที่มีราคาแพงของตนและถือโอกาสรีบเอานามบัตรบริษัทออกมายื่นให้

ถางโร้วสีหน้าเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจแต่ก็รับนามบัตรมา ในใจรู้สึกอึดอัด คนนี้ไม่ใช่ลูกน้องของพี่ฉู่ชวิ๋นเหรอ? ทำไมมีนามบัตรด้วยล่ะ?

เมื่อตอนที่เธอเห็นชื่อสามพยางค์ในบัตรว่าเฉินฮั่นหลงก็อดไม่ได้ที่จะดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ในกลุ่มความบันเทิงพวกเขานั่นมีหนึ่งประโยค ในกู่เจียงคุณสามารถล่วงเกินใครก็ได้ แต่จะมีเพียงสองคนเท่านั้นที่ไม่สามารถล่วงเกินได้ คนแรกก็คือเฉินฮั่นหลงอีกคนหนึ่งคือลู่ฉวน! เพราะว่าสิ่งที่ดารากลัวที่สุดก็คือวงการมาเฟีย!

หลิวซินผู้จัดการของถางโร้วก็มองอย่างทึ่ง ๆ และรู้สึกตกใจจนร้องออกมา เธอรีบปิดปากตัวเองแล้วมองไปยังเฉินฮั่นหลงอย่างตกตะลึง คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเธอจะเป็นผู้ชายที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองกู่เจียง

“เฉิน…ประธานเฉิน สวัสดีค่ะ!” ถางโร้วขยับไปอยู่ด้านข้างฉู่ชวิ๋นและมองผู้ชายที่ใส่เสื้อสูทราคาแพงอย่างหวาดกลัว

การกระทำของถางโร้วทำให้เฉินฮั่นหลงตกตะลึง ก่อนหน้านี้เขาพยายามเต็มที่เพื่อสร้างภาพลักษณ์ดี ๆ แต่ดูเหมือนว่าผลลัพธ์จะตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาคิดเอาไว้เขาเลยรีบพูดขึ้นมาว่า “คุณถาง คุณเรียกชื่อผมเฉย ๆ ก็ได้ไม่ต้องพูดทางการหรอกครับ”

ถางโร้วไม่ได้โง่ เมื่อได้ยินแบบนี้เธอก็เริ่มเข้าใจเรื่องราว เมื่อกี้เธอตกใจมากไปหน่อย ดูจากปฏิกิริยาของเฉินฮั่นหลงสาเหตุที่เขาเป็นแบบนี้ แน่นอนว่าเป็นเพราะพี่ฉู่ชวิ๋นของเธอแน่ ๆ

“เรื่องนี้นายจัดการให้หน่อยนะ!” ฉู่ชวิ๋นพูดกับเฉินฮั่นหลง

“ได้ครับ นายท่านสบายใจได้ ผมรับประกันว่าจะให้ตระกูลเจิ้งมากล่าวขอโทษคุณถางให้ได้ครับ” เฉินฮั่นหลงรีบตีหน้าอกตัวเองเพื่อรับประกันคำพูดของตัวเอง

ดวงตาที่สวยของถางโร้วแอบมองฉู่ชวิ๋น ในใจรู้สึกภูมิใจมากในตัวพี่ฉู่ชวิ๋น ของเธอมากเขาเก่งเกินไปแล้ว แค่หนึ่งประโยคก็สามารถทำให้ผู้ชายที่มีชื่อเสียงในเมืองกู่เจียงทำตามที่สั่งทันที

วิธีจัดการของเฉินฮั่นหลงนั้นป่าเถื่อนมาก เขาเดินไปทางเจิ้งกันที่แกล้งตายและใช้เท้าเขี่ยให้กลิ้งไปมาสองรอบก่อนพูดขึ้นว่า “โทรไปหาเจิ้งก่วงอี้พ่อของแก ให้เขามารับแกด้วยตัวเอง จำไว้ภายในเวลาครึ่งชั่วโมงไม่อย่างนั้นก็บอกลาขาของแกได้เลย!”

เจิ้งกันคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะหาโอกาสโทรเรียกพ่อให้มาช่วย เขามองไปยังฉู่ชวิ๋นอย่างอาฆาตแค้น ในตอนนี้เขารู้แล้วว่าฉู่ชวิ๋นคือตัวการของเรื่องทั้งหมด เขาควักโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรออกทันที!!