ตอนที่ 5 รองเท้าหนึ่งข้าง

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

ความจริงการยั่วโมโหฟางเจิ้งไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่ใช่เพราะระบบเตือนอีกครั้งว่าหากทำผิดจะถูกหักคะแนน ซ้ำยังเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ! ฟางเจิ้งคงแคะอิฐเขวี้ยงใส่แล้ว…

ตอนนี้เองเสียงสุภาพดังแว่วมา “เอาล่ะ หม่าเจวียน จ้าวต้าถง พวกเธออย่าเสียงดังนักเลย เขาแค่พูดประโยคเดียว ทั้งยังไม่ให้พวกเราจ่ายเงินอีก อภัยได้ก็อภัยเถอะ”

ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็รู้สึกอบอุ่นในใจ ‘ยังมีคนที่มีความเป็นธรรมอยู่จริงๆ มิน่าถึงได้หน้าตาดีนัก คนนิสัยดีย่อมหน้าตาดีเป็นธรรมดา!’

แต่ต่อมาฟางเจิ้งก็ต้องสำนึกเสียใจภายหลัง

ได้ยินฟางอวิ๋นจิ้งพูดต่อ “เฮ้อ น่าเสียดายหลวงจีนนั่นภายนอกก็ดูดีนะ รับสืบทอดต่อวัด ไม่ฝึกพระธรรม แต่ดันเรียนการโอ้อวดหลอกลวงคนอื่น…”

ฟางเจิ้งน้ำตานองหน้า คิดในใจ ‘ฉันถูกหลอกมากกว่าเธออีก! ฉันไปหลอกใคร? เวรจริงๆ อุตส่าห์พูดเตือนแล้วเป็นแบบนี้เนี่ยนะ? ทำไมทำกันแบบนี้?’

“ติ๊ง! นี่คือเหตุผลว่าพระถังซัมจั๋งไปเอาพระไตรปิฎกแล้วยังต้องจ่ายเงิน คำสอนของพระพุทธองค์จะถ่ายทอดกันตามอำเภอใจได้ยังไง? เมื่อถ่ายทอดแล้วก็ไม่มีมูลค่าแล้ว กระทั่งไม่มีใครสำนึกในบุญคุณ”

“นี่พี่ระบบ ในที่สุดก็พูดภาษาคนสักทีนะ! ได้ จากนี้ฉันจะไม่บอกความลับสวรรค์ตามอำเภอใจแล้ว บางคนก็สมควรถูกลงโทษ” ฟางเจิ้งทำเสียงหึหึด้วยความโกรธ

“ติ๊ง! ขอชี้แนะอย่างเป็นมิตร ช่วยชีวิตคนหนึ่งคนมีค่ามากกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น นั่นคือบุญกุศลครั้งใหญ่! จะได้รับคะแนนเพิ่มเยอะ”

“อะไรนะ? เธอจะตายเหรอ?” ฟางเจิ้งอึ้งไป

“ติ๊ง! เส้นทางภูเขาเอกดรรชนีเดินยาก หากบาดเจ็บขึ้นมาแล้วอยู่ในสถานการณ์ไม่มีคนภายนอกช่วยล่ะก็ เธอมีชีวิตไม่ถึงตอนลงเขาแน่”

“อืม…ช่างเถอะ ฉันเป็นผู้ใหญ่ย่อมไม่ถือสาเด็ก อีกอย่างวัดก็ตกแต่งใหม่แล้ว ขืนมีคนตายขึ้นมา คราวหลังคงไม่มีใครมาจุดธูป…” ฟางเจิ้งถอนหายใจก่อนหมุนตัวเดินกลับไป

ช่วงที่ฟางเจิ้งกลับมา จ้าวต้าถงกำลังยืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ คลำลำต้นพลางพึมพำด้วยความแปลกใจ “แปลก นี่มันต้นโพธิ์จริงๆ ด้วย ทำไม่ถึงแตกกิ่งในฤดูใบไม้ร่วงกัน มันอยากตายรึไง? เป็นเมล็ดจากภาคใต้จริงๆ รนหาที่ตายในสภาพอากาศภาคเหนือที่ไม่คุ้นชิน…”

เห็นฟางเจิ้งกลับมา จ้าวต้าถงก็มองฟางเจิ้งด้วยความตื่นตัวพลางตะโกนไป “เณรน้อย แกมาทำอะไรอีก? จะบอกให้นะ พวกเราไม่เชื่อเรื่องดวง ไม่จุดธูป แค่มาดูเท่านั้น!”

ฟางเจิ้งยิ้มพูดอย่างไม่ใส่ใจ “หากพวกโยมจะดูดวง อาตมาก็ดูให้ไม่ได้หรอก หากพวกโยมจะจุดธูป บนโต๊ะบูชามีให้ ธูปธรรมดาฟรี ธูปชั้นดีหนึ่งดอกสองร้อยหยวน จะจุดหรือไม่จุดก็ตามสบาย” พูดจบก็ไม่สนใจจ้าวต้าถงที่มีสีหน้ามึนงง แต่มายืนอยู่หน้าขั้นบันไดที่หม่าเจวียนหกล้มมาชน หลังตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ถอดรองเท้าไว้ วางไว้ตรงจุดที่หม่าเจวียนล้ม

ใกล้จะฤดูหนาวแล้ว รองเท้าฟางเจิ้งเป็นรองเท้าฝ้าย สวมแล้วอุ่นเล็กน้อย แต่ตอนไม่สวมจะเย็นๆ ตอนแรกเขาคิดจะถอดจีวรวางไว้ด้วย แต่พอคิดๆ ดูแล้ว ทำแบบนั้นจะถูกมองว่าหยาบคายได้ ดีไม่ดีจะถูกไอ้คนอารมณ์ร้อนนั่นทุบตีเอา คงได้ไม่คุ้มเสีย ส่วนจะให้ไปเอาของหลังลานวัด เขาก็ขี้เกียจอีก…

“นี่เณรน้อยทำอะไรอยู่?” จ้าวต้าถงมองฟางเจิ้งอย่างไม่เข้าใจ

ฟางเจิ้งตอบ “เปิดเผยความลับสวรรค์ไม่ได้ ที่นี่คือวัดของอาตมา อาตมาจะทำอะไรย่อมมีเหตุผล อย่าขยับของของอาตมา…”

ฟางเจิ้งพูดจบพลันอึ้งไป มีภาพหนึ่งขยับวูบผ่านในดวงตา เห็นจ้าวต้าถงลื่นตกเขาไป ดีที่เจ้าคนนี้ร่างกายแข็งแรงเหมือนวัวจึงจับกิ่งไม้เอาไว้ได้ทัน จึงไม่ตกลงไปตาย แต่ก็ค้างเติ่งอยู่ตรงนั้น ขึ้นไม่ได้ ลงก็ไม่ได้

“เณรน้อย มองฉันแบบนี้หมายความว่าไง? จะบอกให้นะ ฉันไม่ชอบผู้ชาย!” จ้าวต้าถงถูกฟางเจิ้งจ้องมองจนรู้สึกขนลุกเล็กน้อย

ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย หลังมองจ้าวต้าถงอีกครั้งหนึ่งแล้วก็ส่ายศีรษะ หมุนตัวจากไป จ้าวต้าถงเห็นแววตา ‘ลึกซึ้ง’ นั้นแล้วขนลุกไปทั้งตัว

ฟางเจิ้งเดินไปพลางเอ่ยต่อ “อย่าขยับรองเท้าอาตมา ไม่อย่างนั้นจะถูกปรับห้าร้อย!”

“ทำไมไม่ปล้นกันไปเลยล่ะ?” จ้าวต้าถงตะโกนด้วยความโมโห แต่ฟางเจิ้งพูดถูก นี่คือวัดของเขา เป็นกฎที่เขาตั้ง ต่อให้จ้าวต้าถงจะร้ายกว่านี้ก็ทำอะไรไม่ได้ ทว่าจ้าวต้าถงก็ยังคงจับตาดูไว้พลางพูดเย้ยเยาะ “แกคงจะตั้งใจวางไว้สิท่า ให้พวกอวิ๋นจิ้งเตะ จากนั้นก็อาศัยจังหวะหลอกเอาเงิน? มีฉันอยู่แกอย่าหวังเลย ฉันจะดูอยู่ตรงนี้ ดูซิว่าแกจะยังมีลูกเล่นอะไรอีก!”

ตอนนี้เอง หม่าเจวียน ฟางอวิ๋นจิ้ง หูหานสามคนดูต้นโพธิ์เสร็จแล้วเดินออกมา หม่าเจวียนอยู่หน้าสุด พูดขึ้นด้วยความไม่ชอบใจ “ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นพระแม่กวนอิมปางประทานบุตร กลุ้มใจจัง พวกเราไม่มีแฟนจะขอลูกได้ด้วยเหรอ? พอแล้วจริงๆ…”

ขณะพูดอยู่นี้ หม่าเจวียนเดินสะดุด ตัวเอียงดิ่งลง ร้องเสียงแหลมเล็ก “กรี๊ด!”

“ระวัง!” จ้าวต้าถงตกใจ แต่พูดเตือนก็สายไปแล้ว

ปึก!

หม่าเจวียนเอาหัวชนเข้ากับบันไดแล้วกลิ้งลงไปนอนกับพื้น ก่อนกุมหัวพูดขึ้น “โอ๊ย เจ็บ!…นี่มันกลิ่นอะไร? เหม็นจัง…” ขณะบ่น หม่าเจวียนใช้มือหยิบของที่ตนเพิ่งกระแทกขึ้นมามองก็พบว่าเป็นรองเท้าข้างหนึ่ง จึงโมโหโดยพลัน “ใครมันชั่วแบบนี้หะ? ทำไมถึงวางรองเท้าไว้มั่วซั่วแบบนี้?”

“นั่นของอาตมาเอง” ตอนนี้เอง หลวงจีนหัวโล้นมาปรากฏกายตรงหน้าหม่าเจวียน จากนั้นหยิบรองเท้าในมือเธอไป จนเธอได้สติกลับมาแล้วก็รีบลุกขึ้นเตรียมจะต่อว่า ทว่าฟางเจิ้งเร็วกว่า เดินไม่กี่ก้าวก็เข้าไปในอุโบสถแล้วเดินอ้อมกลับกุฏิไป

หม่าเจวียนมีสีหน้าไม่ดีนัก บ่นพึมพำพูดถึงวัดและหลวงจีนเสียๆ หายๆ

แต่จ้าวต้าถงที่อยู่ข้างๆ กลับมองตามฟางเจิ้งไปด้วยสีหน้าตกใจ ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นภาพเมื่อครู่ไม่หยุด ฟางเจิ้งถอดรองเท้าวางไว้อย่างดี จากนั้นหม่าเจวียนล้มลงหัวกระแทก…นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือ? จ้าวต้าถงอยากบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญมาก แต่ก่อนหน้านี้ฟางเจิ้งบอกว่าหม่าเจวียนจะมีภัยนองเลือด ถ้าฟางเจิ้งไม่วางรองเท้าไว้ตรงนั้น ด้วยมุมแหลมของบันไดนั่นแล้ว เกรงว่าหม่าเจวียนคงได้นองเลือดไปแล้วแน่ นี่ก็เป็นภัยนองเลือดไม่ใช่เหรอ?

ไม่ใช่เพียงแค่จ้าวต้าถงที่อึ้งไป ฟางอวิ๋นจิ้งก็อึ้งงันเช่นกัน มองบันไดบนพื้นแล้วมองตรงหน้าผากหม่าเจวียน ก่อนมองไปยังฟางเจิ้งที่หายไปแล้ว ถามจ้าวต้าถง “จ้าวต้าถง ตอนพวกเราเข้ามาไม่เห็นมีรองเท้าเลยนี่ มันมาจากไหน?”

จ้าวต้าถงยิ้มเฝื่อน “ฉันพูดไปพวกเธอคงไม่เชื่อแน่ หมอนั่น…อะแฮ่มๆ เจ้าอาวาสคนนั้นจงใจถอดรองเท้าวางไว้บนขั้นบันได”

“จงใจให้ฉันเหม็นน่ะสิ? หรือไม่ก็ไม่ชอบหน้าฉัน?” หม่าเจวียนพูดขึ้นด้วยความโมโห

แต่ตอนนี้ฟางเจิ้งกำลังมีความสุข วินาทีที่หม่าเจวียนหัวกระแทกกับรองเท้า เขาก็ได้รับข่าวจากระบบ

“ติ๊ง! ช่วยชีวิตคนหนึ่งคนมีค่ามากกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ระบบจะให้โอกาสนายจับรางวัลฟรีหนึ่งครั้ง ถือว่าเป็นการให้กำลังใจ!”

ฟางเจิ้งหัวเราะ “ยังมีข้อดีนี้ด้วยเหรอเนี่ย? ทำไมนายไม่บอกฉันเร็วๆ? อืม ยังไม่จับดีกว่า ยังมีโอกาสจับรางวัลอีกครั้งรอฉันอยู่…อะแฮ่มๆ ไม่ใช่สิ ยังมีอีกคนรอที่ให้ฉันไปช่วยอยู่ ต้องรีบช่วยคน จะมามัวพูดไร้สาระกับนายไม่ได้แล้ว ว่าแต่เชือกฉันล่ะ?”

……………………..