ตอนที่ 19 กระดุมเสื้อเธอเปิดออก
“น้าจือเซี๋ยว พวกเราทำไมไม่ขึ้นไป?”
หลินจือเซี๋ยวมองไปที่อันหยาง ในใจเริ่มรู้สึกตื่นตระหนกราวกับเห็นเขาเป็นประธานจิ่งไปเสียแล้ว
“หยางหยาง หนูตามมาที่นี่ทำไมกัน ทำไมไม่นั่งรอที่โต๊ะ ไม่งั้นเดี๋ยวพวกเขาจะคิดว่าน้าจือเซี๋ยวกินอาหารแล้วชิ่งไม่ยอมจ่ายเงินนะ” หลินจือเซี๋ยวพูดพร้อมกับผลักเขาเบา ๆ
“แม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ไหม ผมต้องขึ้นไปดู” อันหยางพูดจบก็รีบเอื้อมมือไปกดปุ่มที่ลิฟต์ทันที
หลินจือเซี๋ยวรีบขวางเอาไว้ แต่ขณะนั้นลิฟต์ก็เปิดออกพอดี
“น้าจือเซี๋ยว” อันหน่วนในชุดเจ้าหญิงลูกไม้สีชมพูยิ้มและเดินออกมาจากลิฟต์
หลินจือเซี๋ยวมองเข้าไปในลิฟต์ก็พบว่าไม่มีใคร หัวใจที่ตึงเครียดก็พลันปล่อยวางลง
“หน่วนหน่วน แม่อยู่ข้างบนงั้นเหรอ? ทำไมไม่ลงมากับเธอด้วย?” อันหยางจับน้องสาวของตนเองไว้ ใบหน้าเล็ก ๆ ที่แสนเย็นชานั้นเต็มไปด้วยความกังวล
อันหน่วนยิ้มและกะพริบตาแบ้ว ๆ ให้ “พี่จ๋า พวกเรามักจะพูดกันใช่ไหมว่าเป็นลูกไม่มีพ่อ แต่หนูอยากมีพ่อแล้ว”
หลินจือเซี๋ยวรู้ดี อันโหรวในยามนี้อยู่กับประธานจิ่งภายในห้อง…และเธอก็หวังให้โหรวโหรวเจอผู้ชายที่พึ่งพิงได้
ถึงแม้ว่าจะพูดไม่ได้เต็มปากว่าประธานจิ่งนั้นสามารถพึ่งพิงได้ เนื่องจากไม่กี่วันก่อนหน้านั้นประธานจิ่งเพิ่งจะมีข่าวมากมายก็ตาม เกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งและก็ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เพียงแต่เขาจำหน้าตาของหญิงสาวเหล่านั้นไม่ได้เลย พูดไปก็เปล่าประโยชน์ เมื่อเห็นหน้าตาผู้หญิงก็กลายเป็นเย็นชาขึ้นมาทันที
“หน่วนหน่วน ถึงแม้ว่าพี่อยากจะมีพ่อ แต่ถ้าหากพ่อที่ไม่ดีกับแม่ก็ไม่เอานะ พวกเราจะทำยังไงกับเขา? รอโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ พี่จะปกป้องแม่และเธอเอง” อันหยางที่เหมือนผู้ใหญ่ตัวน้อยตบไปที่ไหล่ของหน่วนหน่วนเบา ๆ
อันหน่วนกัดริมฝีปาก ก่อนจะพยักหน้าให้ “พี่ชาย พวกเราขึ้นไปหาแม่จ๋ากันเถอะ”
“ได้” อันหยางพูดจบก็เอื้อมมือไปกดปุ่มที่ลิฟต์อีกครั้ง
หลินจือเซี๋ยววิตกกังวลขึ้นมาทันที เธอรีบดึงข้อมือของอันหยางเอาไว้ “หยางหยาง กลับบ้านไปกับน้าเถอะ แม่ของหนูไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก”
คงเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่ ถ้าหากอันหยางได้พบกับประธานจิ่ง
ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด แต่ก็ดูเหมือนกันมาก คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะ…
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่มือของเธอเอื้อมไปที่อันหยางนั้น เขาก็ได้ให้อันหน่วนกดปุ่มที่ลิฟต์แทนแล้ว
ภายในห้องหรูหราชั้นที่สิบแปด อันโหรวบังเอิญวิ่งเข้าไปชนที่แขนของจิ่งเป่ยเฉิน ลมหายใจของผู้หญิงที่หอมกรุ่นแตะที่ปลายจมูกของเขาทันที
“ให้คุณเขียนแผนการ ไม่ใช่ให้ทำแบบนี้”
ทันใดนั้นอันโหรวก็ยกศีรษะขึ้น เพียงแต่ดันกระแทกไปที่คางของเขาเสียได้
ตอนนี้เขายังไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้า อาจจะเป็นเพราะหน้าร้อน เสื้อผ้าของเธอเองก็บางมาก เธอรู้สึกได้ทันทีว่าผิวหนังของเธอนั้นสัมผัสใกล้ชิดกับเขามากเกินไป
จะบ้าตายจริง ๆ
“คุณขยับตัวให้น้อย ๆ หน่อยเถอะ เสื้อผ้าเดี๋ยวหลุดหมดพอดี” จิ่งเป่ยเฉินมองไปยังกระดุมเสื้อก็พลันเหลือบเห็นหน้าอกของเธอ
อันโหรวรีบหันมาดู ใบหน้าของเธอพลันเปลี่ยนสีและรีบติดกระดุม แต่ทว่ามันถูกเปิดจนเห็นไปแล้ว
“ผิวของคุณก็ขาวนะ แต่ทำไมใบหน้าของคุณถึงได้ซีดเหลืองแบบนี้?” เขาปล่อยแขนเธอออกและเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ทันทีอันโหรวที่พลิกตัวได้ก็รีบติดกระดุมทันที “ไม่ใช่เรื่องของคุณ”
ห้าปีผ่านมาแล้ว เขาก็ยังหน้าด้านหน้าทนไม่เปลี่ยน
แค่ประโยคเดียวของเธอนั้นก็ทำให้เขาพลันคิดถึงใครบางคน ดวงตาค่อย ๆ ปิดจนมืดลง
“คุณจะให้ฉันเขียนให้เสร็จ แล้วถึงจะปล่อยฉันไป?” อันโหรวเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาที่เย่อหยิ่ง
จิ่งเป่ยเฉินเอนกายพิงที่เก้าอี้ มือทั้งสองข้างเขาวางไปที่หน้าอกพลางเอ่ยว่า
“ใช่”
“งั้นคงต้องรบกวนให้คุณหาเสื้อผ้ามาใส่ก่อน มันส่งผลต่อการคิดของฉัน” อันโหรวเหลือบมองเขา ก่อนจะรีบขยับตัวเองไปที่โน้ตบุ๊กอย่างรวดเร็ว
เขามองไปที่ผู้หญิงที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้และทำท่าค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว ด้วยความจริงจังที่ต้องการเขียนแบบนี้ทำให้เขาเกือบจะลืมใบหน้าที่แสนน่าเกลียดของเธอไปเลย
ทำไมเขาถึงจำได้นะ? ฉีเซิ่งเทียนเคยบอกว่าเขานั้นมีภาวะหลงลืมใบหน้า จำได้แค่แม่ของตัวเองและผู้หญิง…
แต่ทำไมกัน ทำไมเขาถึงจำเธอได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ?
เธอคืออันอีหาน ไม่ใช่อันโหรวเสียหน่อย
“ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตน้อยเกินไป ในอีเมลของแผนกวางแผนต้องมีข้อมูลแน่ ๆ ส่งมาให้ฉันทีสิ”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเธอ จิ่งเป่ยเฉินก็ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะจงใจพูดประโยคหนึ่งขึ้นมาว่า “ถ้าหากผมพูดว่าไม่มี?”
“ไม่มี?” เธอพูดจบก็พลันหัวเราะอย่างประชดประชัน