การตรวจสอบข้าราชสำนักเป็นระบบการประเมินข้าราชสำนักต้าฟ่งที่จะดำเนินการทุกๆ สามปี โดยใช้ ‘สี่รูปแบบและแปดวิธี’[1] เป็นมาตรฐานของการเลื่อนขั้นและลดขั้น

ขุนนางที่ไม่ผ่านเกณฑ์จะถูกลดตำแหน่ง หรือถึงขนาดถูกลดขั้นเป็นสามัญชน

พอเรื่องเกี่ยวพันถึงอนาคตก็เข้าใจได้ง่ายแล้ว อีกฝ่ายยังมีญาติห่างๆ คนหนึ่งเป็นขุนนางใกล้ชิดอีก หากกลับลำมากล่าวโทษก็จบเห่แล้ว

คดีฆาตกรรมที่ค้างอยู่ในอำเภอฉางเล่อก็สามารถกลายเป็นสาเหตุให้ศัตรูทางการเมืองโจมตีได้

“ตายอย่างไร” สวี่ชีอันเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ

“ไปเก็บค่าเช่าที่ชนบท กลับมาตอนกลางดึกก็เจอหัวขโมยอยู่ในลานบ้านตัวเองพอดี จากนั้นก็โดนฆ่า” สหายร่วมงานคนหนึ่งพูดเสียงเบา

“มีพยานหรือไม่” สวี่ชีอันเอ่ย

“ตอนที่ฮูหยินได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวแล้วออกไปดู คนก็ตายอยู่ที่ลานบ้านแล้ว เราพบรอยเท้าที่กำแพงด้านนอก”

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจเป็นศัตรูที่แสร้งทำเป็นขโมยแล้วก่อเหตุ” สวี่ชีอันรินชาให้ตนเอง เขาหยิบผลไม้แช่อิ่มสองสามชิ้นมาจากเพื่อนร่วมงานแล้วโยนลงไปในถ้วยชา

น้ำเสียงของเขาเหมือนยามที่คุยเรื่องคดีฆาตกรรมกับเพื่อนร่วมงานในสถานีตำรวจเมื่อชาติก่อน

“สอบถามฮูหยิน คนใช้และเพื่อนบ้านในละแวกนั้นแล้ว ช่วงนี้ผู้ตายไม่มีเรื่องบาดหมางกับผู้ใด”

“ได้ถามหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลรึเปล่า”

“กองดาบบอกว่าคืนนั้นไม่มีคนน่าสงสัยอยู่ใกล้ๆ”

เมืองจิงจ้าวมีกำแพงสามแห่ง ได้แก่ กำแพงพระราชวัง เมืองชั้นในและเมืองชั้นนอก

ถึงแม้เมืองชั้นนอกจะมีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล แต่เพราะไม่จำกัดช่วงเวลาห้ามออกนอกเคหสถาน ประตูเมืองจึงเปิดตลอดสิบสองชั่วยาม (1 ชั่วยาม เท่ากับ 2 ชั่วโมง) ขอเพียงพวกพ่อค้ารายงานล่วงหน้าและถือหนังสือรับรองมาก็สามารถเข้าออกประตูเมืองได้อย่างอิสระ

ระบบนี้ยกระดับธุรกิจการค้าของเมืองจิงจ้าวและกระตุ้นการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างมาก

สวี่ชีอันพยักหน้า “เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ถ้าหากเป็นโจรก็น่าจะเป็นคนที่รู้จักถนนคังผิงดีประดุจนิ้วบนฝ่ามือ”

“เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น” เจ้าหน้าที่ทุกคนชะงัก

“คนร้ายเข้าออกจวนในยามกลางคืนได้โดยไม่ถูกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลพบเห็น แสดงว่าคงดูลาดเลามาก่อนและรู้ระเบียบเวรยามของกองดาบเป็นอย่างดี” สวี่ชีอันวิเคราะห์พลางคลำหาบุหรี่ในกระเป๋าตามนิสัยเดิม

เขาคลำเจอความว่างเปล่าด้วยความผิดหวัง

อดนึกถึงตอนเข้าเวรอยู่ที่สถานีตำรวจในสมัยก่อนไม่ได้ ตอนนั้นทุกคนจะนั่งอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มๆ สูบบุหรี่ไปพลางคุยเรื่องคดีไปพลาง

เพราะเหตุนี้เขาจึงกลายเป็นพวกใกล้หมึกติดดำ[2] และติดบุหรี่

เพื่อนร่วมงานหลายคนตะลึง พากันพินิจมองสวี่ชีอัน

“เจ้าพูดมีเหตุผล”

“เหตุใดพวกเราจึงคิดไม่ถึง”

“หนิงเยี่ยน เจ้าติดคุกคราหนึ่งก็ฉลาดขึ้นมาเลย”

สมัยนี้ไม่มีการเรียนการสอนที่เป็นระบบ มือปราบจึงอาศัยประสบการณ์มาทำคดีล้วนๆ คนที่ผลงานดีที่สุดจึงจะได้ขึ้นเป็นหัวหน้า

“พวกเจ้าคาดไม่ถึง แต่หัวหน้าหวังจะต้องคิดได้แน่ แล้วไปสอบถามทางฝั่งตะวันตกของเมืองหรือยัง” สวี่ชีอันถ่อมตัวไม่โอ้อวด

สหายร่วมงานตอบกลับ “สอบถามมาแล้วสองวัน แต่ก็ไม่ได้ผู้ต้องสงสัย”

ทางตะวันตกของเมืองเป็นเขตชุมชนแออัด มีแต่พวกที่ชอบลักเล็กขโมยน้อย ดีเลวปะปนกันไป มักจะเกิดปัญหาความวุ่นวาย พวกเจ้าหน้าที่ก็มักจะพาเจ้าหน้าที่พลเรือนวิ่งไปจับกุมคนที่นั่น

“เงินหายไปเท่าไร” สวี่ชีอันที่เริ่มวิเคราะห์อยู่ในใจโดยไม่รู้ตัวเอ่ยถามขึ้น

สหายร่วมงานคนหนึ่งชำเลืองมองสวี่ชีอัน รู้สึกว่าน้ำเสียงของเขาคล้ายกับท่านนายอำเภออยู่เล็กน้อย เขาตอบกลับว่า “ไม่ได้หาย ผู้ตายเพิ่งเก็บค่าเช่ากลับมา สิ่งที่เก็บกลับมาล้วนเป็นเศษเงิน เหรียญทองแดง และธัญพืช หลังคนร้ายฆ่าคนแล้วจะนำหีบเงินขนาดใหญ่หนีไปด้วยได้อย่างไร”

ไม่ถูกต้องสิ

สวี่ชีอันหรี่ตาลง ถ้าข้าเป็นคนร้ายและเคยดูลาดเลามาก่อน เช่นนั้นข้าจะเลือกขโมยวันอื่น ไม่ใช่วันนี้

เขาไม่ได้กล่าวข้อสงสัยนี้ออกมา แต่นั่งแทะเมล็ดแตงโมฟังเพื่อนร่วมงานคุยสัพเพเหระต่อไป

“น่าเสียดายฮูหยินคนงามเช่นนั้น อายุยังน้อยก็ต้องเป็นม่ายแต่ยังสาว ไหนจะรูปร่างนั่นอีก จิ๊ๆ ในหอคณิกาก็หามีผู้หญิงที่โดดเด่นเช่นนี้ไม่ แม้ต้องจ่ายสักสองเหรียญเงินสำหรับหนึ่งคืนข้าก็เต็มใจ”

“นางก็อายุไม่น้อยแล้ว แค่อ่อนกว่าคนแซ่จางยี่สิบปี เหมือนจะอายุสามสิบต้นๆ ผู้หญิงวัยนี้เป็นม่ายดีที่สุดแล้ว”

เมื่อฟังถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็เอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ฮูหยินวัยสามสิบก็ดีเลยน่ะสิ รู้ความ เอาอกเอาใจเป็น”

คำกล่าวแบบผู้ใหญ่มากประสบการณ์แต่สหายร่วมงานกลับไม่ยอมรับ ทุกคนมองเขาแล้วหัวเราะเยาะยกใหญ่

การเดินเส้นทางสายยุทธ์นั้น หากยังไม่ทะลวงระดับฝึกลมปราณก็ไม่อาจทลายพรหมจรรย์ได้ หากปราณหยางกระจัดกระจายก็ยากจะเปิดประตูสวรรค์

ดังนั้นสวี่ชีอันจึงยังไม่เคยยอมจำนนต่อเสน่หาของหญิงสาวมาก่อน

ห้องโถงด้านหลังที่พักท่านนายอำเภอ

หัวหน้าหวังเป็นชายผิวคล้ำ เขาก้มหน้าต่ำราวกับชาวนาแก่ๆ บนคันนาขณะรับฟังคำตำหนิของท่านนายอำเภออย่างไร้จิตวิญญาณ

ท่านนายอำเภอมีแซ่จู เป็นชายรูปร่างอวบขาวร่ำรวย พื้นเพเป็นคนเยี่ยนโจว และเป็นบัณฑิตขั้นสูงของซานเจี๋ย[3]สมัยหยวนจิ่งในรอบยี่สิบปี เก่งเรื่องเอาตัวรอดแต่ไม่เชี่ยวชาญงานราชการ ด้านธุรกิจไม่มีอะไรให้ต้องพูดถึง แต่เป็นบัณฑิตที่รู้จักหนทางการเป็นขุนนางได้อย่างดีเยี่ยม

ข้อดีคือนับว่ามีมโนธรรม ไม่โลภมาก แม้ไร้ความสามารถแต่ก็ไม่เดือดร้อนประชาชน

ข้อเสียคือปฏิบัติกับลูกน้องไม่ดี มักจะหยาบคายใส่ได้ง่ายๆ

“อ่อนหัด ช่างอ่อนหัดยิ่งนัก”

เมื่อรู้ว่าตั้งแต่เมื่อวานหัวหน้าหวังก็ยังไม่มีความคืบหน้าใด นายอำเภอจูจึงอารมณ์เสีย

“ชั่วดีอย่างไรเจ้าก็เป็นมือฉมังมากประสบการณ์ คดีฆาตกรรมเล็กๆ แค่นี้หลายวันแล้วกลับยังไม่ได้เบาะแสอะไรอีก”

เหงื่อออกที่หน้าผากหัวหน้าหวัง เขากระสับกระส่ายเหมือนมีเข็มแทงหลัง

การตรวจสอบข้าราชสำนักที่ใกล้จะมาถึงทำให้นายอำเภอจูหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม…ผู้คุมหลี่ไม่กล้าเอ่ยแทรก แม้ว่าเขาจะเป็นสหายเก่าแก่กับหัวหน้าหวังมาสิบกว่าปีแล้วก็ตาม

ผู้คุมหลี่รู้ว่าท่านนายอำเภอคิดแต่จะเลื่อนขั้นอยู่ตลอด และการเลื่อนขั้นขุนนางจำเป็นต้องมีเงื่อนไขสองอย่างคือ เส้นสายและความสำเร็จในหน้าที่

ไม่มีความสำเร็จ มีแต่เส้นสาย ก็จะถูกกล่าวโทษได้ง่าย ตำแหน่งไม่มั่นคง

มีความสำเร็จและมีเส้นสายสิถึงจะเลื่อนขั้นได้อย่างมั่นคง

ความสำเร็จทางหน้าที่มาจากไหนน่ะเหรอ

การตรวจสอบข้าราชสำนักนั้นเป็นมาตรฐานการประเมินที่สำคัญ

หนึ่งเค่อ[4]ต่อมา นายอำเภอจูก็เก็บสายตากลับแล้วจิบถ้วยชา

ธรรมเนียมในแวดวงข้าราชสำนัก จิบชาเท่ากับส่งแขก

เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ ผู้คุมหลี่ก็ดึงตัวหัวหน้าหวังที่ก้มหน้าไม่พูดจา จากนั้นทั้งสองก็จากมาด้วยความอับอาย

หัวหน้ามือปราบหวังกลับไปยังห้องพักด้วยสีหน้าย่ำแย่ ห้องอันอึกทึกวุ่นวายพลันเงียบลง ทุกคนมองไปที่หัวหน้าหวังอย่างระมัดระวัง

“หัวหน้า นายอำเภอจูด่าท่านอีกแล้วหรือ”

หัวหน้าหวังกลอกตา เขาคว้าถ้วยชาขึ้นมาจิบ “แม่มันเถอะ คนก็ตายคนร้ายก็หาย จะให้ไปหาจากที่ใด เป็นวันซวยของข้าจริงเชียว ข้ายังทำเงินหายไปอีกหนึ่งเฉียนด้วย”

เงินนั่นข้าเก็บได้น่ะ …สวี่ชีอันย่นคอ ยกน้ำชาขึ้นจิบปกปิดความผิด

เห็นได้ชัดว่าเงินมันไม่มีวาสนากับเจ้าแล้ว

หลังจากได้ยินหัวหน้าหวังบ่น มือปราบน้อยคนหนึ่งก็เสนอความคิดแย่ๆ ออกมา “ถ้าอย่างนั้น เหตุใดไม่จับปลาเสียเลยล่ะขอรับ”

สวี่ชีอันคิ้วกระตุก

จับปลา ศัพท์เฉพาะในแวดวงข้าราชสำนักชั้นต่ำ

หมายถึงการหาแพะรับบาป

เพราะเทคโนโลยีและอุปกรณ์ถูกจำกัด คดีความส่วนใหญ่ในสมัยโบราณจึงจับมือใครดมไม่ได้ อัตราการคลี่คลายคดีก็ต่ำมาก บางครั้งเจ้าหน้าที่ต้องเร่งทำผลงานเพราะถูกเบื้องบนกดดันลงมา และเพื่อให้นำไปรายงานปิดคดีได้จึงต้องหาแพะรับบาปมาแทนที่

กระบวนการเป็นเช่นนี้ อันดับแรกเจ้าหน้าที่ในท้องที่จะสุ่มเลือกอันธพาลที่มักกระทำผิดบ่อยๆ มากลุ่มหนึ่ง แล้วเขียนชื่อลงบนกระดาษ พับให้ดี จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะสุ่มจับออกมาหนึ่งใบ

จับโดนชื่อใคร คนนั้นก็เป็นแพะรับบาป

ดังนั้นจึงเรียกว่าจับปลา

หลังจากได้ตัวผู้เคราะห์ร้ายแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะไปจับคน ก่อนพากลับมายังกระบวนการที่เรียกว่า ‘ทรมานจนรับสารภาพ’ ในที่ว่าการต่อไป คนกระดูกแข็งแค่ไหนก็ยังต้องยอมรับผิด

เบื้องบนพอใจ เจ้าหน้าที่ชั้นกลางได้คำชื่นชม เหล่าเจ้าหน้าที่ได้บำเหน็จ เจ้านายได้ดี ข้ารับใช้ก็ได้ดี ทุกคนได้ดี

แพะรับบาปก็ไม่ใช่ว่าไร้ความยุติธรรม ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นอันธพาล ส่งเขาไปเวียนว่ายตายเกิดเร็วขึ้นก็เพื่อประโยชน์สุขของชาวบ้านใกล้เคียงด้วย

เรื่องสกปรกประเภทนี้เกิดขึ้นในแวดวงขุนนางมากมายเหลือเกิน

หัวหน้าหวังพยักหน้า “มีแต่ต้องทำแบบนี้แล้ว เสียวหลี่ เรื่องนี้ให้เจ้าไปจัดการ เลือกพวกที่ชั่วๆ อายุเยอะๆ มาสักสองสามคน”

เสียวหลี่กำลังจะพยักหน้า สวี่ชีอันขมวดคิ้ว “ช้าก่อน หัวหน้า คดีนี้มีจุดน่าสงสัยอยู่มาก ยังไม่ถึงทางตันหรอกขอรับ”

สวี่ชีอันไม่ยอมรับตรรกะเช่นนี้

ถึงจะไม่ได้เป็นตำรวจมาหลายปี แต่ปรัชญาสามทัศน์[5]ที่สร้างขึ้นตอนนั้นก็ยังคงอยู่

แม้คนผู้นั้นจะเป็นอันธพาลที่เคยกระทำความผิด แต่ก็ไม่ได้ผิดจนต้องตาย แม้ตายไปก็สาสม แต่มันก็คนละเรื่องกัน

ทางนี้หาคนมารับผิดแทน ไม่ใช่ว่าเป็นการยกผลประโยชน์ให้คนร้ายตัวจริงหรืออย่างไร

หัวหน้ามือปราบหวังหน้าบึ้งตึง ไม่พูดอะไร แต่มองเขาด้วยความไม่พอใจ

ทุกคนพากันโน้มน้าว

“หนิงเยี่ยน เจ้าอย่ามากเรื่อง”

“หัวหน้าโดนด่าทุกวัน แล้วมันก็เป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ด้วย อีกอย่างนั่นก็เป็นแค่อันธพาลที่มักจะทำผิดอยู่บ่อยๆ”

คนที่มีความสัมพันธ์ด้วยดีหน่อยก็กล่าวว่า “หัวหน้า ครอบครัวของหนิงเยี่ยนเพิ่งจะประสบเรื่องร้ายมา จึงค่อนข้างอ่อนไหวกับเรื่องประเภทนี้อยู่สักหน่อยน่ะขอรับ”

หัวหน้าฟังหูซ้ายทะลุหูขวา เขาจดจ้องอยู่ที่สวี่ชีอัน หน้าตาบึ้งตึงด้วยความไม่พอใจ “เจ้าบอกมาสิว่าจะสืบคดีอย่างไร”

“เอาสำนวนคดีมาให้ข้า” สวี่ชีอันกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม

……………………………………………..

[1] สี่รูปแบบและแปดวิธี เป็นระบบตรวจสอบเจ้าหน้าที่ในสมัยโบราณ โดย ‘สี่รูปแบบ’ เป็นเนื้อหาการประเมินเจ้าหน้าที่ และ ‘แปดวิธี’ เป็นเกณฑ์แปดประเภทสำหรับการตรวจสอบเจ้าหน้าที่

[2] ใกล้หมึกติดดำ หมายถึง เข้าใกล้คนแบบไหนก็จะกลายเป็นคนแบบนั้น เป็นการกล่าวว่าสภาพแวดล้อมมีผลกระทบอย่างมากต่อผู้คน

[3] ซานเจี๋ย คือ ระดับขั้นที่สามของระบบการสอบคัดเลือกเข้ารับราชการของจักรพรรดิในสมัยโบราณ

[4] หนึ่งเค่อ เทียบเท่ากับเวลา 15 นาที

[5] ปรัชญาสามทัศน์ หมายถึง ทัศนคติสามด้าน ความเข้าใจใน ‘ปรัชญาสามทัศน์’ จะทำให้คนในองค์กรสามารถพิจารณาความเห็นที่ต่างกันได้ง่ายขึ้น โดยการแบ่งมุมมองด้านต่างๆ ประกอบด้วย 1) โลกทัศน์ หมายถึง มุมมองที่มีต่อ สิ่งรอบตัว ผู้คนรอบตัว สังคม โลก และจักรวาล ทั้งที่มีและไม่มีตัวตน 2) ชีวทัศน์ หมายถึง มุมมองที่มีต่อชีวิต ความเชื่อ สิ่งที่ยึดถือ ของคนเรา และ 3) ค่านิยม หมายถึง มุมมองในการให้คุณค่ากับสิ่งต่างๆ