เหยาเยี่ยนอวี่ที่ยื่นมือออกไปแล้ว ทำได้เพียงดึงกลับมาช้าๆ เหยาเฟิ่งเกอปรายตามองจู้ซื่อด้วยสายตาเย็นชา โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา
เฟิงฮูหยินน้อยและซุนฮูหยินน้อยเดินมาพร้อมรอยยิ้ม เหยาเฟิ่งเกอเดินหน้าสองก้าว พลางยกยิ้มเล็กน้อย และพูดขึ้น “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง”
“สีหน้าของเจ้านับวันก็ยิ่งดีขึ้น เมื่อครู่พวกเราเพิ่งพูดถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ในปีนี้ พวกเราทั้งครอบครัวจะได้ร่วมโต๊ะอาหารอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันเสียที” เฟิงฮูหยินน้อยจับมือของเหยาเฟิ่งเกอเอาไว้ พลางปรายตามองซุนฮูหยินน้อย แล้วแย้มยิ้ม
ซุนฮูหยินน้อยยิ้มขึ้นทันใดแล้วรีบพูด “เช่นนั้น คราวก่อนตอนที่อยู่ในตำหนักขององค์หญิงต้าจั่ง องค์หญิงต้าจั่งทรงตรัสถึงน้องสะใภ้สามอยู่หลายครั้ง โชคดียิ่งนักที่สวรรค์คุ้มครอง ทำให้ท้ายที่สุดอาการป่วยของน้องสะใภ้สามก็ดีขึ้นมาก”
เหยาเฟิ่งเกอยิ้มบาง “ช่วงเวลาที่ข้าป่วย ทำให้พี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองต้องคอยกังวลใจแล้วเจ้าค่ะ”
สะใภ้ทั้งสามพูดคุยกัน แล้วนั่งลง
ซานหูสั่งให้บ่าวนำถ้วยน้ำชามาเพิ่มอีกสองใบตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เหยาเฟิ่งเกอเป็นคนยกกาน้ำชาและจะรินน้ำชาให้พี่สะใภ้ทั้งสองกับมือตนเอง ทว่ากาน้ำชากลับถูกซุนฮูหยินน้อยแย่งไปทันที พร้อมกับยื่นให้สาวใช้คนสนิทของนางที่มีนามว่าซิ่วเจวียน “เจ้าเพิ่งหายดีจากการป่วยหนัก ร่างกายยังอ่อนแออยู่ พวกเราที่เป็นสะใภ้เหมือนกันยังจะต้องทำตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดอีกหรือ ให้พวกสาวใช้รินเถอะ”
พวกนางพูดคุยเล่นกันเพียงไม่กี่คำ เฟิงฮูหยินน้อยเอ่ยชมว่าเหยาเยี่ยนอวี่มีอารมณ์เย็นและโฉมหน้างดงามมาก และซุนฮูหยินน้อยที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยชมอย่างเกินจริงด้วยเช่นเดียวกัน จากนั้นนางก็พูดในสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้ “ช่างน่าเสียดายนักที่ตระกูลพวกเราไม่มีคุณชายสี่”
เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที นางยิ้มจางๆ พลางก้มหน้าจิบชา หลี่หมัวมัวที่ยืนอยู่ข้างๆ เดินขึ้นหน้ามาปรามเหยาเฟิ่งเกอที่กำลังเอาบ๊วยเค็มเม็ดหนึ่งมากิน “นายหญิงเจ้าคะ ตอนเช้านายหญิงยังบ่นว่าท้องไส้ไม่ดีอยู่เลย เวลานี้อย่ากินของเปรี้ยวเลยเจ้าค่ะ”
เหยาเฟิ่งเกอเอาบ๊วยวางกลับไป แล้วกล่าวค้านเสียงเบา “เจ้าก็เป็นเยี่ยงนี้ คอยควบคุมข้าทั้งวัน เดี๋ยวก็บอกว่าทำเช่นนี้ไม่ได้ เดี๋ยวก็บอกว่าทำเช่นนั้นไม่ได้”
หลี่หมัวมัวรีบค้อมตัวลงเพื่อขอให้นายหญิงอภัยโทษ “นายหญิงได้โปรดอย่าโกรธเคืองเลยเจ้าค่ะ บ่าวเพียงแค่นึกถึงสุขภาพร่างกายของนายหญิง จนลืมฐานะของบ่าวไปชั่วครั้งชั่วคราว นายหญิงได้โปรดลงโทษบ่าวเถอะเจ้าค่ะ”
เหยาเฟิ่งเกอกลับยิ้มพลัน “ลงโทษอะไรกัน เจ้าซื่อสัตย์ต่อข้ามากน้อยเพียงใด ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร” กล่าวจบ นางจึงโบกมือ เพื่อบอกให้หลี่หมัวมัวถอยไป
“เจ้าค่ะ บ่าวขอบพระคุณในความเมตตาของนายหญิงเจ้าค่ะ” หลี่หมัวมัวรีบค้อมตัวลงอีกครั้ง พลางถอยไปอยู่ด้านหลังอย่างรู้มารยาท
เฟิงฮูหยินน้อยยิ้มพลางพูดขึ้น “เจ้าก็เข้มงวดเกินไปแล้ว ข้าเห็นว่านางหวังดีต่อเจ้าจริงๆ เจ้าป่วยมาเนิ่นนาน โชคดีที่มีบ่าวพวกนี้คอยปรนนิบัติรับใช้มาตลอด”
“พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวถูกแล้ว” เหยาเฟิ่งเกอยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “นางเป็นแม่นมที่จงรักภักดีต่อข้า นางคือบ่าวที่เกิดในจวนเหยา ทั้งครอบครัวไม่ว่าจะเป็นป้าหรือน้าของนาง ต่างก็อยู่รับใช้ในจวนเหยา นางไม่มีวันทรยศข้าอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
เฟิ่งฮูหยินน้อยและซุนฮูหยินน้อยได้ยินเช่นนี้จึงพยักหน้า คำพูดนี้ของเหยาเฟิ่งเกอนั้นกล่าวไม่ผิดแม้แต่น้อย
เหยาเฟิ่งเกอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วคลี่ยิ้ม “ข้าตัวติดกับแม่นมตลอดทั้งวันตั้งแต่เด็ก ท่านแม่ของข้ามัวแต่ยุ่งกับการงาน จึงไม่ค่อยมีเวลามาสนใจข้า ในตอนหลัง มีครั้งหนึ่งที่ข้าป่วย ท่านแม่รู้สึกเอ็นดูข้ายิ่งนัก ตอนกลางคืนจึงได้ให้ข้านอนในเรือนของนาง ทว่าข้ากลับนอนไม่หลับ ต้องให้แม่นมอยู่ข้างกายถึงจะหลับได้ ด้วยเหตุนั้นข้าเอาแต่โวยวายร้องหาแม่นมเจ้าค่ะ”
“หลายปีมานี้ ข้าแต่งเข้ามาในจวนโหว พอนึกย้อนดูแล้ว ก็ไม่ได้เจอท่านแม่มาเกินกว่าสองปีแล้ว โชคดีที่มีแม่นมอยู่ใกล้ ทำให้ข้าไม่ได้รู้สึกคิดถึงคนในครอบครัวมากขนาดนั้น” เหยาเฟิ่งเกอพูดพลางหันไปมองจู้ซื่อที่ยืนอยู่ด้านหลังเฟิงฮูหยินน้อย จากนั้นนางก็กล่าวเพิ่มเติมอีกประโยคหนึ่ง “ข้าเห็นว่าแม่นมของจิ่นอวิ๋นก็ดีทีเดียว นางสามารถใส่ใจและดูแลจิ่นอวิ๋นเป็นอย่างดี อนาคตตอนที่จิ่นอวิ๋นออกเรือนแล้ว ก็คงต้องให้นางติดตามไปด้วย หากเป็นเช่นนี้ พี่สะใภ้ใหญ่ก็คงไม่ต้องกังวลแล้ว”
เหยาเฟิ่งเกอพูดร่ายยาว คำพูดและน้ำเสียงนั้นช่างรื่นหูและน่าประทับใจยิ่งนัก
ซุนฮูหยินน้อยไม่ได้คิดอะไรนัก แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเฟิงฮูหยินน้อยกลับจางลงนิดหน่อย
เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย นางรู้สึกว่าเหยาเฟิ่งเกอไม่ใช่คนที่กล่าวมากเรื่อง แต่เหตุใดต่อหน้าเฟิงฮูหยินน้อยและซุนฮูหยินน้อยกลับเป็นคนกล่าวมากความได้ถึงเช่นนี้เล่า นางคิดว่าเหยาเฟิ่งเกอต้องมีจุดประสงค์อะไรบางอย่าง แต่เหตุใดนางถึงคาดเดาไม่ออกว่าคืออะไร
พวกนางจิบน้ำชาไปหนึ่งกา ซุนฮูหยินน้อยเอ่ยขึ้น “เจ้าป่วยมานานเพียงนี้ ร่างกายยังคงอ่อนแอ ที่ตรงนี้ใกล้บ่อน้ำ ความชื้นเลยมากเกินไป ทางที่ดีก็อย่าได้นั่งนานเกินไปเลย”
บรรดาสะใภ้ทั้งสามต่างทยอยลุกขึ้นตามๆ กัน ซูจิ่นเซวียนร้องไห้โวยวายว่าอยากไปพายเรือเล่น ซูจิ่นอวิ๋นได้ยินเช่นนี้จึงได้เข้าไปเกลี้ยกล่อม ซุนฮูหยินน้อยทำได้เพียงสั่งให้บ่าวรับใช้ที่มีหน้าที่ดูแลเรือมา พลางสั่งแม่นมพาเด็กน้อยสองคนไปพายเรือ
เหยาเฟิ่งเกอก็รู้สึกร่างกายเริ่มอ่อนเพลียขึ้นเรื่อยๆ จึงพาเหยาเยี่ยนอวี่กลับไปก่อน
ผ่านไปสองวัน เฟิงฮูหยินน้อยเห็นว่าจู้ซื่อนอนหลับลึกเกินไปจนอวิ๋นเจี่ยเอ๋อร์ร้องไห้ไปหลายครั้ง ทว่านางกลับไม่ได้ยิน จึงไล่นางออกจากจวนด้วยเหตุผลที่ว่านางหลับเยี่ยงคนตาย พอแม่นมของเหยาเยี่ยนอวี่เฝิงหมัวมัวรู้เรื่องเข้า จึงยิ้มพลางเอ่ยเสียงเบา “ฮูหยินน้อยสามได้ออกหน้าออกตาแทนคุณหนูแล้วเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่คาดเดาออกทันทีว่าคำพูดในวันนั้นที่เหยาเฟิ่งเกอเอ่ยขึ้นต่อหน้าเฟิงฮูหยินน้อยนั้นมีประโยชน์อย่างไร ทันใดนั้นนางจึงอุทานในส่วนลึกของจิตใจ พี่สาวบุตรีมารดาเอกผู้นี้ถือเป็นยอดฝีมือผู้ปราบเรือนหลังของจวนตระกูลชั้นสูงเสียจริง ยืมกำลังผู้อื่นมาโจมตีคน ยืมดาบผู้อื่นมาสังหารคน ยุให้รำตำให้รั่วเรื่องอะไรเช่นนี้ ช่างเป็นยอดฝีมือในการลงมือกระทำทุกอย่างเสียจริง!
หลังจากนั้นสองวัน คุณชายรองเหยาเข้าเมืองมาทำธุระ และได้มาเยือนจวนติ้งโหวเพื่อเยี่ยมเยียนเหยาเฟิ่งเกอและเหยาเยี่ยนอวี่ น้องสาวทั้งสองคนของเขา
เดิมทีเหยาเฟิ่งเกอที่อาการดีขึ้นมามาก ก็ได้ส่งสารกลับไปให้จวนข้าหลวงใหญ่ผู้ปกครองสองเมืองรับทราบ แต่ตระกูลเหยาไม่คดว่านั่นเป็นความจริง มองว่าจดหมายที่เขียนมาเป็นเพียงการปลอบโยนที่ได้จากจวนติ้งโหวเท่านั้น เพราะถ้าเหยาเฟิ่งเกอสามารถถูกรักษาให้หายดีจริงๆ จวนติ้งโหวก็คงไม่ยอมให้เหยาเยี่ยนอวี่ที่เป็นบุตรีอนุภรรยาเข้าจวน เพื่อเตรียมความพร้อมให้นางได้กลายเป็นอนุภรรยา
แต่ครั้งนี้ พอเหยาเหยียนอี้มาเยือนจวนโหว ก็เห็นเหยาเฟิ่งเกอน้องสาวของเขาเดินพยุงมือของซานหูไว้ แล้วมาต้อนรับเขาด้วยท่าทางที่สง่างาม ตอนนั้นเขาถึงกับชะงักฝีเท้าลงด้วยความตกตะลึง เหยาเฟิ่งเกอเดินไปหาพี่ชายด้วยความดีใจ จากนั้นพูดขึ้น “พี่ชายรอง” นางโค้งกายลงด้วยดวงตาแดงก่ำ ตอนที่นางเงยหน้าขึ้น นางก็เริ่มน้ำตาคลอ แล้วถามด้วยน้ำเสียงที่ราวกับว่ากำลังร้องไห้ “พี่ชายรองเจ้าคะ ท่านย่าสบายดีหรือไม่ ท่านพ่อและท่านแม่เล่าสบายดีหรือไม่”
เหยาเหยียนอี้เข้าไปจับมือเหยาเฟิ่งเกอทันที และไม่ได้สนใจน้องสาวที่กำลังถามถึงสารทุกข์สุขดิบของคนในครอบครัว เขาเอ่ยถามอย่างฟังไม่รู้ความ “น้อง…น้องสาว อาการป่วยของเจ้า…ดีขึ้นแล้ว?!”
เหยาเฟิ่งเกอยิ้มอ่อนพลางปรายตามองเหยาเยี่ยนอวี่ที่อยู่ด้านหลัง เหยาเยี่ยนอวี่จึงรีบโค้งตัวน้อมทำความเคารพ “น้อมเคารพพี่ชายรอง เยี่ยนอวี่ขอเอ่ยถามถึงท่านย่า ท่านพ่อและท่านแม่ด้วยเจ้าค่ะ”
ซูอวี้เสียงที่อยู่ด้านข้างจึงหัวเราะพลางเอ่ยขึ้น “พี่รองตื่นเต้นดีใจที่ได้เจอน้องสาวของตน จนถึงกับเรียบเรียงคำพูดไม่เป็นเสียแล้ว ฮ่าๆ…”
เหยาเหยียนอี้ได้สติกลับมา เขาแน่ใจว่าน้องสาวอาการดีขึ้นจริงๆ บุตรีภรรยาเอกแห่งตระกูลเหยาไม่ต้องสิ้นใจแล้วจริงๆ! เหยาเหยียนอี้กุมมือเหยาเฟิ่งเกอพร้อมกับแหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง แล้วพูดขึ้นไม่หยุด “ดี! ดี! ช่างดีจริงๆ!”
เหยาเฟิ่งเกอรู้สึกปลื้มปิติยิ่งนัก แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายรอง พวกเราเข้าไปคุยกันในเรือนเถอะเจ้าค่ะ”
“ดี เข้าไปกันเถิด!” เหยาเหยียนอี้เดินเข้าไปในเรือนพร้อมกับซูอวี้เสียงและเหยาเฟิ่งเกอด้วยสีหน้าเปี่ยมล้นด้วยรอยยิ้ม
เหยาเยี่ยนอวี่ติดตามอยู่ด้านหลัง ในใจลอบพูดว่า นี่แหละคือข้อดีของพี่น้องที่ต่างก็เป็นบุตรของภรรยาหลวง แม้นตนกับพี่ชายรองเป็นพี่น้องที่มีบิดาผู้ให้กำเนิดคนเดียวกัน แต่อย่างไรเสียก็ไม่ได้มีมารดาคนเดียวกัน ตนเองอุตส่าห์ทำความเคารพเขา ทว่าเขากลับไม่หันหน้ามามองตนเองแม้แต่น้อย
ทุกคนเดินเข้าไปในเรือนแล้วนั่งลง หลังจากที่เหยาเยี่ยนอวี่ยกน้ำชามาให้ นางก็ไปแอบอยู่ข้างหลังดังที่เคยทำ
ตอนที่เหยาเหยียนอี้ เหยาเฟิ่งเกอ และซูอวี้เสียงเสวนากัน บรรยากาศในเรือนฉีเสียงมีเพียงเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความสุข แม้แต่สาวใช้ที่เข้าออกเรือนยังรู้สึกดีอกดีใจขึ้นมา จากนั้นก็ได้ไปรวมตัวกัน แล้วพูดคุยถึงเรื่องคุณชายรองเหยาว่าเป็นบุรุษที่สง่าผ่าเผย และมีรูปโฉมที่ผึ่งผายยิ่งนัก
ชุ่ยเวยเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ทำสีหน้าหม่นหมอง จึงได้ยกน้ำชาหนึ่งถ้วยเข้าไปข้างใน จากนั้นก็ได้ไล่สาวใช้ทั้งหมดออกจากเรือนไป ลอบถอนหายใจแล้วพูด “คุณหนู ดื่มชาเจ้าค่ะ”