บทที่ 13 ซุ่มฝึกฝีมือ (3)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

“เพียงแต่สิ่งที่ต้องเตือนคุณชายคือ กำลังภายในสามวิชานี้ต่างเป็นวิชาที่เน้นการหล่อเลี้ยงชีวิต ไม่มีอานุภาพในการประมือกับผู้คน ไม่เหมาะกับการต่อสู้ เหมาะกับการถ่ายทอดในตระกูล หลังจากฝึกสำเร็จสูงสุดมีแค่สองระดับ”

ตวนมู่หว่านเตือน

“วิชาหล่อเลี้ยงชีวิต ยังมีแค่สองระดับ…ไม่มีวิชากำลังภายในของยุทธภพที่แท้จริงหรือ”

ลู่เซิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย

“มี…เพียงแต่วิชากำลังภายในแบบนั้นส่วนใหญ่มีพรรคมีสำนัก…ต่อให้มอบกับคุณชาย คุณชายท่านกล้าฝึกหรือ”

ตวนมู่หว่านเลิกคิ้ว มองลู่เซิ่งด้วยรอยยิ้ม

ลู่เซิ่งเงียบงันครู่หนึ่ง ฝืนยิ้มออกมาแล้วเช่นกัน

“วิชากำลังภายในแบบนั้นข้าไม่กล้าฝึกจริงๆ เกิดวิชากำลังภายในพรรคสำนักพวกนั้นรั่วไหล เช่นนั้นก็เป็นบุญคุณความแค้น ไม่ตายไม่เลิกรา”

“คุณชายเข้าใจก็ดีแล้ว แน่นอนว่ายังมีคัมภีร์ลับกำลังภายในที่ไม่แพร่หลายส่วนหนึ่ง แต่เทียบกับสามเล่มนี้ คัมภีร์ลับเหล่านั้นใช้เวลานานยิ่ง อานุภาพยังไม่โดดเด่น มิสู้สามเล่มนี้รวมกัน”

ตวนมู่หว่านกลับประเมินการยอมรับทันทีของลู่เซิ่งสูง ต่อหน้าโฉมสะคราญเช่นนาง บุรุษแทบทั้งหมดจะเกิดความรู้สึกชอบเอาชนะขึ้นโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าอย่างไรล้วนแสดงด้านแข็งแกร่งองอาจของตน

แต่ลู่เซิ่งกลับสามารถกล่าวคำว่า ‘ข้าไม่กล้า’ สามคำโดยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปทำได้

“กำลังภายในสามวิชาของท่านนี้มิได้สอดคล้องกับความต้องการของข้านัก”

ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้ม

“คุณชายลู่อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธ พึงทราบว่าคัมภีร์ลับกำลังภายในนี้ไม่ใช่ผักกาดขาว อยากให้มีตอนไหนก็มาตอนนั้น”

ตวนมู่หว่านยิ้มอ่อนช้อยกล่าว

“ตอนนี้ข้ามีสามเล่มนี้ได้เป็นความบังเอิญ ภายหลังผ่านไปช่วงหนึ่ง ไม่แน่ว่าจะมีได้แล้ว…”

ลู่เซิ่งไม่เข้าใจความหมายของนาง

“คำภีร์ลับไม่ใช่คัดลอกไว้หลายเล่มก็สามารถขายซ้ำได้หรือ”

“แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่ที่นี่ล้วนขายเล่มเดียวคือเล่มต้นฉบับ” ตวนมู่หว่านเอ่ยอย่างมั่นใจ

“วาจานี้เป็นจริงหรือ” ลู่เซิ่งหวั่นไหว

“แน่นอนว่าจริง วิชาทมิฬพิฆาตเล่มนั้น คุณชายลู่อย่าฝึกดีกว่า เคล็ดวิชาไม่ครบยังพอว่า ยังเป็นเล่มที่ไม่สมบูรณ์แพร่หลายมาเมื่อหลายร้อยปีก่อน ต้องการหาส่วนที่เหลือทั้งหมดมาดำเนินการต่อ แทบเป็นไปไม่ได้”

ตวนมู่หว่านเกลี้ยกล่อม

ลู่เซิ่งไตร่ตรอง

“ไม่ทราบว่าในมือคุณหนูหว่านเอ๋อร์ยังมีคัมภีร์ลับเล่มอื่นหรือไม่ ไม่เอาต้นฉบับ แค่ฉบับคัดลอกก็ได้ เล่มละหนึ่งร้อยตำลึงเป็นอย่างไร”

ตวนมู่หว่านสีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มจางๆ

“คุณชายลู่ลุ่มหลงในวรยุทธ์เช่นนี้หรือ”

“ใช่แล้ว ข้าความจริงเป็นคนงมงายในวรยุทธ์คนหนึ่ง” ลู่เซิ่งตอบอย่างจริงจัง

ตวนมู่หว่านมองเขาอย่างสนอกสนใจ สบตากันแบบนี้อยู่พักหนึ่ง นางพลันหัวเราะพรวดออกมา

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น อย่างนั้นหนึ่งมือให้เงิน”

“หนึ่งมือให้ของ ข้าต้องการวิชากระเรียนหยก”

ลู่เซิ่งเลือกเล่มหนึ่งตามต้องการ เขาหยิบตั๋วเงินออกมาจากอกเสื้อ นี่เป็นเงินที่เหลือก้อนสุดท้ายของเขา ใช้หมดก็ไม่มีแล้ว

ตวนมู่หว่านรับตั๋วเงินมาโดยไม่เหลือบมองมอง ยัดเข้าไปในแขนเสื้อ วางคัมภีร์วิชากระเรียนหยกลง

“เช่นนั้นขออวยพรให้คุณชายสำเร็จวรยุทธ์โดยเร็ว”

“ขอบคุณท่านที่อวยพร”

ลู่เซิ่งลุกขึ้นไปส่งนาง

ส่งตวนมู่หว่านไปถึงประตูใหญ่ ใช้สายตาส่งนางขึ้นรถม้า ค่อยๆ จากไป ลู่เซิ่งค่อยผ่อนลมหายใจเล็กน้อย

ไม่ทราบเพราะอะไร ทุกครั้งต่อหน้าตวนมู่หว่านเขาจึงมีความระแวดระวังอยู่เสมอ

ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเป็นแค่สตรีอ่อนแอ ดูเหมือนไม่เป็นวรยุทธ์อันใด แต่เขารู้สึกว่าไม่ถูกต้อง

ขณะมองรถม้าค่อยๆ ควบขับออกไป จนกระทั่งออกจากถนนเส้นนี้ ก็ไม่มองต่ออีก

ลู่เซิ่งค่อยหันหลังกลับ

ในมือยังคงถือคัมภีร์วิชากระเรียนหยก ลู่เซิ่งลังเลเล็กน้อย ตัดสินใจอ่านวิชากำลังภายในนี้ดูก่อนค่อยว่ากัน

ที่ทำการข้าหลวงเมืองเก้าประสาน

ในโถงใหญ่ที่ทำการซึ่งเหมือนสี่เหลี่ยมจตุรัส ลานอยู่ตรงข้ามกับที่ทำการศาล บนพื้นปูด้วยอิฐขาวหลายก้อน แสงอาทิตย์สาดลงมาจากด้านบน แสงสะท้อนแยงตาเล็กน้อย

บนที่ทำการศาลด้านในของลาน มีเสาสีแดงชาดสิบต้นค้ำหลังคาสีแดงไว้

สองฟากด้านข้างของที่ทำการศาล วางไว้ด้วยไม้สยบโอหัง ซึ่งล้วนทาสีแดง

ซ่งตวนฉื่อ ข้าหลวงผู้เฒ่านั่งอยู่บนบัลลังก์ศาล หัวคิ้วขมวดมุ่น ด้านหลังเขาเป็นรูปอาทิตย์ขาวฟ้าครามขนาดใหญ่ กระเรียนเซียนตัวหนึ่งกระพือปีกโผบิน

สองข้างด้านล่างแต่ละฟากยืนด้วยคนสองคน ทั้งสองฟากมีทั้งหมดสี่คน

แยกเป็นประมุขตระกูลจ้าว หลี่ ลู่ เจิ้ง

สี่ตระกูลนี้เป็นตัวแทนขุมกำลังการค้าต่างๆ มากกว่าครึ่งของเมืองเก้าประสาน

ลู่เฉวียนอันเป็นหนึ่งในนี้

เขาสวมชุดขี่ม้าลายแท่งทอง ใส่หมวกเศรษฐีสีแดง ลูบเครางามใต้คางไม่หยุด ดวงตาจ้องมองข้าหลวงผู้เฒ่าที่นั่งบนบัลลังก์ศาลเขม็ง

รวมกับข้าหลวงแล้ว คนทั้งห้าล้วนไม่ส่งเสียง

ตระกูลจ้าว จ้าวชือเต๋อประมุขตระกูลเป็นชายชราหัวล้าน ตระกูลจ้าวของเขารวมกลุ่มเป็นผู้นำเหลาสุรา หอคณิกา สถานเริงรมย์ และลานพนันทั้งหมดในเมืองเก้าประสาน เป็นคนที่มีขุมกำลังแข็งแกร่งที่สุดในคนทั้งสี่

ตอนนี้เมื่อเห็นไม่มีคนส่งเสียง ใบหน้าเขากระตุก เอ่ยขึ้นก่อน

“นายผู้เฒ่าซ่ง ท่านขอให้พวกเราหาคนหาสิ่งของ พวกเราก็ส่งคนไปหาแล้ว เดิมนึกว่าเป็นแค่เรื่องเล็กเรื่องหนึ่ง

แต่ตอนนี้คนของพวกเราหายตัวไปติดๆกันสิบกว่าคนแล้ว นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันกับชีวิตคน

ถ้าหากรูปการณ์เป็นแบบนี้ ท่านยังไม่เอ่ยปาก เช่นนั้นอย่าโทษพวกเราไม่ยอมร่วมมือ”

ลู่เฉวียนอันตัดสินแล้วว่าจะปิดปากไม่พูดอะไร

อีกสองคนที่เหลือดูท่าทางมีความคิดเหมือนเขา

ข้าหลวง ซ่งตวนฉื่อ ขมวดคิ้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

“ของ คน เป็นคำสั่งที่เบื้องบนส่งลงมา ข้าก็ไม่มีวิธีการเช่นกัน

“มิหนำซ้ำหลายวันมานี้เกิดเรื่องประหลาดติดต่อกัน ทั้งนอกเมืองและในเมือง ข้าขอให้เจ้าอาวาสวัดบัวแดงทำพิธีแล้ว แต่ไม่มีประโยชน์

“จอมยุทธ์ท่องยุทธภพที่เชิญมา ไปแล้วก็ไม่กลับมา ไม่ทราบว่าหนีแล้วหรือไม่…คดีหมู่บ้านตระกูลหวังที่นอกเมืองจนถึงตอนนี้ยังเป็นปริศนา

เราผู้เป็นขุนนางเรียกพวกท่านทั้งสี่คนมาประชุม เพราะอยากรู้ว่าพวกท่านทั้งสี่คนมีวิธีการดีๆ หรือไม่

เมืองเก้าประสานแห่งนี้สุดท้ายแล้วเป็นเมืองเก้าประสานของพวกท่านเหล่าตระกูลใหญ่”

ลู่เฉวียนอันและอีกสามคนยังคงไม่กล่าววาจา

จ้าวซือเต๋อผู้นั้นกลับแค่นหัวเราะคำหนึ่งออกมา

“เรื่องหาคนยังไม่พูดถึง พวกเราหยุดไว้ก่อน

ส่วนเรื่องอื่น ในเมื่อนายท่านผู้เฒ่าไม่มีวิธี ข้าจึงเชิญยอดฝีมือที่ความสามารถไม่ธรรมดาคนหนึ่งมาตรวจสอบแล้ว เพียงแต่ค่าใช้จ่ายนี้แค่ข้าตระกูลเดียวจ่าย คงไม่ถูกต้องกระมัง”

“ในเมื่อเป็นยอดฝีมือ ถ้าไขคดีได้จริงๆ เราผู้เป็นขุนนางจะมอบรางวัลทั้งหมดให้เขา” ขุนนางข้าหลวงยืนยันขึ้นมาก่อน

“ตระกูลข้าร่วมด้วยหนึ่งพันตำลึง”

“ข้าก็เหมือนกัน”

ลู่เฉวียนอันส่งเสียงตามติดๆ

“ข้าก็ด้วย” ประมุขตระกูลคนสุดท้ายออกหนึ่งพันตำลึงตามคนส่วนใหญ่

“เอาล่ะ คดีตระกูลสวีนี้มีคนรับผิดชอบแล้วชั่วคราว แต่คดีหมู่บ้านตระกูลหวัง…” ข้าหลวงเริ่มลำบากใจอีกครั้ง

“หมู่บ้านตระกูลหวัง…เป็นคดีอนุน้อยนางนั้นกระโดดลงบ่อใช่หรือไม่ สรุปคดีตามกฎของต้าซ่งเลยไม่ดีกว่าหรือ”

ประมุขตระกูลหลี่กล่าวราบเรียบ

“ถ้าง่ายแบบนี้จริงๆ ก็ดี แต่ปัญหาคือ ตอนนี้แม้แต่ศพของอนุน้อยนางนั้นก็หาไม่เจอ ก้นบ่อไม่เห็นเลือดสักหยด

แต่ว่าในหมู่บ้านมีคนจำนวนมากต่างสบถสาบานว่าเห็นอนุน้อยนางนั้นกระโดดลงบ่อด้วยตาตัวเอง พวกเราหารอยเท้าจากทางบ่อน้ำไม่เจอจริงๆ…”

ข้าหลวงส่ายหน้าเอ่ยขึ้น

‘มีแต่เรื่องน่ากังวล…’ ลู่เฉวียนอันมองฉากนี้แล้วรำพึงในใจ

พอคิดถึงใบหน้าหวาดกลัวของสหายเก่าตระกูลสวีก่อนตาย จิตใจเขาพลันบิดเบี้ยว

ตระกูลลู่

ด้านในห้อง

ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิบนเตียง รวบรวมสมาธิ เริ่มจินตนาการถึงกระเรียนเซียนที่กระพือปีกคิดจะบินตัวหนึ่งตรงกลางอกตามเคล็ดวิชากระเรียนหยก มันกระพือสองปีกและเพิ่มพลังอย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่บินขึ้นในทันที

ลู่เซิ่งหลังจากหลับตาโคจรลมปราณไปรอบหนึ่ง ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น หยิบคัมภีร์ลับวิชากระเรียนหยกเล่มนั้นขึ้นมาพลิกอ่านดู

บนหน้าแรกที่พลิกอ่าน วาดกระเรียนเซียนที่กระพือปีกต้องการโผบินตัวหนึ่งอย่างชัดเจน ท่วงท่าที่ต้องการโบยบินสู่ท้องฟ้านั้นให้ความรู้สึกกดดันเล็กน้อยแก่ผู้คน

ลู่เซิ่งเพ่งมองภาพนี้อีกสักครู่ ปิดตาลงทันที จินตนาการถึงกระเรียนเซียนกลางอกต่อ

ทำวนเช่นนี้อยู่สามครั้ง

เส้นแสงนอกหน้าตาค่อยๆ สลัวลง

เสี่ยวเฉี่ยวมาเรียกเขาไปรับประทานข้าวแล้วหลายครั้ง ลู่เซิ่งต่างปฏิเสธ ยังคงปิดประตูห้องแน่นหนา นั่งบนตั่งเตียงต่อ

กระเรียนที่เขาจินตนาการถึงยิ่งมายิ่งสมจริง ยิ่งมายิ่งเป็นจริง

รอจนฟากฟ้าพลบค่ำฟ้าดำมืด ลู่เซิ่งที่นั่งบนเตียงพลันลืมตาขึ้น

ฟู่ว…

ลมหายใจกลุ่มหนึ่งถูกเขาพ่นออกมาอย่างรุนแรง

เขาสูดหายใจลึกๆ คำหนึ่ง สัมผัสได้อย่างแจ่มชัดว่าทรวงอกตัวเองเพิ่มเส้นเล็กๆ ที่เหมือนมดสายหนึ่ง ค่อยๆ เคลื่อนไหวที่ทรวงอกอย่างช้าๆ เป็นวงรีที่เรียบง่ายวงหนึ่ง

วงรีนี้หมุนตามเข็มนาฬิกา ความเร็วเชื่องช้ายิ่ง ถ้าไม่สัมผัสดีๆ ไม่อาจแยกแยะออก

ลู่เซิ่งผ่อนคลายอย่างเหนื่อยล้า รีบนึกในใจ

‘ดีปบลู’

ทันใดนั้นตรงหน้าเขามีอินเตอร์เฟสเครื่องมือปรับเปลี่ยนลอยขึ้นมา

ในกรอบเครื่องมือปรับเปลี่ยนสีน้ำเงินเข้ม เพิ่มตัวอักษรเล็กๆ แถวหนึ่งด้านล่างวิชาดาบพยัคฆ์ดำ

‘วิชากระเรียนหยก : ยังไม่เริ่มต้น’

‘ต้องรีบแล้ว’

ลู่เซิ่งรีบเริ่มเพ่งสมาธิ กดปุ่มปรับเปลี่ยน ป้องกันไม่ให้ความรู้สึกถึงลมปราณหายไป

พร้อมกับที่กดปุ่มลงไป เครื่องมือปรับเปลี่ยนดีปบลูกะพริบทีหนึ่ง

ลู่เซิ่งรีบเพ่งความสนใจไปที่วิชากระเรียนหยก

‘เพิ่มขึ้นหนึ่งระดับ!’ เขานึกเงียบๆ

สถานะของวิชากระเรียนหยกเด้งขึ้นอย่างฉับพลัน

จากไม่เริ่มต้น กลายเป็นระดับเบื้องต้นในชั่วพริบตา

ลู่เซิ่งหยุดนิ่ง รู้สึกว่าในร่างกายมีเส้นสายราวสายน้ำจางๆ สายหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ค่อยๆ ไหลจากทรวงอกไปด้านล่าง

ระหว่างทรวงอกกับท้องน้อยกลายเป็นวงรีวงหนึ่ง เส้นสายลมปราณเย็นๆ หลายสายนั้นไหลระหว่างทรวงอกและท้องน้อยไม่หยุด

‘ระดับเบื้องต้นแล้ว…คล้ายว่าร่างกายจะรับภาระไม่หนักมาก’

ลู่เซิ่งครุ่นคิด เพ่งสมาธิต่อ จินตนาการว่าขอบเขตของวิชากระเรียนหยกเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งระดับ

แค่กๆ!

ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าลำคอแห้งผาก ไอเสียงดัง

ความหงุดหงิดงุ่นง่านสายหนึ่งลอยขึ้นจากท้องน้อย พุ่งสู่จิตใจ ลู่เซิ่งพลันเปลี่ยนเป็นคอแห้งลิ้นแห้ง

‘ไม่ไหว ร่างกายสูญเสียหยินไปแล้ว! วิชากระเรียนหยกนี้เพิ่มระดับเร็วแล้วมีผลเสียต่อร่างกายเช่นกัน เพียงแต่ไม่รุนแรงเท่าวิชาดาบพยัคฆ์ดำ’

ลู่เซิ่งผ่อนคลายจิตใจ ปล่อยให้เครื่องมือปรับเปลี่ยนค่อยๆ จางหายไป

‘นี่คือกำลังภายในหรือ’

เขายื่นสองขาออกมา ลงจากเตียงอย่างช้าๆ

สัมผัสอย่างละเอียดได้ถึงลมปราณภายในของวิชากระเรียนหยกที่โคจรไหลเวียนไม่หยุดระหว่างทรวงอก รู้สึกสงสัย

‘รู้สึกเหมือนในร่างมีเส้นสายลมปราณเส้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา’

ลู่เซิ่งลองควบคุมเส้นสายลมปราณเส้นนี้ พบว่าของเล่นชิ้นนี้คล้ายไม่อาจไหลไปยังสถานที่อื่น ได้แต่วนเป็นวงกลางทรวงอก

ในกระบวนการขณะที่ปราณภายในสายนี้วนเป็นวง เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าการหายใจของตนผ่อนคลายลงไม่น้อย จิตใจคึกคักขึ้นส่วนหนึ่ง

‘ขอดูกำลังภายในเบื้องต้นหน่อย…’ ลู่เซิ่งพลิกคัมภีร์ลับมาอ่านการบันทึกด้านบน

……………………………………….