ภาคที่ 1 บทที่ 20 ตระกูลหลี่

มู่หนานจือ

เจียงเซี่ยนคิดดูแล้วก็รู้สึกคำพูดของหวังจ้านมีเหตุผลมาก นางจึงพยักหน้าและบอกลากับหวังจ้าน และแยกกับหวังจ้านหน้าประตูวังฉือหนิง

เงาร่างของหลี่เชียนโผล่ออกมาจากหลังต้นไป่โบราณหน้าประตูวังฉือหนิง

นึกไม่ถึงว่าท่านหญิงเจียหนิงจะนัดพบกับหวังจ้านเป็นการส่วนตัว

คนที่นางชอบจริงๆ คือหวังจ้านอย่างนั้นหรือ?

หากเป็นแบบนี้ เรื่องนี้ก็น่าสนใจแล้ว!

หลี่เชียนอดไม่ได้ที่จะหวนคิดถึงภาพตอนที่เจียงเซี่ยนพบกับหวังจ้านที่อุทยานหลวงเมื่อครู่อย่างละเอียด

ตอนแรกทั้งสองคนก็ยังคุยไปหัวเราะไป ตอนหลังสีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา ท่านหญิงเจียหนานเห็นเขา สายตาของนางแฝงความระแวดระวังเอาไว้อย่างเลือนราง…หรือว่า ท่านหญิงเจียหนานจะเจอปัญหาอะไร?

และปัญหานี้ก็ไม่สามารถบอกไทฮองไทเฮากับเจิ้นกั๋วกงได้ด้วย กระทั่งไม่สามารถให้คนอื่นรู้ได้ด้วยซ้ำ

นางอยู่วังหลังก็อยู่ใต้คนไม่กี่คน และอยู่เหนือผู้คนมากมาย มีปัญหาอะไรที่แม้แต่นางก็กลัวและไม่สามารถจัดการได้หรือ?

หลี่เชียนมองตรงที่ที่เงาร่างของเจียงเซี่ยนหายไป แล้วก็มองไปทางหวังจ้านที่จากไปไกล และออกจากวังฉือหนิงอย่างเงียบเชียบ กลับตรอกหมวกที่ตระกูลหลี่พักอาศัยชั่วคราว

หวังไหวอิ๋นเดินเข้ามาหา

เขาเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าๆ รูปร่างปานกลาง หน้าตาธรรมดา เสื้อผ้าเรียบง่าย จัดอยู่ในคนประเภทที่หายไปท่ามกลางฝูงชนก็หาไม่เจอแล้ว เขาเป็นลูกศิษย์คนแรกที่ฝูอวี้กุนซือของหลี่ฉางชิงถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ด้วยตนเอง ออกมาครั้งนี้ หลี่ฉางชิงจัดให้หวังไหวอิ๋นอยู่ข้างกายหลี่เชียนและให้เขาคอยช่วยเหลือหลี่เชียน

หลี่เชียนโยนแส้ม้าในมือไปให้ปิงเหอเด็กรับใช้ที่ติดตามอยู่ข้างกาย และเดินเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว พร้อมกับถามหวังไหวอิ๋น “ท่านพ่ออยู่บ้านหรือไม่?”

เขามือยาวขายาว หวังไหวอิ๋นต้องเดินอย่างเร็วมากถึงจะตามฝีเท้าของเขาได้ทัน “ใต้เท้าไปบ้านราชเลขาธิการเหยียน ยังไม่กลับมาขอรับ”

ราชเลขาธิการเหยียนชื่อเหยียนหวาเหนียน เป็นราชเลขาธิการในราชวงศ์ปัจจุบัน เป็นชาวเฉียนถัง มาจากครอบครัวตระกูลขุนนาง และเหมือนกับบัณฑิตทุกคน เขาไม่ค่อยชอบหลี่ฉางชิง หลี่ฉางชิงเข้าเมืองหลวงมาอวยพรวันเกิดให้เฉาไทเฮา และอยากเข้าพบเหยียนหวาเหนียนหลายครั้ง เหยียนหวาเหนียนก็ปฏิเสธทางอ้อมตลอด

หลี่เชียนได้ยินก็ชะงักฝีเท้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วเอ่ยว่า “ทำไมราชเลขาธิการเหยียนถึงยอมพบท่านพ่อแล้ว?”

หวังไหวอิ๋นเอ่ยเสียงเบาว่า “ว่ากันว่าเป็นพระประสงค์ของเฉาไทเฮา ให้ราชเลขาธิการเหยียนลองถามใต้เท้าเรื่องที่ฝูเจี้ยนต่อต้านญี่ปุ่นขอรับ”

หลี่เชียนพยักหน้า เขารู้สึกว่าเฉาไทเฮารีบลงมือมากเกินไปหน่อยจริงๆ และอาจจะไม่ใช่เรื่องดีนัก

เขาเข้าไปในเรือนตะวันตกของตนเอง เด็กรับใช้ตักน้ำเข้ามา

หลี่เชียนล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วนั่งดื่มชาบนเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่างกับหวังไหวอิ๋น

“ท่านเจอคุณหนูไป๋หรือยัง?” ถึงอย่างไรก็เป็นคนหนุ่ม หวังไหวอิ๋นยิ้มพลางถามหลี่เชียน สายตาแฝงความอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย

“ยัง” หลี่เชียนตอบอย่างคล่องแคล่วและรวดเร็ว “เจ้ากับท่านพ่อคิดเรื่องคุณหนูตระกูลไป๋ให้น้อยหน่อยดีกว่า ข้าจะไม่แต่งงานกับหญิงสาวจากตระกูลที่มั่งคั่งและมีอำนาจในเมืองหลวง หากเจ้ามีเวลามาสนใจว่าข้าเจอคุณหนูไป๋หรือยัง ก็ลองไปคิดดูว่าครั้งหน้าตอนที่เฉาไทเฮาเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกจะตอบส่งเดชไปอย่างไรดีกว่า”

หวังไหวอิ๋นเห็นเขาเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก ก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ และจำต้องเอ่ยอีกครั้งว่า “ครั้งนี้เฉาไทเฮาให้ตระกูลหลี่เข้าเมืองหลวงมาอวยพรวันเกิดให้นาง ท่านอาจารย์กับใต้เท้าคิดแล้วคิดอีก ก็คิดว่าน่าจะเพราะต้องใช้ตระกูลหลี่อีกครั้ง ส่วนจะอยากให้ตระกูลหลี่เฝ้าชายแดนหรืออยู่ในเมืองหลวงต่อนั้น พวกเราไม่ได้สนิทกับราชเลขาธิการจากสำนักราชเลขาธิการและเหล่าเสนาบดีทั้งหกกรม[1]แม้แต่นิดเดียว จึงไม่มีทางที่จะสืบข่าวอะไรที่มีประโยชน์มาได้อย่างแน่นอน การเกี่ยวดองกับตระกูลที่มั่งคั่งและมีอำนาจ จะมีส่วนช่วยในเมืองหลวง เป็นเรื่องที่สำคัญกับมาก กระทั่งอาจจะเกี่ยวพันถึงความเป็นความตายด้วยซ้ำ ข้าไม่พูดท่านก็น่าจะเข้าใจเช่นกัน ทำไมท่านถึงเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก? คุณหนูไป๋ทำอะไรให้ท่านโมโหหรือเปล่า?”

“ข้าไม่อยากไปเจอคุณหนูไป๋” หลี่เชียนเอ่ยแทรกหวังไหวอิ๋นอย่างไม่ค่อยพอใจนัก แล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า บุตรสาวที่ออกเรือนไปแล้วเปรียบดั่งน้ำที่สาดออกไปแล้ว[2] ถึงจะวางแผนก่อกบฏก็ลงโทษหญิงที่ออกเรือนไปแล้วไม่ได้เช่นกัน หากตระกูลหลี่ทำความผิด ตระกูลที่มั่งคั่งและมีอำนาจเหล่านั้น เพื่อผลประโยชน์ของวงศ์ตระกูลแล้ว จะสนใจบุตรสาวที่ออกเรือนไปแล้วได้อย่างไร? ส่วนข้า…ภรรยาเอกเป็นภรรยาของลูกชายคนโตของตระกูลหลี่ แต่ครอบครัวของนางกลับเป็นศัตรูกับตระกูลหลี่ แล้วนางจะมีเกียรติอะไร? เป็นภรรยาของลูกชายคนโตของตระกูลหลี่? แล้วนางจะทำให้คนของตระกูลหลี่เคารพด้วยอะไร? ลูกที่เกิดจากภรรยาเอกของข้ามีแม่แบบนี้ ถูกคนในตระกูลดูหมิ่น แล้วจะสืบทอดกิจการของตระกูลหลี่อย่างเปิดเผยได้อย่างไร…ไหวอิ๋น ไม่มีกฎเกณฑ์ก็ไม่มีทางทำอะไรสำเร็จ หากตระกูลหลี่ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์แล้วก็ห่างจากการแตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่ไกลแล้วเช่นกัน ข้าจะไม่แต่งงานกับบุตรสาวของตระกูลที่มั่งคั่งและมีอำนาจในเมืองหลวงอย่างเด็ดขาด ยิ่งกว่านั้น ผลประโยชน์เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่บนอำนาจและฐานะที่เท่าเทียมกัน อยากครอบครองผลประโยชน์ก็ต้องมีอำนาจทางการทหาร พวกเจ้าทำแบบนี้เป็นการเลี้ยงเสือโดยขังไว้ในกรงอย่างสิ้นเชิง หรือว่าตอนที่ท่านฝูอวี้กล่อมให้พ่อข้ายอมจำนนนั้น ก็ตัดสินใจอุทิศชีวิตให้กับราชสำนักแล้ว และถูกพวกคนแก่ที่ครองตำแหน่งไว้เฉยๆ แต่ไม่ทำงานนั้นบงการงั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นทำไมพวกเราต้องเข้าเมืองหลวง?”

หวังไหวอิ๋นรู้สึกไม่พอใจ เขากำลังจะพูดอะไรอีกเล็กน้อย ทันใดนั้นก็มีเสียงปรบมือหลายครั้งดังมาจากหน้าประตู

“พูดได้ดี!” หลี่ฉางชิงยิ้มพลางเดินเข้ามาอย่างองอาจ ข้างหลังมีผู้ช่วยตามมาด้วยคนหนึ่งชื่อหลิ่วหลี “พ่อที่ยอดเยี่ยมไม่มีทางมีลูกที่ธรรมดา เวลานี้ลูกชายคนโตของข้าโตแล้วจริงๆ”

“ท่านพ่อ!”

“ใต้เท้า!”

หลี่เชียนกับหวังไหวอิ๋นคารวะหลี่ฉางชิงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เชิญหลี่ฉางชิงนั่งบนเตียงอุ่น และเรียกให้เด็กรับใช้นำชาเข้ามา แล้วหลี่เชียน หวังไหวอิ๋น และหลิ่วหลีก็นั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ต่ำกว่า

หลี่ฉางชิงยิ้มพลางมองลูกชาย แล้วเอ่ยว่า “แต่… ถึงเจ้าจะพูดจามีเหตุผล ข้าก็คิดว่าหากการเกี่ยวดองกับจวนเป่ยติ้งโหวก็ดีมาก” เขาเอ่ยจบก็ขยิบตาให้ลูกชาย แล้วเอ่ยว่า “ว่ากันว่าคุณหนูใหญ่ของจวนเป่ยติ้งโหวหน้าตาสวยมาก แล้วก็เติบโตในวังตั้งแต่เด็ก รู้กฎระเบียบ มีประสบการณ์และความรู้กว้างขวาง หากพวกเจ้าแต่งงานกัน ลูกที่คลอดออกมาก็ต้องหน้าตาดีมากอย่างแน่นอน และมารยาทของพวกเด็กๆ ก็ต้องไร้ที่ติอย่างแน่นอนเช่นกัน…”

สายเลือดเป็นสิ่งที่ประหลาดมาก

หลี่ฉางชิงคิ้วดกดำตาโต ใบหน้าคล้ำแดด สูงใหญ่แข็งแรง ต่างกับหลี่เชียนอย่างสิ้นเชิง หากทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกันก็จะไม่มีใครเข้าใจผิดว่าพวกเขาเป็นพ่อลูกกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ทั้งสองคนยิ้มต่างก็ร่าเริงและสดใส อบอุ่นและสว่างไสว ดังนั้นหลี่ฉางชิงหยอกลูกชายเล่นแบบนี้ หากเป็นคนอื่นก็มีแต่จะทำให้คนรู้สึกว่าไม่สุภาพ ทว่าพอหลี่ฉางชิงเป็นคนพูดออกมากลับกลายเป็นทำให้รู้สึกว่าหยอกเล่นอย่างหวังดี

หวังไหวอิ๋นกับหลิ่วหลีต่างก็ยิ้มออกมา

หลี่เชียนรู้ว่าบิดาตัดสินใจที่จะเกี่ยวดองกับจวนเป่ยติ้งโหวแล้ว

เขารู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที แต่ก็รู้ว่าหากตนเองพูดกับบิดาต่อไปอีก ถึงแม้บิดาจะไม่โกรธเขาจริงๆ ทว่ากลับจะทำให้บิดาเสียหน้าต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชา ดังนั้นเขาจึงยับยั้งความไม่พอใจในใจเอาไว้ และเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นว่า “ท่านพ่อไปเจอราชเลขาธิการเหยียนมา ราบรื่นดีหรือไม่ขอรับ?”

หลี่ฉางชิงไร้ซึ่งรอยยิ้ม และเอ่ยว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขานั่งอยู่ในตำแหน่งราชเลขาธิการได้อย่างไร เขาก็เหมือนสุนัขของเฉาไทเฮา เฉาไทเฮาชี้ไปทางไหน เขาก็เห่าไปทางนั้น…”

หลี่เชียนรู้ว่าบิดาถูกรังแกที่จวนของเหยียนหวาเหนียนมา

เขาเสียใจเล็กน้อยที่เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา

เห็นได้ชัดว่าหลิ่วหลีกับหวังไหวอิ๋นก็คิดแบบนี้เช่นกัน ดังนั้นหลังจากหวังไหวอิ๋นฟังหลี่ฉางชิงบ่นจบแล้ว จึงยิ้มพลางถามหลี่เชียนถึงเรื่องขนมถั่วแดงทันที “วังฉือหนิงรับไว้แล้วหรือ?”

หลี่เชียนก็ไม่อยากให้บิดาโมโหต่อไปเช่นกัน จึงเอ่ยว่า “ตอนที่อยู่อุทยานหลวงบังเอิญเจอท่านหญิงเจียหนานเข้าพอดี จึงให้ท่านหญิงเจียหนานไปแล้ว”

พอหลี่ฉางชิงได้ยินก็ทำหน้าตกใจมาก และรีบเอ่ยว่า “เจ้าเจอท่านหญิงเจียหนานได้อย่างไร? แล้วท่านหญิงเจียหนานนั่นเป็นคนอย่างไร? พวกเจ้าคุยอะไรกันบ้าง?”

หลิ่วหลีกับหวังไหวอิ๋นได้ยินแล้วต่างก็หูตั้งขึ้นมา

——————————-

[1] หกกรม ประกอบด้วย 1)กรมขุนนาง รับผิดชอบด้านงานบริหารทั่วไปและแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งขุนนาง 2)กรมคลัง รับผิดชอบด้านการเงิน ดูแลจัดเก็บภาษี และงบประมาณแผ่นดิน 3)กรมพิธีการ รับผิดชอบด้านงานพระราชพิธีในราชสำนัก การจัดสอบจอหงวน และงานด้านการต่างประเทศ 4)กรมกลาโหม รับผิดชอบด้านการทหารและกองทัพ 5)กรมอาญา รับผิดชอบด้านกฎหมายและการตัดสินคดีความ 6)กรมโยธา รับผิดชอบด้านงานก่อสร้างของแผ่นดิน ทั้งการคมนาคมและชลประทาน

[2] บุตรสาวที่ออกเรือนไปแล้วเปรียบดั่งน้ำที่สาดออกไปแล้ว หมายถึง เมื่อบุตรสาวออกเรือนแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามล้วนขึ้นอยู่กับครอบครัวของสามี