ร่วมมือกับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ 5

กู้ซีจิ่วจึงนับจำนวนห้าวินาทีให้ดู “ระยะเวลาเท่านี้เจ้าค่ะ”

ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์พยักหน้า “สองวินาทีก็พอแล้ว!” เขาสามารถปกป้องนางได้ล่วงหน้าสองวินาที

กู้ซีจิ่วผลิยิ้มปานบุปผา “เช่นนั้นก็ไม่กลัวแล้ว! ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เจ้าคะ ข้ามองออกล่วงหน้าก่อนที่คนจะระเบิดห้าวินาทีเจ้าค่ะ”

“ดียิ่ง!” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์พยักหน้า “ยืนอยู่ข้างข้า อย่าได้ซุกซน!”

“เจ้าค่ะ” กู้ซีจิ่วเขยิบเข้าไปใกล้ๆ เขาอย่างว่าง่าย เว้นระยะห่างกับเขาหนึ่งฉื่อครึ่ง

ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เอียงคอมองท่าทางน่าเอ็นดูของนาง หัวใจอุ่นวาบ ยื่นมือไปดึงนางให้เข้ามาใกล้ในระยะครึ่งฉื่อ

….

ผ่านไปหนึ่งเค่อ ด้านกู่ฉานโม่ได้นำขบวนเหล่าหัวกะทิแยกย้ายกันค้นหาในบริเวณรอบๆ จนทั่วแล้วก็ยังไม่เห็นเงาของกู้ซีจิ่ว ขณะที่เตรียมจะเสี่ยงอันตรายไปดูที่ศาลาล่องวาโยหลังนั้น ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็จูงกู้ซีจิ่วเดินออกมาจากอาคารนั้นพอดี

ดวงตากู่ฉานโม่เปล่งประกายทันที รีบปรี่เข้าไป ยังไม่ทันได้ทำความเคารพ ท่านศักดิ์สิทธิ์ก็ตัดบทเขาทันที “ไม่ต้องมีพิธีรีตองแล้ว นำตัวเชียนหลิงเทียนไปจัดการตามกฏเถอะ” แล้วหันหลังจากไป

เชียนหลิงเทียนอ่อนปวกเปียกอยู่ตรงนั้นปานกองโคลนเหลวๆ ทั้งร่างชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ เห็นชัดว่าเขาเสียขวัญไม่น้อย พวกกู่ฉานโม่เข้ามากันมากมายถึงเพียงนี้เขาก็ยังไม่รู้ตัว พูดพึมพำอยู่ตรงนั้น “ทำตามวิธีของนังเด็กตัวเหม็นคนนั้นได้จริงๆ สำเร็จแล้ว…สำเร็จแล้วจริงๆ ฮ่าๆ ข้าไม่ระเบิด! ไม่ระเบิดจริงๆ…นังเด็กตัวเหม็นคนนั้นมีความสามารถโดยแท้!”

กู่ฉานโม่ตะลึง

เหล่าผู้อาวุโส คณะอาจารย์และบรรดาศิษย์อัจฉริยะก็ตกตะลึงเช่นกัน

กู่ฉ่านโม่สูดหายใจเข้าลึกๆ เอ่ยถาม “เป็นวิธีที่กู้ซีจิ่วคิดขึ้นมาหรือ?”

เชียนหลิงเทียนไม่สนใจเขา นั่งหัวเราะอยู่ตรงนั้นเหมือนคนปัญญาอ่อน “ข้าไม่ตาย ฮ่าๆ ในที่สุดก็ไม่ต้องตายแล้ว…”

ผู้อาวุโสของหน่วยลงทัณฑ์ดึงเขาขึ้นมา “ในเมื่อคลายคำสาปได้แล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ควรจะสารภาพได้แล้ว เจ้าเอาหินวิญญาณพวกนั้นมาจากไหน? ผู้ใดมอบกู่ชั่วร้ายพรรค์นั้นให้เจ้า? คนผู้นั้นให้เจ้าทำอะไร? ผู้เฒ่ามีคำถามมากมายที่รอถามเจ้าอยู่! เจ้าไม่สารภาพก็ไม่เป็นไร ผู้เฒ่ามีวิธีที่จะทำให้เจ้าพูดความจริง!”

“ข้าพูด! ข้าพูด! ข้าจะพูด! ไม่จำเป็นต้องลงทัณฑ์ ข้าจะพูดทุกอย่างเลย!” เชียนหลิงเทียนโพล่งออกมา

ในเมื่อไม่มีคำสาปนั้นคอยข่มขู่แล้ว เขาย่อมไม่เกรงกลัวอีกต่อไป อีกอย่างความทรงจำเรื่องนี้ของเขาก็ถูกท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อ่านไปแล้ว เขาจะพูดหรือไม่พูดก็ไม่ต่างกัน ไม่สู้ทำตัวดีๆ พยายามหาทางรอด…

ดังนั้นเขาจึงสารภาพออกมาจนหมดเปลือกด้วยความเบิกบาน

อันที่จริงสิ่งที่เขารู้มีจำกัดยิ่ง เนื้อหาที่เล่าออกมาก็คลุมเครือนัก เมื่อทุกคนฟังจบก็ไม่ได้เบาะแสอะไรสักเท่าไหร่

เดิมทีหลังจากเชียนหลิงเข้าสู่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนไม่เป็นไร แต่ในใจหดหู่อยู่ตลอด

ต่อมาในคืนหนึ่งได้มีคนชุดขาวผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นในเรือนเล็กของเขา คนผู้นั้นคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างมิดชิด เขาถึงขั้นมองไม่ออกว่าอีกฝ่ายเป็นบุรุษหรือสตรี คนผู้นั้นถามว่าเขาต้องการกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งหรือไม่ เขาย่อมต้องการ คนผู้นั้นจึงมอบลูกกลอนกู่แก่เขาสองเม็ด ให้เขากินเข้าไปเม็ดหนึ่ง แล้วค่อยหาทางให้เชียนหลิงอวี่กินอีกเม็ดเข้าไป…และเพื่อคงสภาพของกู่นี้ เขาจำเป็นกินโอสถอัคคีล่องเร้นเป็นระยะยาว แถมยังต้องกินมากขึ้นเรื่อยๆ คนผู้นั้นสามารถจัดหาลูกกลอนอัคคีล่องเร้นให้เขาได้ และสามารถจัดหาหินวิญญาณให้เขาได้ แต่ต้องนำข่าวคราวของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มาแลกเปลี่ยนก่อน…คนชุดขาวผู้นั้นล้วนปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันยิ่งนักทุกครั้ง และจากไปอย่างกะทันหันทุกครั้ง ต่อให้เขาอยากจะสะกดรอยตามอีกฝ่ายก็ไม่อาจทำได้

คิ้วกู่ฉานโม่ขมวดแน่น ชัดเจนยิ่งนัก คนชุดขาวผู้นี้คิดไม่ซื่อ แต่เขา (หรือนาง) เป็นใครกันแน่?