บทที่ 17 ไม่รู้จักละอาย

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

ภายในเรือนมีเพียงความเงียบสงัด เขาพูดขึ้นว่า “ต่อให้ข้าไม่ลงมือสังหารเจ้าด้วยตนเอง หากอยู่ที่นี่ย่อมมีวิธีการตายมากมายที่เจ้าคิดไม่ถึง”

“ท่านช่างใจจืดใจดำจริงๆ กลืนกินความหวานจนสิ้นซากแล้วไม่ว่า ยังถึงกับหลบหนีความผิดอีก น่าเสียดายที่วันรุ่งขึ้นเมื่อไทเฮาเสด็จมานั้นไม่อาจจับชายชู้ของข้าได้ หาไม่แล้วท่านกับข้าจะต้องถูกกักขังอยู่ในตำหนักเย็นด้วยกันเป็นแน่ หากเป็นเช่นนั้นไม่ใช่ความสุขหรือ?” หลินชิงเวยกล่าวอีก “ท่านดูตัวท่านสิ ช่างใจคอโหดเหี้ยมนัก หรือท่านยังคิดจะสังหารข้าจริงๆ?”

เขาแค่นหัวเราะเสียงเย็นแล้วพูดว่า “บุตรสาวคนโตของจวนมหาเสนาบดีหลินเป็นสตรีที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถและรู้ขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นสตรีผู้มีคุณธรรม แต่คงไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าแท้จริงแล้วกลับเป็นสตรีที่ไร้ยางอายเช่นนี้ การต้องไว้ชีวิตเจ้าเป็นเรื่องที่ทำให้สกุลหลินอับอายขายหน้าไปอีกเนิ่นนาน”

หลินชิงเวยกลับมีท่าทีไม่ยี่หระ นางพูดเสียงสูงอย่างท้าทายว่า “ละอายแก่ใจ? นั่นมันคืออะไรกัน? ท่านแย่งชิงสิ่งล้ำค่าที่สุดสำหรับลูกผู้หญิงของข้าไปแล้วยังมาว่ากล่าวว่าข้าไร้ยางอาย หรือท่านรู้?” นางเอนกายแนบชิดเขา กลิ่นกายของนางเป็นกลิ่นประจำตัวอันปราศจากเครื่องประทินโฉมนั้นกรุ่นกลิ่นปะปนมากับลมหายใจของนาง ร่างอรชรอ้อนแอ้นค่อยๆ ทาบลงมากับร่างกายที่เต็มแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อของเขา ทำให้เขารับรู้ได้ถึงความแนบชิดระหว่างกัน ปลายนิ้วของหลินชิงเวยแตะลงบนหน้าอกของเขาอย่างท้าทาย นางพูดด้วยน้ำเสียงเปื้อนยิ้มว่า “แต่คงโทษท่านไม่ได้ที่โมโหโทโสเช่นนี้ หากท่านโกรธขึ้งที่ข้าพรากความเป็นชายพรหมจรรย์ของท่านขณะที่ข้าไม่ได้สติ ข้าก็ต้องขออภัยต่อท่านด้วย”

เขาผลักร่างของนางออก นางจึงหยิกเข้าไปที่เอวของเขาครั้งหนึ่ง พร้อมส่งเสียงหัวเราะอย่างได้ใจ

ต่อมาความเจ็บปวดที่ประเดประดังเข้ามานั้นทำให้เขาเจ็บปวดเสียจนต้องโน้มกายลงมา

หลินชิงเวยจึงหันกายเดินไปยังตู้ใบหนึ่ง นางเปิดลิ้นชักของตู้ใบนั้นแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้านว่า “ข้ายังคิดว่าผู้ที่มาคือสตรีเสียสติเหล่านั้นเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นท่าน งูที่อยู่ด้านนอกนั้นยิ่งดึกยิ่งมีมาก หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นมารนหาที่ตายเช่นนี้ ข้าไม่มีทางยื่นมือเข้าช่วยเหลือแน่นอน เห็นแก่ที่ท่านกับข้าเคยมีวาสนาต่อกัน ข้าจะละเว้นท่านเป็นกรณีพิเศษ”

สตรีนางนี้ช่าง…

เหตุใดจึงนำเรื่องนี้มาพูดถึงอยู่เรื่อย ทำราวกับเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นทุกวันอย่างไรอย่างนั้น จากคำพูดและสีหน้าท่าทางของนาง เขามองไม่เห็นความรู้สึกอับอายแม้สักกระผีก ในทางกลับกันนางกลับเปิดเผยเสียจนเขารู้สึกอึดอัดคับข้องใจนัก

ดูเหมือนเป็นเขามากกว่าที่ถูกนางพรากความบริสุทธิ์ไป

ที่สำคัญก็คือลมหายใจและกลิ่นกายของนางที่กำจายออกมาปนเปในลมหายใจของเขา กลับทำให้เขาจินตนาการถึงภาพที่ไม่ควรคิดถึงเหล่านั้นขึ้นมา

หลินชิงเวยหยิบยาลูกกลอนออกมาเม็ดหนึ่งแล้วเดินกลับมา ยืนอยู่เบื้องหน้าบุรุษผู้นั้น ปลายนิ้วเย็นๆ แตะลงบริเวณด้านข้างริมฝีปากของเขา พร้อมกล่าวว่า “อ้าปาก กินยานี้เสีย”

เขามองนางแล้วยังคงอ้าปากอมยาเม็ดนั้นแล้วกลืนลงคอไป

หลินชิงเวยถามเขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “ดึกดื่นเช่นนี้ เหตุใดท่านจึงมาที่นี่?” ไม่รอให้ชายหนุ่มตอบนางก็หัวเราะออกมา “ท่านคิดถึงข้าหรือ? ชายโสดหญิงม่าย อยู่ร่วมห้องในยามวิกาล ต้องการเพียงกำแพงสี่ด้านและเตียงหนึ่งหลังก็เพียงพอแล้ว ท่านต้องการหรือไม่?”

ท่าทางของบุรุษผู้นั้นดูแคลนอย่างที่สุด ทว่าเขายังคงเดินเข้ามาใกล้หลินชิงเวยอีกก้าวหนึ่ง พลังที่แผ่กำจายออกมาจากร่างของเขานั้นเยียบเย็นยิ่งยวด เขาไม่ได้รู้สึกพิศวาสในตัวของนาง แต่มิได้หมายความว่าความเจ็บปวดที่นางเป็นผู้ก่อให้เกิดเมื่อสักครู่นั้นจะให้แล้วกันไปเช่นนี้ได้

ความกดดันและบีบคั้นในบรรยากาศที่เขาส่งผ่านมานั้น ทำให้หลินชิงเวยยักไหล่ของตนแล้วหันกายกลับไปพร้อมกับกล่าวว่า “ครั้งที่แล้วทุกอย่างรีบร้อนเกินไป ยังไม่ทันได้เห็นหน้าตาท่าทางของท่านให้ชัดเจน ท่านรอสักประเดี๋ยว ข้าจะจุดตะเกียงให้ข้าได้มองท่านให้ดีสักหน่อยเถิด”

พูดแล้วก่อนหน้าที่เขาจะเอื้อมมือมาคว้าตัวนาง นางกลับหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว จากนั้นจุดไฟจากกลักไม้ขีดไฟในมือให้สว่างวาบขึ้น นางประคองเทียนไขที่สว่างแล้วบนเชิงเทียนหันกลับมาอย่างรวดเร็ว

เมื่อนางเบิกตากว้างมองไปอีกครั้งนั้น ภายในห้องนอกจากตัวนางเองแล้วไม่มีผู้ใดอีก มีเพียงความว่างเปล่า ทว่าประตูห้องยังคงเปิดค้างเอาไว้ ความมืดมิดในยามราตรีนั้นประดุจสายน้ำ พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเคยมาที่นี่จริงๆ เพียงแต่ไปมาไร้สุ้มเสียงราวกับเป็นภูตผีวิญญาณในยามวิกาลอย่างไรอย่างนั้น