บทที่ 15 คำเรียก Ink Stone_Romance
“อาการสติดีของนายหญิงข้าดีหายแล้ว” ปั้นฉินคำนับกล่าวอย่างรีบร้อน
เฉิงฮูหยินใหญ่ที่อยู่ตรงหน้ายกมือขึ้นปรามนางไม่ให้พูดต่อ
“ข้าไม่อยากเป็นแม่นางเจ็ด ข้าไม่อยากเป็นแม่นางเจ็ด” แม่นางเฉิงหกนั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง ผลักกระดานหมากรุกล้มระเนระนาดเสียงดัง อีกทั้งยังส่งเสียงตะโกนโวกเหวก จนในห้องนั้นวุ่นวายไปหมด
“เจ้าหยุดโวยวายเสียที” ฮูหยินใหญ่ขมวดคิ้วตำหนิ
อย่างไรเสียแม่นางเฉิงหกก็ยังเกรงกลัวแม่ของตน ทำหน้าบึ้งตึงและไม่กล้าตะโกนอีก
ภายในห้องเงียบสงบลง ฮูหยินใหญ่ถอนหายใจ มองไปที่สาวใช้ข้างๆ
“แม่นางใหญ่ปีนี้อายุเท่าไรแล้ว” นางถาม
“สิบสี่ปีเต็มแล้วเจ้าค่ะ” ปั้นฉินรีบตอบ
ฮูหยินใหญ่มองนางอย่างรังเกียจ สาวใช้ก็มองนางอย่างไม่พอใจ
อารมณ์ผลีผลาม ไร้การอบรม
“ตอบฮูหยินเจ้าค่ะ หลังเทศกาลไหว้บะจ่างก็สิบสี่ปีแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าว “อายุมากกว่าแม่นางสี่แม่นางห้าครึ่งปีเจ้าค่ะ”
ฮูหยินใหญ่นึกย้อนตาม
“ใช่สิ ข้าจำได้ว่าตอนนั้นพวกนางตั้งครรภ์ไล่เลี่ยกัน” นางกล่าว
ตอนนั้นในบ้านรองตระกูลเฉิงแม่นางสกุลโจวตั้งครรภ์ คนทั้งบ้านต่างพากันโล่งอก เพื่อเป็นการอธิษฐานให้กับเด็กในท้อง และแสดงถึงความใจกว้างของตน แม่นางโจวให้เหล่าเมียรองหยุดยา ดังนั้นเมื่อแม่นางโจวตั้งครรภ์ได้ครึ่งปี เมียรองทั้งสองของบ้านรองก็ต่างพากันตั้งครรภ์ด้วย
ยังจำได้ว่าตอนนั้นทั้งบ้านต่างพากันดีใจ นายใหญ่ตระกูลเฉิงเปิดตำราคำนวณชื่อทุกวัน คิดไม่ถึงว่า…
ฮูหยินใหญ่ถอนหายใจ
ตอนนั้นยิ่งดีใจมากเพียงใด ต่อมายิ่งโมโหมากเท่านั้น ดังนั้น ฮูหยินใหญ่ของบ้านรองผู้นี้ก็ถูกมองว่าไม่ใช่คนตระกูลเฉิง ถึงขนาดที่ลำดับที่ยังถูกลืมเลือนไป
“ชื่อเล่นนาง…” นางคิดสักครู่แล้วกล่าว
“เจียวเหนียง เจียวเหนียง นายหญิงข้าชื่อเจียวเหนียงเจ้าค่ะ ท่านยายของนายหญิงตั้งให้เจ้าค่ะ” ปั้นฉินรีบตอบกลับอย่างดีใจ
เจียวเหนียง…
ฮูหยินใหญ่เบะปากในใจ
“อย่างนั้นก็เรียกเจียวเหนียงเหมือนเดิมแล้วกัน อย่างไรเสียก็เป็นความตั้งใจของท่านยายของเจียวเหนียง” นางกล่าว
แม่นางเฉิงหกโล่งใจ ดีเสียจริง ตนเองไม่ต้องเปลี่ยนชื่อแล้ว
“ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ นายหญิงของข้าอยู่ลำดับที่สี่ อย่างนั้นต้องเรียก…” ปั้นฉินกล่าวอย่างลังเล
ลูกในบ้านตระกูลเฉิงถ้าไม่เรียงตามลำดับที่ ก็เหมือนไม่ใช่ลูกบ้านตระกูลเฉิง พูดออกไปก็ดูไม่ดี
“ก็บอกว่าเรียกเจียวเหนียงก็เจียวเหนียงสิ เจ้าฟังไม่รู้เรื่องหรืออย่างไร” แม่นางเฉิงหกตะโกนกล่าว
เห็นแม่นางที่อายุน้อยกว่านายหญิงของตนเหิมเกริมต่อหน้าฮูหยินเฉิง ปั้นฉินเดาออกว่าคงล่วงเกินไม่ได้เป็นแน่ เพิ่งจะเข้ามาอาศัยในบ้านนี้ นางจะหาเรื่องให้นายหญิงไม่ได้ ปั้นฉินรีบก้มหัวบนพื้น รีบขอโทษไม่หยุด
“คนสติไม่ดีจะเอาชื่อไปทำไม!” แม่นางเฉิงหกกล่าวอย่างโกรธงอน แต่แอบมีความดีใจแฝง
ปั้นฉินก้มหน้าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“นายหญิงของข้าหายดีแล้ว หายจากสติไม่ดีแล้วเจ้าค่ะ” นางยิ้มกล่าว
คนในห้องต่างไม่ปริปากพูดว่าถูกหรือผิด
“จริงๆ นะเจ้าคะ นายหญิงของข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะ” ปั้นฉินกล่าวอย่างรีบร้อน
“เจ้าคนสติไม่ดี พูดก็ไม่ได้ หายอะไรกันเล่า!” แม่นางเฉิงหกเอ่ยพลางเชิดจมูก พร้อมโบกพัดน้อย
“ได้เจ้าค่ะ ได้เจ้าค่ะ นายหญิงพูดได้เจ้าค่ะ” ปั้นฉินรีบปฏิเสธ แล้วมองไปทางฮูหยินใหญ่ “ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ ท่านยังจำได้หรือไม่ ที่หน้าประตูนั้น นายหญิงของข้ายังเรียกพ่ออยู่เลยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินใหญ่นึกขึ้นได้ ใต้โคมไฟหน้าประตู หญิงสาวผู้นั้นเปิดม่านมาแสดวความเคารพและเอ่ยเรียกพ่ออยู่ครั้งหนึ่ง
ท่าทางเหม่อเลย น้ำเสียงแข็งกระด้างเหมือนกับตุ๊กตาหุ่นเชิด
“เจ้าสอนได้ดี ต่อไปก็สอนนายหญิงของเจ้าดีๆ แล้วกัน” นางกล่าวอย่างเชยชา มองดูสาวใช้ผู้นี้สักครู่ “เจ้าเป็นสาวใช้ของบ้านตระกูลโจวหรือ”
ปั้นฉินพยักหน้าแล้วก็ส่ายหน้า
“เหล่าฮูหยินโจวเป็นคนซื้อตัวข้ามา เพื่อรับใช้นายหญิง ดังนั้นจึงไม่นับว่าเป็นคนของตระกูลโจวเจ้าค่ะ” นางกล่าว
อย่างนั้นก็ไม่ใช่คนของพวกเราตระกูลเฉิงเหมือนกัน ฮูหยินใหญ่หน่ายจะพูดอีก มองไปทางสาวใช้พวกนั้น
“เรือนนั้น ส่งคนเก่าไปคนหนึ่ง ส่งสาวใช้ไปปัดกวาดเช็ดถูไปคนหนึ่ง คนครัวก็ส่งไปคนหนึ่ง” นางกล่าว
สาวใช้ตอบรับคำ
“นายหญิงข้าหายสติไม่ดีแล้วจริงๆ นะเจ้าคะ ฮูหยินและนายท่านทั้งหลายมาพบได้เจ้าค่ะ” นางกล่าว
ขนาดไม่ไปพบหน้าก็ลำบากจะแย่แล้ว…
ฮูหยินใหญ่ ‘อืม’ ตอบรับ
“นางสุขภาพไม่ดี อย่าไปพบเลย รักษาตัวดีๆ เถอะ” นางกล่าวอย่างไร้อารมณ์
ปั้นฉินยังอยากจะพูดอีก สาวใช้อีกคนจ้องมองนางอย่างรำคาญจึงลุกขึ้นมาก่อน
“ไปเถอะ” นางกล่าว เรียกปั้นฉินให้ลุกขึ้น
ปั้นฉินทำได้เพียงลุกขึ้นแล้วถอยออกไป
“ทีหลังระวังหน่อย ใครอย่าไปเรือนหลังนั้นอีก ถ้าข้ารู้ จะส่งพวกเจ้าไปบำเพ็ญตนที่วัดเต๋า!”
เสียงฮูหยินใหญ่ลอยออกมาจากในห้อง
ปั้นฉินโกรธเคืองเล็กน้อย กลับมาถึงบ้านทั้งที นอกจากจะไม่ได้พบหน้าพ่อแม่ลุงป้าอย่างเป็นทางการแล้ว พี่สาวน้องสาวก็ยังถูกห้ามเข้าใกล้อีก ก็เท่ากับโดนปิดกั้นให้อยู่นอกบ้านอยู่ดี
“นายหญิงของข้าหายสติไม่ดีแล้วจริงๆ” นางกล่าว
สาวใช้ที่เดินนำนางออกมากวาดสายตาไปที่นาง ท่าทีหน่ายจะพูดจา
นางเห็นคนในเรือนสติไม่ดีหรืออย่างไร
ปั้นฉินกลับมาถึงในห้อง เฉิงเจียวเหนียงนั่งอยู่ริมหน้าต่างมองไปข้างนอกเหมือนคิดอะไรอยู่ หรืออาจจะแค่เหม่อลอย
“นายหญิงเจ้าคะ” ปั้นฉินเรียกอย่างระมัดระวัง
เมื่อวานที่จู่ๆ ก็สลบไป ทำนางตกใจไปหมด โชคดีที่นายหญิงฟื้นขึ้นมาเร็ว และยังไม่ได้เสียสติไป เพียงแต่พูดน้อยกว่าเดิมไปอีก
“ชา” เฉิงเหนียงกล่าว
ปั้นฉินดีใจรีบตอบรับ คลานเข่าไปที่โต๊ะเตี้ยอีกด้าน ชงชาหนึ่งถ้วยยกมา
เฉิงเจียวเหนียงมือไม้ไม่ว่องไว ปั้นฉินถือช้อนป้อนให้นาง ดื่มเพียงหนึ่งคำ เฉิงเจียวเหนียงก็ขมวดคิ้ว
“ไม่อร่อย ไม่ใช่ชา” นางกล่าว ปิดปากไม่ยอมกินอีก
“นายหญิง ชาก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้นเจ้าค่ะ” ปั้นฉินกล่าว
อาการเลือกกินของนายหญิงนับวันจะยิ่งรุนแรงขึ้น
“ไม่ใช่” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว ง่ายๆ ชัดเจนและยืนยันเสียงแข็ง
ปั้นฉินจนปัญญา
ช่วงก่อนเพื่อบำรุงร่างกาย เฉิงเจียวเหนียงจัดยาให้ตัวเอง ไม่ดื่มชา ดื่มเพียงน้ำเปล่าหรือไม่ก็เหล้าเหลือง ตอนนี้ไม่กินยาแล้ว แล้วยังจะดื่มเพียงน้ำเปล่ากับเหล้าอีกหรือ
“นายหญิง จริงๆ นะเจ้าค่ะ กินจนชินแล้วก็จะดีเองเจ้าค่ะ” นางพูดปลอบ
ชาดีเพียงนี้ เมื่อก่อนอยากดื่มก็ไม่มีปัญญาดื่ม
เฉิงเจียวเหนียงไม่ผ่อนปรนเรื่องอาหารการกิน ปั้นฉินปลอบได้สองคำก็ล้มเลิกไป มองดูชาที่ตักมาครึ่งถ้วย
ยึดหลักไม่ควรเสียของ สาวใช้จึงดื่มหมดในอึกเดียว
รสชาติดีเสียจริง
เมื่อหันกลับมามอง เฉิงเจียวเหนียงยังคงนั่งมองไปนอกหน้าต่าง ปั้นฉินเทน้ำเปล่ายกมาให้นางหนึ่งแก้ว แล้วมานั่งมองไปข้างนอกด้วย
นอกหน้าต่างนั้นมีทั้งดอกไม้และเถาวัลย์พันเลื้อยต้นไม้ ก้อนหินเขียวมรกต ระหว่างช่องว่างที่กั้นอยู่นั้นมองเห็นสระบัวครึ่งสระ หากไม่มีเถาวัลย์ภูเขาหินนี้บดบัง น่าจะเป็นทิวทัศน์ที่งดงามยิ่ง แน่นอนว่าหากเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามเช่นนี้จริง ก็คงไม่เหลือไว้ให้พวกนางนายบ่าวคู่นี้เป็นแน่
“นายหญิงเจ้าคะ ท่านทุกข์ใจหรือเจ้าคะ” ปั้นฉินนึกถึงเรื่องสองสามวันมานี้ กล่าวอย่างละเหี่ยใจ
เมื่อก่อนตอนสติไม่ดี คนอื่นจะรังเกียจเดียดฉันท์อย่างไรก็ไม่รับรู้ใดๆ แต่ตอนนี้หายแล้ว พอหูได้ยินตา มองเห็นก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน
“ทุกข์ใจ” ครั้งนี้เฉิงเจียวเหนียงตอบกลับอย่างเร็วไว
เมื่อได้ยินนางพูดว่าทุกข์ใจ ปั้นฉินก็รู้สึกกระวนกระวายใจ
“นายหญิง ท่านอย่าทุกข์ใจไปเลย เป็นเพราะท่านเพิ่งจะกลับมา ทุกคนยังไม่คุ้นเคย พอคุ้นชินกันแล้วก็จะดีขึ้น ท่านเป็นลูกสาวตระกูลเฉิง นี่เป็นญาติพี่น้องของท่านทั้งนั้น…”
ปั้นฉินกล่าวปลอบใจ เฉิงเจียวเหนียงฟังไม่เข้าหูสักคำ นางมองไปยังนอกหน้าต่าง รู้สึกถึงเพียงความทุกข์ใจ
ความรู้สึกขมขื่นโอบล้อมจิตใจนางมาตั้งแต่เมื่อวาน
ที่ยิ่งเป็นทุกข์กว่าคือ นางไม่รู้ว่าทำไมนางถึงทุกข์ใจ
………………………………………………………………………..