“นายท่าน แย่แล้ว มีคนแย่งรถ!”
เหล่าหนิวตะโกนเสร็จก็ไม่สนใจสิ่งใด เขารีบดึงเชือก ล่อทั้งสามตัวต่างตื่นตระหนกร้องเสียงดัง เขาตะโกนออกมาเสียงดัง “ซวี!”
คนบนรถล้มคะมำกันระเนระนาด บนตะแกรงที่กำลังปิ้งย่างฉีจื่อไคว่ก็คว่ำกระจัดกระจาย หม้อร้อนๆ เกือบจะหล่นกระเด็นแล้ว
เวลาเดียวกัน ซื่อจ้วงก็พลิกตัวลงจากรถ รีบเดินไปดักหน้าก่อนด้วยความไม่พอใจ หากว่าต้องการแย่งชิงรถ จะต้องผ่านเขาไปให้ได้ก่อน
ซ่งฝูเซิงเปิดผ้าม่านออกมา โบกมีดหั่นผักไปมา “อะไรกัน จะมาปล้นหรือ? มาสิ ข้าจะฆ่าเจ้าเอง!”
คนขี่ม้านำขบวนขวางสองคนมองสบตากัน รู้สึกลำบากใจ
มีคนหนึ่งลงมาจากม้าแล้วทำความเคารพ “ทุกท่าน เข้าใจผิดแล้ว พวกเราสองคนมาขวางทาง เพราะมีเรื่องต้องการขอความช่วยเหลือ”
คนอื่นยังไม่ทันได้พูดอะไร ในรถก็มีเสียงเกรี้ยวกราดของเฉียนเพ่ยอิงตัดบทขึ้นมา “เข้าใจผิด เข้าใจผิดย่าเจ้านะสิ แถวบ้านเจ้าเขาขอความช่วยเหลือแบบนี้หรือ? เด็กสองคนของข้าเกือบโดนน้ำร้อนลวก หากเด็กๆ โดนลวก ข้าจะเอาเรื่องกับพวกเจ้าจนถึงที่สุด!”
คนถูกด่าหน้าเริ่มแดงขึ้น อีกทั้งยังถูกด่าโดยหญิงคนหนึ่งจึงพูดไม่ออก ไม่รู้จะตอบกลับอย่างไร ได้แต่หันหน้าไปพูดกับซ่งฝูเซิงอย่างเร็ว
“ข้ามิอาจปิดบัง คือ คุณชายน้อยของข้าได้กลิ่นหอมที่ลอยมาจากในรถของท่าน อยากทราบมาตลอดว่ากลิ่นอาหารอะไรถึงได้หอมหวนเช่นนี้ ฮูหยินใหญ่รู้สึกสงสารคุณชายน้อยที่อาหารและความเป็นอยู่ของพวกเราไม่ดีพอ จึงได้ส่งข้าน้อยมาสอบถามว่า ท่านสามารถบอกได้หรือไม่ หรือสามารถแบ่งขายมันให้ข้าน้อยได้บ้างไหม”
ซ่งฝูเซิง “…”
เสียเวลาเกือบครึ่งวัน นี่ไม่ใช่การปล้นสะดม แต่กลับเป็นเพราะเด็กอยากกินอาหารหรอกหรือ ทำเขาตกใจจนเหงื่อออกท่วมตัวเลยนะ
“มิใช่ว่าข้าอยากด่าพวกท่านหรอกนะ แต่มีที่ไหนกันที่ทำแบบนี้เวลาต้องการอะไรสักอย่าง ท่านทั้งสองก็ขี่ม้า ตอนวิ่งตามมาเทียบข้างพวกข้า แค่เจ้าตะโกนเรียก บอกเหตุผลเสียหน่อย พวกข้าก็หยุดให้แล้ว…
…แต่นี่พวกเจ้ากลับทำตรงกันข้าม ทั้งที่รู้ว่ากลิ่นหอมบนรถอาจจะเพราะกำลังทำอาหารอยู่ นั่นมันหมายถึงว่ามีหม้อร้อนๆ น้ำมันร้อนๆ ด้วยนะ แต่เจ้ากลับไม่สนใจและยังเข้ามาขวางทาง…
…ฮูหยินใหญ่ของพวกเจ้าสงสารหลานชายที่หิวโหย บนรถของพวกข้าก็มีเด็กเหมือนกัน เด็กของพวกข้าไม่ใช่เด็กรึไง? เขาอาจโดนลวกได้นะ”
สองคนยกมือขึ้นทำความเคารพแล้วนิ่งไป
นิ่งเงียบไปประมาณหนึ่งนาทีกว่า เหล่าหนิวกับซื่อจ้วงก็หันหน้ากลับไปมองซ่งฝูเซิง
ซ่งฝูเซิงจ้องมองคนที่มา เลียริมฝีปากที่แห้งกร้าน “คุณชายน้อยของพวกเจ้าอายุเท่าไร? ยังอยากกินรึ”
“ยังไม่เจ็ดขวบเต็ม”
“ไม่ให้” เฉียนเพ่ยอิงพูดแทรกขึ้นมา
พวกเขาเข้าใจ หญิงที่อยู่ข้างในนี้เป็นคนตัดสินใจ พวกเขาหันไปทางรถแล้วทำความเคารพ “ฮูหยิน พวกข้าสามารถ?”
“ไม่ขาย”
ตอนนี้เองก็มีคนขี่ม้าผ่านมา ทั้งสองฝ่ายต่างก็พบหน้ากัน คนที่มาถึงยักคิ้วให้ก่อน รู้จักชายหนุ่มผู้นี้ว่ามีชื่อเสียงอยู่บ้าง เพราะสอบได้อันดับต้นซ่งถงเซิง “ท่านซ่ง?”
ซ่งฝูเซิงขมวดคิ้ว ในความทรงจำที่มี เขามาจากตระกูลที่ร่ำรวยและมีชื่อเสียงในตัวอำเภอ เปิดร้านขายเครื่องประดับ เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลอวี๋ ชื่อ “ท่านอวี๋”
เหล่าหนิวก็นึกขึ้นได้ ตอนที่เขากลับไปเอาสิ่งของนั้น เหล่าไป๋ยังบอกเขาว่าเห็นรถม้าหลายคันของตระกูลอวี๋แล่นออกไป อพยพลี้ภัยกันหมดแล้ว แต่ดูท่าการอพยพหลบหนียังไม่ค่อยรวดเร็วเท่าใดนัก
อ๊าห์ มิน่า มิน่าเล่า ตอนที่พวกเขาผ่านมา มีครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่งเรียกคนรับใช้ให้ตั้งเตาทำกับข้าว
คุณชายใหญ่ของตระกูลอวี๋กำลังจะเอ่ยปากเริ่มต้นบทสนทนา เฉียนเพ่ยอิงก็รีบเอ่ยปากขู่แสดงอำนาจออกมา
“ซ่งฝูเซิง เจ้าจะไปได้หรือยัง เอาคำพูดมากมายมาจากไหนกัน เดี๋ยวก็คุณชาย เดี๋ยวก็คุณชายน้อย ข้าก็เป็นคุณหนูตระกูลเฉียนเหมือนกันนะ…
…แต่ละคนต่างก็ตกอยู่ในสถานการณ์อพยพลี้ภัย ยังจะวางทีท่าอะไรกันอีก!…
…ไม่สนใจว่าคนอื่นจะเป็นจะตายอย่างไร ยังจะจะมาขวางรถ อ้าปากได้ก็อยากจะกิน หน้าใหญ่มาจากไหนกัน นี่นะหรือมารยาท!…
…ยังจะขอซื้อ? ถึงซื้อข้าก็ไม่ขาย แม้แต่ชิ้นหนึ่งก็ไม่ได้ ข้ากำลังทำของกินในรถเยอะหน่อยเพื่อให้อิ่มท้อง คิดว่ามันง่ายหรือ? ร้อนจนเหงื่อท่วมตัวข้า เอาทองแท่งมาให้ข้าก็ไม่ยอมแลก ข้าจะดูว่าใครจะกล้าแย่ง มีปัญญาก็อย่าหนีสิ ไปเมืองหลวงช่วยท่านอ๋องทำสงครามไป!”
ซ่งฝูหลิงแอบดึงชายเสื้อท่านแม่ของนาง พูดเตือนด้วยเสียงเบา “ท่านแม่ ท่านด่าไปก็เท่านั้น ผู้หญิงที่นี่ไม่กล้าเปิดหน้าตา ท่านก็อย่าได้ด่าจนเหงื่อแตกท่วมตัวอีกเลย คนพวกนี้เป็นคนในพื้นที่ เขาจะคิดว่าท่านผิดปกตินะ”
เฉียนเพ่ยอิงหยิบหน้ากากมัจจุราชที่ตกอยู่ข้างเท้าขึ้นมาสวมใส่บนใบหน้า ก่อนจะเปิดม่านรถ “ขึ้นรถ ซ่งฝูเซิง ข้าบอกให้เจ้าขึ้นรถ!”
ซ่งฝูเซิงเห็นคุณชายใหญ่อวี๋มองหน้ากากแล้วตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี ก็รู้สึกสบายใจขึ้น เขารีบปีนขึ้นรถ ทำหน้าเขินอาย “ท่านอวี๋ ข้าเองก็ลำบากใจ นี่เป็นล่อที่พ่อตาของข้าซื้อไว้ให้ ไว้พบกันใหม่ละกันนะ”