เล่มที่ 1 บทที่ 19 ต้องกลับบ้านแล้ว

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

นับตั้งแต่วันที่เสด็จพ่อทรงประชวร นี่เป็นเวลากว่าสามปีแล้วที่พระองค์ไม่ได้ออกจากตำหนักเจิ้งเทียน

เสด็จพ่อ…ยังมีชีวิตอยู่จริงหรือ?

“ท่านอ๋อง หม่อมฉันเก็บสัมภาระของเหนียงเหนียงเสร็จแล้ว ตอนนี้พร้อมที่จะเสด็จออกจากวังแล้วเพคะ”

หลงเทียนอวี้หมุนตัวมองดูหญิงวัยกลางคนซึ่งกำลังส่งยิ้มมาให้ตนเอง จิ่นเยว่คือนางในคนสนิทของหมู่เฟย นางเป็นเพ่ยเจี้ย1ของหมู่เฟย

“น้าเยว่ ตลอดหลายปีมานี้ท่านคงลำบากมากที่ต้องคอยปรนนิบัติรับใช้หมู่เฟย”

“หม่อมฉันเป็นเพ่ยเจี้ยของเหนียงเหนียง ตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้เห็นเหนียงเหนียงทุกข์ระทมและพยายามดิ้นรนเสมอมา หม่อมฉันเองก็รู้สึกเจ็บปวดใจไม่น้อย ทว่าวันนี้ท่านอ๋องได้อภิเษกสมรสมีพระชายาแล้ว เหนียงเหนียงจะได้คลายทุกข์และมีความสุขเสียที”

หลงเทียนอวี้ทำเพียงหยักหน้าลง แต่มิได้เอื้อนเอ่ยอันใด

เล่ห์กลในวังหลวงนั้นมากมายแลลึกล้ำเกินคณนา ฮองเฮาเป็นคนดื้อรั้นและไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น ไท่จื่อเองก็ขี้อิจฉาและขี้สงสัย การพาหมู่เฟยมาอยู่ด้วยไม่ใช่ทางเลือกที่ดี

ภายในพระตำหนัก เสียงหัวเราะอย่างสุขสราญใจดังออกมา

ดูเหมือนว่าพระชายาพระองค์ใหม่นี้จะชอบทำให้คนอื่นรักใคร่เอ็นดูตัวเองเสียจริง

แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ทำให้หมู่เฟยหัวเราะได้ ดูท่าแล้วเขาเองก็ต้องปกป้องดูแลนางด้วยสินะ!

ภายในพระตำหนัก หลินเมิ้งหยาที่กำลังพยายามสร้างเสียงหัวเราะให้กับพระสนมเต๋อเฟย ไม่อาจรู้เลยว่าตนเองเพิ่งจะได้รับการความคุ้มครองที่สำคัญถึงชีวิตจากใครคนหนึ่ง

อันที่จริงการกลับไปอยู่ตำหนักอ๋องอวี้ของพระสนมเต๋อเฟยไม่ควรจะเร่งรีบเช่นนี้

แต่เพราะฮองเฮาจงใจให้เป็นไปเช่นนั้น ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าทัดทาน

ระหว่างทาง หลินเมิ้งหยารับมือกับการหลอกถามของพระสนมเต๋อเฟยด้วยความสุภาพอ่อนน้อม นางตอบคำถามได้อย่างดีเยี่ยม ดังนั้นเกราะป้องกันที่มีต่อนางของพระสนมเต๋อเฟยจึงลดลงไปเหลือเพียงกึ่งหนึ่ง

อีกทั้งนางยังเป็นคนฉลาดเฉลียว ในชาติภพก่อนนางได้อ่านนิยายเกี่ยวกับการแย่งชิงในวังค่อนข้างมาก ดังนั้นริมฝีปากบางจึงเอื้อนเอ่ยวาจาอ่อนหวานดั่งดอกบัวบานจนพระสนมเต๋อเฟยหัวเราะตัวงอ

แม้แต่จิ่นเยว่ที่มักจะระแวดระวังผู้คนมากมายมาโดยตลอด ยังอดไม่ได้ที่จะชื่นชมพระชายาพระองค์ใหม่นี้

แม้หลงเทียนอวี้จะควบม้าอยู่ทางด้านนอก ทว่าจิตใจของเขากลับเพ่งไปที่ด้านใน

ความรู้สึกสับสนวุ่นวายฉายชัดในดวงตาซึ่งเจือไว้ด้วยความเย็นชาคู่นั้น

ตอนแรกเขาเห็นหลินเมิ้งหยาเป็นเพียงภาระและความอัปยศอดสู แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเวลาเพียงแค่วันเดียว นางจะทำให้คนทั้งหมดเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อนางได้

บนโลกใบนี้มักมีเรื่องที่ไม่อาจคาดเดาได้เสมอ บางที…หลินเมิ้งหยาอาจจะกลายเป็นหมากสำคัญสำหรับเขาก็ได้

พลบค่ำ พระสนมเต๋อเฟยไม่อาจทำใจออกห่างจากลูกสะใภ้ได้ ดังนั้นจึงพาหลินเมิ้งหยาไปพักผ่อนด้วยกันที่ตำหนักหยาเสวียน ดังนั้นท่านอ๋องอวี้ที่ต้องนอนอย่างโดดเดี่ยวในค่ำคืนที่สองหลังจากแต่งงานจึงถูกบ่าวไพร่แอบหัวเราะเยาะ

พระชายาพระองค์ใหม่เฉียบขาดยิ่งนัก ขนาดท่านอ๋องผู้เยือกเย็นยังสามารถกลายเป็นเปลวไฟอันแสนร้อนระอุได้

เพียงได้พบกับผั่วผั่ว พระชายาก็กลายเป็นที่รักใคร่เอ็นดูเกินกว่าใครจะแทรกแซง

ท่านอ๋องอวี้ผู้น่าสงสาร เพิ่งจะแต่งงานแท้ๆ แต่กลับถูกพระสนมแย่งพระชายาไปเสียนี่

ดูท่าแล้วต่อไปตำหนักท่านอ๋องอวี้แห่งนี้คงจะสนุกครึกครื้นขึ้นเป็นแน่แท้

“คารวะพระชายา ได้เวลาตื่นบรรทมแล้วเพคะ”

หลินเมิ้งหยาซึ่งกำลังนอนหลับอุตุอยู่ในใจกลางผ้าม่านถูกฉุดลุกขึ้นจากเตียงทั้งที่กำลังสะลึมสะลือ

เมื่อคืนพระสนมเต๋อเฟยชวนนางคุยอยู่นาน นางที่เพิ่งจะได้นอนหลับไม่นานกลับถูกปลุกขึ้นมาเสียแล้ว

หลับตาแปรงฟันล้างหน้าพร้อมทั้งเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนที่นางจะถูกส่งตัวเข้าไปในเกี้ยวอีกครั้ง ตอนนี้เองหลินเมิ้งหยาเพิ่งจะได้รับแจ้งว่าวันนี้เป็นวันที่นางต้องกลับไปยังบ้านเกิด

ประเดี๋ยวก่อน! กลับบ้าน?

สติสตางค์ของหลินเมิ้งหยาพลันกลับมาชัดเจนยิ่งขึ้น ดวงตากลมโตเบิกกว้าง นางสามารถปิดบังเรื่องนี้กับคนทั้งโลกได้ ถึงอย่างไรก่อนที่ผู้หญิงจะออกเรือนก็ไม่สามารถออกจากบ้านไปไหนได้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงได้พบเจอผู้คนไม่มากเท่าไร

แต่ว่า…หากกลับบ้านแล้วละก็ นั่นเท่ากับว่าจะต้องไปเจอกับคนในครอบครัวของหลินเมิ้งหยามิใช่หรือ?

ถ้าเช่นนั้นตัวนางเองจะไม่ถูกเปิดเผยหรืออย่างไร?

ความคิดแรกที่ปรากฏขึ้นมาคือการหนี

เหตุเพราะหากตัวตนถูกเปิดเผยขึ้นมาจริงๆ แล้วละก็ ท่านอ๋องหยู่ที่รู้ว่าตนเองถูกหลอกคง…

********************

1 เพ่ยเจี้ยคือคนรับใช้ประจำบ้านของฝ่ายหญิงที่ฝ่ายหญิงพาไปบ้านฝ่ายชายด้วยตอนแต่งงาน