ตอนที่ 32 คุกเข่า + ตอนที่ 33 ก้าวเข้าเรือนหย่าเฟิงอีกครั้ง

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

ตอนที่ 32 คุกเข่า

“เสี่ยวมู่จื่อ ข้าต้องไปปรนนิบัติชายผู้นั้นจริงหรือ? ไม่ไปได้หรือไม่?”

“สวรรค์ เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? เรียกท่านอ๋องเช่นนี้ได้อย่างไร!? นี้ถือเป็นการลบหลู่อย่างนัก ถ้าหากหัวหน้าได้ยินเข้า ต้องโดนสั่งโบยเป็นแน่!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา ใบหน้าสวยสดงดงามของเสี่ยวมู่จื่อขาวซีดด้วยความตกใจ ทันใดนั้นยื่นมือออกไปปิดปากของเล่อเหยาเหยา คล้ายกลัวเธอจะเอ่ยวาจาที่ไร้มารยาทออกมาอีก

เพราะถึงอย่างไร ภายในตำหนักอ๋องแห่งนี้ พวกเขาเป็นเพียงขันทีตัวเล็กๆ อยู่ที่นี่ชีวิตของพวกเขาจึงไม่มีค่าที่สุด!

หากทำผิดเล็กน้อย ถูกโบยถือเป็นเรื่องเล็ก สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือตัดศีรษะ

เมื่อถูกเสี่ยวมู่จื่ออุดปากอย่างรุนแรง หลังส่งเสียงร้องออกมา เล่อเหยาเหยาจึงยื่นมือออกไปดึงมือของเสี่ยวมู่จื่อลงอย่างรุนแรง ก่อนพลันรู้สึกไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าเสี่ยวมู่จื่อ

“เอาล่ะๆ ข้ารู้แล้ว เจ้าช่างขี้ขลาดเสียจริง!”

เล่อเหยาเหยาจนคำพูด เพราะถึงอย่างไรเธอไม่คิดอะไรจริงๆ เพียงแค่พูดว่าชายผู้นั้นประโยคเดียว หรือว่าท่านอ๋องไม่ใช้ชายหนุ่มแล้ว!?

แต่เล่อเหยาเหยาก็รู้ว่าเสี่ยวมู่จื่อเป็นห่วงเธอ ดังนั้นจึงไม่พูดอะไรออกมา เพียงหลังจากล้างหน้าหวีผมง่ายๆ อย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบเปลี่ยนเป็นชุดขันทีที่สะอาดสะอ้าน

อาหารมื้อเช้ายังไม่ได้กิน หัวหน้าขันทีเต๋อหลี่ที่ใบหน้าเคร่งขรึมก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าพวกเล่อเหยาเหยา

สีหน้าเคร่งขรึมไม่พอใจนั้น คล้ายมีคนกู้ยืมเงินเขาไปแล้วไม่ส่งคืน

น้ำเสียงนั้นไม่ไพเราะน่าฟังดังราวกับเสียงเป็ด

“เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้าช่างบังอาจ เป็นบ่าวรับใช้กลับนอนตื่นสายกว่าเจ้านาย ศีรษะของเจ้าไม่ต้องการแล้วใช่หรือไม่!?”

เพียงประโยคเดียวของหัวหน้าหลี่ ทำให้เล่อเหยาเหยาขนลุกชันไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว พร้อมถอนหายใจออกมา โชคดีที่เธอไม่ได้ข้ามเวลามาอยู่ในร่างของขันทีจริงๆ มิฉะนั้นต่อไปถ้าหากให้เธอกลายเป็นเช่นเขา สู้ให้เธอตายไปซะดีกว่า

ขณะที่กำลังบ่นอยู่ในใจ ทางด้านเสี่ยวมู่จือเมื่อเห็นสีหน้าของหัวหน้าขันทีลี่ดูมืดครึ้ม เกรงว่าเขาอาจจะลงโทษเสี่ยวเหยาจื่อ พลันดึงเสี่ยวเหยาจื่อที่ใบหน้าไม่เต็มใจคุกเข่าลงตรงหน้าหัวหน้าขันทีลี่อย่างลุกลี้ลุกลน พร้อมเร่งรีบอ้อนวอน

“หัวหน้าขันทีลี่ เสี่ยวเหยาจื่อ เขาไม่ได้ตั้งใจขอรับ เมื่อครู่เสี่ยวเหยาจื่อไม่สบาย ดังนั้นจึงตื่นสาย หัวหน้าขันทีลี่ได้โปรดละเว้นเสี่ยวเหยาจื่อครั้งนี้ด้วยเถอะขอรับ!”

“ไม่สบาย!? ไม่สบายจริงหรือ?”

คำพูดนี้ หัวหน้าขันทีลี่เอ่ยกับเล่อเหยาเหยา

ถึงแม้หัวหน้าขันทีลี่ปีนี้จะอายุกว่าห้าสิบปีแล้ว ทว่าสายตายังแหลมคมอย่างมาก เพียงถูกเขามองเช่นนี้แวบเดียว ทั่วร่างคล้ายถูกเขามองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง

เมื่อฟังคำพูดของหัวหน้าขันทีลี่ เล่อเหยาเหยาที่ยังคงมีสีหน้าไม่เต็มใจ จึงไม่อยากให้เสี่ยวมู่จื่อกังวล ดังนั้นจึงได้แต่ทำตามสัญญานที่เสี่ยวมู่จื่อส่งผ่านทางสายตา ก่อนจะพยักหน้าพร้อมเอ่ยพูดขึ้น

“ขอรับ บ่าวไม่สบายจริงๆ!”

เพียงแต่ไม่ใช่ร่างกายไม่สบาย แต่เป็นใจต่างหากที่ไม่สบาย!

เพราะถึงอย่างไรเธอใช้ชีวิตมากว่าสิบแปดปี กระทั่งพ่อแม่ตนเองล้วนไม่เคยต้องคุกเข่า ตอนนี้กลับต้องคุกเข่าให้ขันทีเฒ่าผู้นี้ ในใจเธอจะรู้สึกดีได้อย่างไร!?

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เล่อเหยาเหยาจึงอดที่จะแค้นใจต่อความสูงต่ำของฐานะที่แบ่งแยกชัดเจนอย่างชั่วช้าในสมัยนี้ ไม่ว่าทำอะไรต้องคุกเข่า จนหัวเข่าดำไปหมดแล้ว!

ขณะที่เล่อเหยาเหยาบ่นในใจ หัวหน้าขันทีลี่ที่ได้ยินคำพูดของเธอ เพียงส่งเสียงฮึที่เย็นชาออกมา บนใบหน้าดูไม่เชื่ออย่างชัดเจน ทว่าครั้งนี้เขากลับไม่อยากถือสาเอาความ เอ่ยเพียงว่า

“ครั้งนี้ช่างเถอะ ความคิดของบ่าวรับใช้เล็กๆ เช่นพวกเจ้า ไม่รอดพ้นจากสายตาของพวกเราไปได้หรอก! ฮึ ตอนนี้ยังไม่รีบไปที่เรือนหย่าเฟิงปรนนิบัติท่านอ๋อง จะรออะไรอีกกันเล่า!? ”

สายตาของหัวหน้าขันทีลี่จ้องมองมา เล่อเหยาเหยาที่แม้ในใจคุกรุ่นทว่าล้วนทำอะไรไม่ได้ เพราะตอนนี้เธอเป็นคนที่อยู่ภายใต้ชายคาแห่งนี้ จึงไม่ก้มหัวไม่ได้

ในตำหนักอ๋องแห่งนี้ นอกจากท่านอ๋อง หัวหน้าขันทีลี่ผู้นี้มีอำนาจมากที่สุด

ว่ากันว่าหัวหน้าขันทีลี่ผู้นี้เป็นคนที่คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายท่านอ๋องมาตั้งแต่เด็ก ท่านอ๋องจึงเคารพเขาอย่างมาก

เมื่อคิดถึงพวกนี้ เล่อเหยาเหยาจึงกัดริมฝีปากแน่น พูดด้วยน้ำเสียงต่ำว่า ‘ขอรับ’ ก่อนพลันลุกยืนขึ้น เดินไปที่ตำหนักหย่าเฟิงอย่างเร่งรีบ

………………………………………………………………..

ตอนที่ 33 ก้าวเข้าเรือนหย่าเฟิงอีกครั้ง

จากความทรงจำเมื่อคืน เล่อเหยาเหยาจึงมาถึงประตูด้านหน้าของเรือนหย่าเฟิงอย่างรวดเร็ว

ขณะนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ พระอาทิตย์กำลังเคลื่อนขึ้นมาจากทิศตะวันออก แสงแดดทะลุผ่านเมฆหมอกที่หนานั้น ทำให้พื้นดินด้านล่างสาดส่องไปด้วยแสงสีทองอันอบอุ่น

ตอนนี้เป็นช่วงเดือนสี่ อากาศจึงไม่เย็นไม่ร้อน สายลมยามเช้าตรู่ที่พัดผ่านไปอย่างช้าๆ แฝงไปด้วยระลอกความหนาวเย็น จึงทำให้รูสึกเย็นสบาย

แม้จะเป็นเวลาเช้าตรู่ แต่ภายในตำหนักอ๋องกลับค่อยๆ คึกคักขึ้นมา

เห็นเพียงรอบด้านข้าราชบริพารไม่น้อยวิ่งวุ่นไปมาอยู่ระหว่างนั้น ด้วยท่าทีที่เป็นระเบียบเรียบร้อย

ทุกที่ในตำหนักอ๋อง มีองครักษ์ที่สวมชุดเกราะเหล็กเดินลาดตระเวนอยู่ เห็นชัดว่าตำหนักอ๋องแห่งนี้เข้มงวดกวดขันอย่างมาก คิดหลบหนีออกไปจากที่นี่ ยากกว่าการขึ้นไปบนสวรรค์จริงๆ

ยิ่งคิดในใจเล่อเหยาเหยายิ่งรู้สึกจำใจและหนักอึ้ง อีกทั้งขาทั้งสองข้างที่หยุดอยู่ตรงหน้าประตูเรือนหย่าเฟิง เหมือนหนักอึ้งราวถูกถ่วงไว้ด้วยเหล็ก จนขยับเท้าก้าวเดินไม่ได้เลย

สุดท้ายหางตายังกวาดดูอย่างละเอียด จึงเห็นหัวหน้าขันทีลี่ที่อยู่ไม่ไกลเดินเข้ามาไม่ไกล ดูท่าแล้วหัวหน้าขันทีลี่ยังไม่วางใจเธอจึงเดินเข้ามาดู

เมื่อเห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะแสดงท่าทางที่ห้าวหาญมั่นใจเข้าไปในเรือนหย่าเฟิง

ด้านในเรือนหย่าเฟิงยังคงเหมือนเมื่อวานตอนที่เธอเข้ามา กระทั่งพื้นหินสีน้ำเงินด้านหน้าตำหนักนั้น ยังถูกจัดการจนสะอาดสะอ้านแล้ว โดยไม่มีร่องรอยของการต่อสู้แสนดุเดือดของเมื่อคืนเลยแม้แต่นิดเดียว

เมื่อเล่อเหยาเหยามาถึงหน้าประตูห้องที่ประณีตงดงามนั้น เห็นเพียงประตูพัดลายสลักนั้นเปิดอ้ารอไว้แล้ว เพียงผลักเบาๆ ก็เปิดออกสามารถเดินเข้าไปได้

แต่เพียงคิดที่เมื่อผลักเปิดประตูไม้พัดลายสลัก แล้วต้องเผชิญหน้ากับชายผู้เอาแน่เอานอนไม่ได้ผู้นั้นอีกครั้ง เล่อเหยารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา

สุดท้ายแล้ว เธอจะผลักเปิดประตูหรือไม่!?

หรือว่า ตอนนี้จะหมุนตัวหนีไป!?

ช่างทำให้คนเลือกยากจริงๆ

หลังจากลังเลอยู่นาน เล่อเหยาเหยาจึงยอมรับชะตากรรม กัดฟันเอาไว้แน่น แล้วใช้มือผลักที่ประตูเบาๆ

เมื่อประตูไม้เสียดสีกับพื้นจนเกิดเสียงดังออดแอดขึ้น ประตูไม้พัดลายสลักบานนั้นจึงถูกเธอผลักเปิดออก

ด้วยจิตใจอันเด็ดเดี่ยว เล่อเหยาเหยาจึงกำมือทั้งสองข้างแน่น คล้ายทหารบุกเข้าสังหารศัตรู ก่อนยกเท้าเดินเข้าไปในห้อง

ขณะที่เข้าไปในห้อง ได้กลิ่นหอมของจันทร์เทศโชยมาแตะจมูกอย่างรวดเร็ว

เล่อเหยาเหยาที่ได้กลิ่นเบาๆ ดวงตาทั้งสองข้างจึงเป็นประกายขึ้น

ถึงอย่างไรกลิ่นหอมพวกนี้ล้วนไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เพราะเธอเคยได้กลิ่นจากบนตัวของใครบางคน

ดวงตาที่งดงามสอดส่องไปมาหลังจากที่เข้ามาในห้อง ไม่นานสายตาเธอพลันหยุดลงที่มุมหนึ่ง

เห็นเพียงหากเปิดหน้าต่างพัดลายสลักบานใหญ่นั้นออก แล้วมองจากบริเวณหน้าต่างนั้นออกไป จะสามารถมองเห็นสระน้ำอันกว้างใหญ่

แสงแดดยามเช้าตรู่อันสดใสงดงาม สาดส่องลงมาบนผิวน้ำในสระ ทำให้ผิวน้ำด้านบนเกิดเป็นแสงสีทองที่แวววาวระยิบระยับ

ลมเย็นเอื่อยๆ พัดผิวน้ำให้กลายเป็นระลอกคลื่น

ภาพนั้นช่างงดงามยิ่งนัก!

แต่ทว่าภาพทิวทัศน์ทั้งหมดที่งดงามนั้น หากมีชายหนุ่มผู้นั้นอยู่ ทั้งหมดกลายเป็นเพียงฉากด้านหลังเท่านั้น!

เพียงเห็นแสงแดดสีทองที่อบอุ่นสาดส่องทะลุผ่านหน้าต่างลายสลักที่เปิดอ้าเข้ามา พร้อมสาดเอียงลงมาบนตัวของชายหนุ่ม

เสื้อที่ขาวราวหิมะ ผมยาวเงางามราวม่านน้ำตก พร้อมสายลมเอื่อยๆ ที่พัดเสื้อผ้าของชายหนุ่มให้ปลิวไสว  ซึ่งเส้นผมยาวดำขลับกลุ่มนั้นทำให้ด้านหลังของเขาเกิดเป็นมุมองศาที่งดงาม

ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบเงียบ ทั่วร่างกายคล้ายถูกกลุ่มแสงสีทองห่อหุ้มเอาไว้ แม้จะเป็นเช่นนั้นทว่ายังคงงดงามจนตื่นตระหนกตกใจเช่นเดิม

เมื่อเห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงร่างกายถูกไฟดูด จนหัวใจคล้ายหยุดเต้นลง

ดวงตาสุกใสเป็นประกายคู่นั้น หลังหยุดมองบนร่างของชายหนุ่ม ก็ไม่สามารถเคลื่อนย้ายออกไปได้อีกเลย

คล้ายรู้สึกถึงการจ้องมองของคนที่อยู่ด้านหลัง ชายหนุ่มที่หันหลังให้กับเล่อเหยาเหยาจึงอดที่จะชำเลืองตามองไม่ได้