บทที่ 3 สถานการณ์เลวร้าย

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

สาม

สถานการณ์เลวร้าย

เสวี่ยเจียเยว่นำถ้วย ตะเกียบ และหม้อไปล้างที่ลำธารสายเล็ก เมื่อเสร็จแล้วจึงเก็บใส่ตะกร้าให้เรียบร้อย จากนั้นก็ยืนนิ่งอยู่ข้างที่นา

ให้ล้างถ้วยล้างชามยังพอได้ แต่เรื่องดำนาแบบนี้เธอทำไม่ได้จริงๆ อย่างมากก็เคยเห็นแค่ในโทรทัศน์เท่านั้น

ดังนั้นเธอจึงจับตาดูเสวี่ยหยวนจิ้งว่าทำอย่างไร

หลังจากเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาไปถอนต้นกล้าในนาได้ไม่นาน เสวี่ยหยวนจิ้งก็ม้วนแขนเสื้อกับขากางเกงขึ้น ก่อนจะลงไปปักดำต้นกล้าต่อ

ตั้งแต่เขาขึ้นมากินข้าวจนกลับไปดำนาต่อนั้น เด็กหนุ่มไม่พูดอะไรออกมาสักคำ สีหน้าของเขานิ่งเฉยไร้ความรู้สึก หากไม่ใช่เพราะหน้าตาหล่อเหลาเอาการกว่าใคร เกรงว่าคงไม่มีใครให้ความสนใจเขาสักคนกระมัง

ขณะนี้เด็กหนุ่มสวมหมวกฟาง ในมือถือต้นกล้าสีเขียว และกำลังก้มลงดำนา แม้จะเป็นชาวนา แต่กลับไม่สามารถบดบังความสง่างามในตัวเขาได้ ทุกการเคลื่อนไหวล้วนงดงามและมีเสน่ห์ ราวกับว่าตอนนี้เขาไม่ได้ดำนาอยู่ในทุ่งนาที่เต็มไปด้วยโคลนตม แต่กำลังนั่งเรียนหนังสืออยู่ในห้องเรียนอย่างไรอย่างนั้น

แม้จะเป็นการเคลื่อนไหวในแบบเดียวกัน ก็ใช่ว่าทุกคนจะทำออกมาได้เหมือนกัน

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่มองต้นกล้าที่เสวี่ยหย่งฝูปักดำเมื่อครู่นี้ ก็เห็นว่าไม่เป็นระเบียบเท่าไรนัก แต่เมื่อหันไปดูต้นกล้าที่เสวี่ยหยวนจิ้งปักดำอีกครั้ง กลับดูเป็นระเบียบเสมอกันและตั้งตรงเรียงรายสวยงาม ราวกับตรงยิ่งกว่าเส้นที่ขีดด้วยไม้บรรทัดเสียอีก

เสวี่ยหยวนจิ้งผู้นี้จะต้องเป็นคนละเอียดมากอย่างแน่นอน

หลังจากเสวี่ยเจียเยว่ได้รู้นิสัยของเขาแล้ว เธอก็สังเกตเสวี่ยหยวนจิ้งว่าดำนาอย่างไรอยู่เงียบๆ ก่อนจะก้มลงถอดรองเท้า

รองเท้าผ้าที่เธอสวมคู่นี้เก่ามากแล้ว ไม่เพียงสกปรกเท่านั้น ส่วนที่ตรงกับนิ้วเท้าด้านขวายังขาดเป็นรูโหว่อีกด้วย แต่จะทำอย่างไรได้ นี่เป็นรองเท้าคู่เดียวที่เธอหาเจอในห้องเมื่อเช้านี้ จึงทำได้เพียงสวมไปก่อน

สายตาของเธอพลันเหลือบไปเห็นรองเท้าผ้าคู่หนึ่งที่วางอยู่ด้านข้าง เป็นรองเท้าของเสวี่ยหยวนจิ้งที่ถอดเอาไว้เมื่อครู่นี้

มองปราดเดียวก็รู้ว่ารองเท้านี้ทั้งเก่าและชำรุดไม่น้อย ไม่รู้ว่าเขาสวมมันมานานเท่าไร แต่ที่รู้แน่ๆ คือมันถูกซักทำความสะอาดเป็นอย่างดี ไม่เพียงถอดเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเท่านั้น แม้แต่ปลายรองเท้ายังเหมือนถูกจัดวางให้ตรงกันอีกด้วย

“…”

นิสัยของเสวี่ยหยวนจิ้งทั้งรักความสะอาด และเป็นโรครักความละเอียดเสียเหลือเกิน

เธอคิดในใจ จากนั้นก็ม้วนขากางเกงขึ้น ก่อนจะก้าวลงไปในนา

ลักษณะของนาแห่งนี้คือ ด้านบนเป็นน้ำ ส่วนด้านล่างเต็มไปด้วยโคลนที่ทั้งแฉะและเหนียว เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้ระวังตั้งแต่แรก เมื่อเท้าเหยียบลงไปในโคลน เธอก็ต้องใช้แรงมหาศาลถึงจะดึงเท้าขึ้นมาได้

เสวี่ยเจียเยว่เดินย่ำโคลนโดยลงน้ำหนักเท้าข้างหนึ่ง อีกข้างเบากว่า และรู้สึกได้ถึงความแปลกใหม่

ต้นกล้าสีเขียวขจีที่ถูกถอนขึ้นมาทำเป็นมัดเล็กๆ วางอยู่ในที่นาอย่างสะเปะสะปะ เสวี่ยเจียเยว่มองแล้วเลียนแบบท่าทางของเสวี่ยหยวนจิ้ง โดยคว้าต้นกล้าขึ้นมาหนึ่งมัด ก่อนจะแกะฟางที่มัดต้นกล้านั้นออกแล้วโยนทิ้ง หลังจากแบ่งต้นกล้าออกมาสองสามต้น ก็โน้มตัวปักดำลงไปในโคลน

ตอนมองเสวี่ยหยวนจิ้งทำนั้นช่างดูเหมือนง่ายดาย แต่พอถึงคราวที่เธอต้องทำกลับกลายเป็นเรื่องยากยิ่ง หากปักต้นกล้าลงโคลนเบาเกินไป ต้นกล้านั้นก็จะลอยขึ้นมาอยู่เหนือผิวน้ำ แต่ถ้าใช้แรงหนักเกินไป ต้นกล้าก็จะหัก การดำนาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะไม่ว่าจะทำอย่างไร ต้นกล้าก็ยังเอียงไปเอียงมาไม่มั่นคงอยู่ดี

เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก เธอหยัดกายขึ้นยืน หันไปมองเสวี่ยหยวนจิ้งอีกครั้ง ก็เห็นว่ายามนี้เขาปักดำต้นกล้าในมือเสร็จพอดี จากนั้นคว้าต้นกล้าอีกมัดขึ้นมา เขาเหลือบมองเธอด้วยสายตาเย็นชา เมื่อเห็นเธอมองเขา เด็กหนุ่มก็ก้มหน้าลงอย่างไม่แยแส

เป็นอย่างที่เสวี่ยเจียเยว่คิดเอาไว้ เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ชอบเจ้าของร่างนี้ ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนคงผูกอาฆาตกันไม่น้อย อีกอย่าง… ตามที่ป้าโจวกล่าวว่าเมื่อไม่นานมานี้ซุนซิ่งฮวาเพิ่งขายน้องสาวของเขาไป พระเอกที่ใจเย็นและเงียบขรึมมาโดยตลอดจึงเอ่ยถามถึงเรื่องที่โหดเหี้ยมทารุณเช่นนี้จากซุนซิ่งฮวา ว่านางเอาน้องสาวของเขาไปขายที่ไหน เพราะเขาอยากจะพาตัวน้องสาวกลับมา ทว่าซุนซิ่งฮวากลับยุยงเสวี่ยหย่งฝู ในที่สุดเขาก็ใช้กระบองทุบตีพระเอกอย่างทารุณ จนเด็กหนุ่มนอนป่วยอยู่บนเตียงหลายวัน

“เด็กคนนั้นช่างดวงแข็งเสียจริง ตอนนั้นเห็นหน้าไม่มีเลือดฝาดเลยสักนิด ข้ายังนึกว่าเขาจะไม่รอดจนต้องไปพบหน้ามารดาที่ตายไปแล้วของเขาเสียอีก คิดไม่ถึงว่าผ่านไปไม่กี่วัน เขากลับหายดีจนลุกขึ้นมาจากเตียงได้” ป้าโจวกล่าวเช่นนี้

หลังจากนั้นก็เหมือนว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะพูดน้อยลงทุกวัน และยิ่งเย็นชามากขึ้น

เสวี่ยเจียเยว่คิดถึงบทบาทของตัวละครน้องสาวลูกติดแม่เลี้ยงของพระเอก ที่เพื่อนร่วมห้องพูดให้เธอฟังอย่างมีความสุขในเวลานั้น… ชะตากรรมของเอ้อร์ยาจะถูกลงโทษด้วยการตัดแขนขา ในหัวตอนนี้คิดเพียงเรื่องเดียวว่า หากเธอเริ่มแก้ไขความสัมพันธ์ระหว่างตนกับเสวี่ยหยวนจิ้งตั้งแต่ตอนนี้จะทันเวลาหรือไม่ เพราะเธอไม่อยากถูกหั่นเป็นท่อนๆ

ขณะที่เสวี่ยเจียเยว่กำลังตกอยู่ในภวังค์นั้น จู่ๆ ความรู้สึกเจ็บแปลบก็แล่นขึ้นมาบนน่อง เมื่อเธอยกขาดู ร่างเล็กก็ถึงกับแข็งทื่อ!

เธอเห็นสัตว์ตัวอ่อนนิ่มสีเทาแกมเขียวตัวหนึ่งกำลังไต่ขึ้นมาบนน่องอันขาวเนียน

มันคือปลิงน้ำในนิยายนั่นเอง หรือเรียกกันทั่วไปว่าปลิงดูดเลือด

แต่ไหนแต่ไรมา เสวี่ยเจียเยว่กลัวสัตว์ไร้กระดูกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อจู่ๆ ก็เห็นว่าน่องของตนมีปลิงตัวหนึ่งกำลังไต่ขึ้นมา เธอก็ตกใจจนวิ่งกลับขึ้นไปบนพื้นดินข้างที่นาอย่างรวดเร็ว ทั้งยังไม่สนโคลนตมที่กระเซ็นมาโดนใบหน้าและร่างกายแม้แต่น้อย

เสวี่ยเจียเยว่ก้มลงมองอีกครั้ง พบว่าเจ้าสัตว์ตัวนั้นยังเกาะอยู่บนน่องของเธอแน่น ไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยเลย

เธอไม่กล้ายื่นมือไปดึงมัน เมื่อคิดไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก็คว้ากิ่งไม้ที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาเขี่ยมันออกด้วยมืออันสั่นเทา ทั้งยังต้องใช้แรงมากมันถึงได้ยอมหลุดออกไป เพราะเจ้าสัตว์ชนิดนี้เมื่อมันเกาะแล้วก็กัดแน่น อีกอย่าง… พอเขี่ยออกได้ บริเวณที่ถูกกัดก็เริ่มมีเลือดซึม

เสวี่ยเจียเยว่ไม่กล้าไปล้างแผลที่ลำธาร เพราะกลัวว่าจะมีปลิงอยู่ในน้ำอีก เธอจึงเด็ดหญ้ามาใบหนึ่ง ก่อนจะกดไปที่แผลอย่างลวกๆ เมื่อเลือดหยุดไหลแล้ว เธอก็หันไปเห็นปลิงที่ตนเขี่ยออกไปเมื่อครู่กำลังไต่กลับมา

ปลิงตัวนี้อ้วนกลมเป็นพิเศษ เมื่อครู่มันคงดูดเลือดเธอไปไม่น้อย เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นดังนั้น เธอก็กวาดตามองไปรอบๆ และเห็นก้อนหินขนาดปานกลางก้อนหนึ่ง จึงรีบเดินไปเก็บมันขึ้นมา แล้วใช้ทุบปลิงตัวนั้นทันที

ทว่าเจ้าสัตว์ตัวนี้มันตายยากจริงๆ ไม่ว่าจะทุบไปกี่ครั้ง มันก็ยังมีชีวิตอยู่ สุดท้ายเสวี่ยเจียเยว่ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงยอมแพ้แล้วโยนหินก้อนนั้นทิ้งไป

เมื่อเงยหน้าขึ้น เธอก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังมองมา อีกทั้งยังเห็นแววเย้ยหยันอยู่บนใบหน้าของเขาด้วย

เธอครุ่นคิดสักครู่ก็นึกขึ้นได้ เด็กในชนบทจะมีสักกี่คนกันที่กลัวปลิง สิ่งที่เธอเพิ่งทำไปล้วนอยู่ในสายตาของเสวี่ยหยวนจิ้ง เขาคงคิดว่าเธอกำลังเสแสร้งแกล้งทำอยู่กระมัง

เสวี่ยเจียเยว่ไม่สนใจแล้วว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะมองเธอเช่นไร และไม่ว่าเขาจะพูดอะไร เธอก็ไม่ยอมลงไปปักดำต้นกล้าเด็ดขาด ดังนั้นเธอจึงยืนอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ และมองเด็กหนุ่มโดยไม่หลบตา

สายตาของเสวี่ยหยวนจิ้งยังเย็นชาเช่นเคย ก่อนจะก้มลงปักดำต้นกล้าของตนต่อ ทันใดนั้นเขาก็ชะงัก ก่อนจะยกขาขวาขึ้นมา

เสวี่ยเจียเยว่มองเห็นน่องของเขามีปลิงสีเทาแกมเขียวเกาะอยู่ตัวหนึ่งเช่นกัน

เธอยังไม่ทันได้สะใจกับโชคร้ายของเขา ก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะก้มลงดึงปลิงที่เกาะอยู่บนน่องของตนออกช้าๆ จากนั้นจึงเดินถือปลิงมาทางที่เธอยืนอยู่

เสวี่ยเจียเยว่ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งหยิบกิ่งไม้ที่อยู่ตรงหน้าเธอขึ้นมา แล้วเขี่ยปลิงตายยากออกไปตากแดด จากนั้นเขาหยิบก้อนหินที่เธอเพิ่งโยนทิ้งขึ้นมา และกดลงบนหัวของปลิงที่ดูดเลือดเขา ก่อนจะนำไปตากแดดเช่นกัน

เมื่อทำเช่นนี้ปลิงทั้งสองตัวก็ตาย อีกทั้งยังเป็นการตายที่ทรมานไม่น้อย เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันจะเหมือนผีดูดเลือดที่โดนแสงแดดไม่ได้ เมื่อตากแดดแบบนี้มันจึงตาย

เสวี่ยหยวนจิ้งเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยสีหน้าเย็นชา ก่อนจะเดินกลับไปดำนาต่อ

ตั้งแต่เริ่มจนจบเขาไม่เอ่ยอะไรออกมาสักประโยค แต่สามารถทำเรื่องที่เรียกว่าโหดร้ายป่าเถื่อนได้อย่างไม่แยแสสิ่งใด

ส่วนเสวี่ยเจียเยว่ได้แต่รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว

เสวี่ยหยวนจิ้งต้องจงใจแกล้งเธออย่างแน่นอน เขาตั้งใจทำเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าเธอ ไม่อย่างนั้นการเคลื่อนไหวของเขาจะช้าขนาดนั้นหรือ การกระทำนั้นเรียกได้ว่าเอื่อยเฉื่อย ราวกับอยากให้เธอเห็นทุกขั้นตอนอย่างชัดเจน

เสวี่ยเจียเยว่คิดเช่นนี้ในใจ เขาเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิตจริงๆ ทว่าเจ้าของร่างนี้ก็จงใจทำให้คนโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างเขาไม่พอใจ…

เธอคิดว่าแม้ตนจะเริ่มทำดีกับเสวี่ยหยวนจิ้งในตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใด คนใจคอโหดเหี้ยมตั้งใจบดหัวปลิงต่อหน้าเธอ หากอยากเปลี่ยนความรู้สึกของเขา เกรงว่าจะยากเสียยิ่งกว่าการบินขึ้นไปบนฟ้าเสียอีก

กระทั่งเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาหาบต้นกล้าขึ้นมา เสวี่ยเจียเยว่ก็ยังไม่หลุดจากภวังค์ เธอยังคงยืนงงงวยกับสถานการณ์โชคร้ายที่ตัวเองเพิ่งได้พบอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้

ซุนซิ่งฮวาเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่ขี้เกียจก็ไม่พอใจ นางเคยถูกแม่สามีที่ตายไปแล้วด่าอยู่หลายวันเพราะให้กำเนิดลูกสาว ไม่ใช่ลูกชาย ทำให้ซุนซิ่งฮวารู้สึกเดือดดาลในใจมาโดยตลอด จึงมักด่าทอลูกสาวของตนอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่ยืนอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ นางจึงวางหาบมัดกล้าลง แล้วเริ่มด่ายกใหญ่

“เจ้ามายืนโง่อยู่ตรงนี้ทำไม ยังไม่ลงไปดำนาอีก!”

ก่อนที่นางกับเสวี่ยหย่งฝูจะไปถอนต้นกล้านั้น ซุนซิ่งฮวาได้สั่งเอาไว้ว่าให้เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ปักดำต้นกล้าที่เหลือ ทว่าเมื่อกลับมาก็เห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่ยังไม่ได้ปักดำต้นกล้าสักต้น นางจึงอดโมโหไม่ได้

เสวี่ยเจียเยว่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น สายตายังคงมองแผ่นหลังของเสวี่ยหยวนจิ้ง

มองเพียงเท่านี้ก็รู้ว่าเขาเป็นคนมีสง่าราศีมาก เขาทำเรื่องแบบนั้นโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อยได้อย่างไร

ส่วนซุนซิ่งฮวาเดิมทีเป็นคนโมโหร้ายอยู่แล้ว เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่กล้ายืนเฉยไม่แยแส นางก็เอื้อมมือไปดึงมัดกล้าบนไหล่เสวี่ยหย่งฝูที่ยืนดูอยู่ข้างๆ แล้วฟาดไปที่หลังของคนร่างเล็กเต็มแรง

“เจ้าไม่มีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร!” นางตบตีพลางด่า “เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ!”

เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันที ก่อนจะหันไปมองซุนซิ่งฮวาด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก

เมื่อซุนซิ่งฮวาเห็นดังนั้น ก็ยิ่งโมโหมากกว่าเดิม นางฟาดมัดกล้าเต็มแรงอีกครั้ง “เจ้ากล้าจ้องข้าหรือ แม่ตบตีลูกสาวแล้วอย่างไร ต่อให้ตีเจ้าจนตาย ต่อให้ไปพบยมบาล เจ้าก็ไม่สนใจอยู่แล้ว”

หลังจากนางกล่าวจบ ขณะกำลังจะฟาดมัดกล้าอีกครั้งกลับมีคนจับมือนางเอาไว้

คนผู้นั้นคือเสวี่ยหย่งฝูนั่นเอง

“เอ้อร์ยาเพิ่งหายป่วย หากไม่อยากลงนาก็ช่างนางเถอะ ถึงอย่างไรก็เหลืออีกไม่มาก ในเวลาสามวันนี้พวกเราต้องปักดำต้นกล้าพวกนี้ให้เสร็จอยู่ดี” เขาหันไปมองเสวี่ยเจียเยว่ ทั้งยังยื่นมือไปลูบหลังเธอเบาๆ ก่อนจะหัวเราะแล้วเอ่ยต่อ “อีกอย่าง… เอ้อร์ยายังไม่ออกเรือน ทั้งบอบบางอย่างนี้ หากเจ้าตบตีนาง หัวใจคนเป็นพ่ออย่างข้าก็เจ็บปวดนัก”

คำพูดเช่นนี้ฟังดูประหลาดยิ่งนัก เสวี่ยเจียเยว่รีบขยับออกห่างจากเสวี่ยหย่งฝู เพราะไม่ต้องการให้เขาสัมผัสแผ่นหลังของเธออีก

ซุนซิ่งฮวาจ้องเสวี่ยเจียเยว่เขม็ง ก่อนจะพูดขึ้น “ในเมื่อพ่อเจ้าพูดแทนแล้ว วันนี้เจ้าก็ไม่ต้องลงไปปักดำต้นกล้า”

ทั้งยังสั่งอีกยาวเหยียด “เจ้าเอาตะกร้ากลับเรือน พอไปถึงก็ห้ามพัก ต้องทำความสะอาดทั้งในและนอกเรือน ให้อาหารไก่ แล้วไปทำข้าวเย็น ในตู้กับข้าวยังมีหมั่นโถวอยู่สองสามลูก เจ้าเอาออกมาอุ่นแล้วค่อยเอาโจ๊กข้าวฟ่างมาอุ่นต่อ พอเสร็จแล้วก็เอาไข่ไก่สามฟองออกมาทอดให้เรียบร้อย”

นางกล่าวจบก็หยิบลูกกุญแจพวงหนึ่งที่เหน็บอยู่บนเอวของตนมาส่งให้เสวี่ยเจียเยว่ และไม่ลืมเตือน

“ห้ามขโมยกินล่ะ ไข่กับหมั่นโถวในเรือนข้านับเอาไว้แล้ว หากข้ากลับไปแล้วเห็นมันขาดไปแม้แต่ชิ้นเดียว ข้าจะถลกหนังเจ้าออกมาเลยคอยดู!”

เสวี่ยเจียเยว่ยื่นมือไปรับลูกกุญแจ จากนั้นจึงเดินไปอีกด้านอย่างเงียบๆ ก่อนจะหิ้วตะกร้าไม้ไผ่ขึ้นมาแล้วเดินจากไป

เดินมาได้ไม่กี่ก้าว เธอก็หันกลับไปมองคนทั้งสามที่กำลังปักดำต้นกล้า

เมื่อพ่อเลี้ยงที่น่ารังเกียจเอ่ยห้ามมารดาทำร้ายหรือดุด่าเธอ ส่วนพี่ชายลูกติดพ่อเลี้ยงที่ใจคอโหดเหี้ยมผู้นั้นก็เกลียดชังเธอไปแล้ว เสวี่ยเจียเยว่พลันรับรู้ได้ถึงสถานการณ์อันเลวร้ายของตน