แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะกลัวตาย แต่ความมุ่งมั่นและดื้อรั้นของเด็กหนุ่มนั้นมีมากกว่าคนทั่วไป ต้องขอบคุณบิดาของเขาสำหรับเรื่องนั้น เพราะหากบิดาของโจวเหว่ยชิงไม่ได้ฝึกฝนเด็กหนุ่มอย่างหนักตั้งแต่เด็กๆ เขาก็คงจะไม่กลายเป็นคนเช่นนี้
เมื่อเวลาผ่านไป โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวสลับกัน บางครั้งรู้สึกชา บางครั้งรู้สึกปวด บางครั้งก็คันจนทนไม่ไหว นั่นทำให้เด็กหนุ่มกลิ้งตัวไปมาในกระโจมอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ชั้นไอพลังสีดำและเทายังคงหลั่งไหลออกมาจากร่างของเขากระจายไปทั่ว จนกระทั่งทั่วทั้งกระโจมเต็มไปด้วยไอหมอกสีดำนี้
ดวงตาของโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนไปเป็นสีแดงก่ำคล้ายเลือดมากขึ้นเรื่อยๆ สติสัมปชัญญะของเขาก็เริ่มเลือนหายไปด้วยความเจ็บปวด ภายในจิตใต้สำนึกดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะเห็นภาพแปลกประหลาด หรืออาจจะพูดได้ว่าเห็นสิ่งมีชีวิตน่าพิศวงบางอย่าง
มันเป็นเสือดำขนาดมหึมา มีลำตัวสีดำสนิทดุจหมึกไร้สิ่งเจือปน ร่างกายของมันถูกปกคลุมด้วยม่านพลังสีดำ และเทา ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยไอความตาย กระแสพลังสีเขียว และสีน้ำเงินหมุนวนอยู่รอบตัวของมัน แต่สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือหางของมันนั้นไม่ใช่หางเสือปกติ ทว่าเป็นหางของแมงป่องขนาดใหญ่
นั่นมันสิ่งมีชีวิตชนิดไหนกัน? โจวเหว่ยชิงได้แต่ประหลาดใจและไม่มั่นใจในสิ่งที่ตนเองเห็น เขาไม่ใช่คนโง่ จริงๆแล้วเขาเป็นคนที่ฉลาดมากด้วยซ้ำ หากในเวลานี้โจวเหว่ยชิงยังไม่สามารถตระหนักได้ว่าการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของตนเป็นเพราะไข่มุกสีดำที่กลืนไปก่อนหน้า เขาก็คงไม่ใช่โจวเหว่ยชิงแล้ว อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา และสิ่งที่เด็กหนุ่มทำได้ก็มีเพียงแค่ยอมรับและพึ่งพามันเท่านั้น
สิ่งที่โจวเหว่ยชิงไม่รู้ก็คือ เส้นลมปราณอุดตันที่ปิดกั้นเขาจากการฝึกปราณมา 13 ปี นั้นได้ถูกชำระล้างออกด้วยกลุ่มพลังสีดำ และขาวที่กำลังหมุนวนรอบร่างกายแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งสกปรกในร่างกายของเขาก็ถูกขับออกอย่างรวดเร็วเช่นกัน ร่างทั้งร่างจึงตกอยู่ท่ามกลางความเจ็บปวดทรมาณแสนสาหัส โจวเหว่ยชิงกำลังเข้าสู่กระบวนการชำระล้างร่างกายใหม่ทั้งหมด ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการฝึกปราณสวรรค์ 3 ระดับแรก
ในค่ายทหารเวลานี้มีเพียง 2 กองร้อยซึ่งประกอบไปด้วยทหาร 200 นายประจำการอยู่นอกเมืองหลวง ซึ่งพลทหารทั้งสองกองร้อยนี้คือพลธนูและพลทหารราบ อย่างไรก็ตามพวกเขามาที่นี่เพื่อจุดประสงค์ในการรับสมัครทหารใหม่เท่านั้น ดังนั้นทหาร 200 นายก็เพียงพอแล้ว
ในฐานะผู้บัญชาการกองพัน ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงเป็นมีตำแหน่งสูงที่สุดในค่าย และกระโจมของเธอก็ยังตั้งอยู่กลางค่ายอีกด้วย ในขณะนี้ หญิงสาวกำลังนั่งไขว่ห้างบนเตียงของตนเองเพื่อฝึกพลังปราณสวรรค์
ไม่ว่าจะเป็นจ้าวมณียุทธ์ จ้าวมณีธาตุ หรือแม้แต่จ้าวมณีสวรรค์ ปราณสวรรค์นั้นถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐาน หากต้องการเพิ่มระดับให้มณี คนๆนั้นก็ต้องฝึกเพิ่มพลังปราณสวรรค์เสียก่อน
ทันใดนั้นคิ้วของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็กระตุก กระแสพลังสีเขียวจางๆ ถูกปล่อยออกมาจากริมฝีปากของเธอก่อนจะถูกดูดกลับอย่างช้าๆ ผ่านทางจมูก มือของหญิงสาวค่อยๆ วางกลับลงบนหัวเข่า จากนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เปิดดวงตาขึ้น
“นั่นมันคือพลังอะไร? ช่างเป็นความรู้สึกที่เยือกเย็นเหลือเกิน เป็นมณีธาตุหรือมณียุทธกันแน่? จ้าวมณีสวรรค์? มีจ้าวมณีสวรรค์เกิดขึ้นในค่ายของเรางั้นหรือ!!!?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ลุกออกจากเตียงอย่างรวดเร็ว ดวงตาฉายความไม่มั่นใจ ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ ความรู้สึกของเธอนั้นไวและเฉียบคมกว่าคนทั่วไปถึง 10 เท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อจ้าวมณีสวรรค์ด้วยกันเอง
เมื่อมณีสวรรค์ตื่นขึ้นก็มักจะมีเสียงพลังปะทุออกมาเสียงดัง เช่นเดียวกับเวลาที่มีมณียุทธ และมณีธาตุเกิดขึ้นมา ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวก็มักจะกระตุ้นให้จ้าวมณีสวรรค์ในบริเวณใกล้เคียงเกิดปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรุนแรง แน่นอนว่าขอบเขตของการรับรู้นี้ย่อมมีจำกัด อย่างเช่นแม่ทัพโจวซึ่งอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลของเขาก็จะไม่สามารถรับรู้ได้
หลังจากหยุดพักสักครู่เพื่อฟื้นตัว ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็มุ่งไปยังแหล่งที่มาของพลังนั่นทันที สายตาของเธอมุ่งตรงไปยังทิศเดียว หญิงสาวมั่นใจว่านั่นคือพลังที่ตื่นขึ้นมาของจ้าวมณีสวรรค์อย่างแน่นอน และอดไม่ได้ที่จะชื่นชมยินดี
อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์นั้นมีจ้าวมณีสวรรค์เพียง 2 คน นั่นคือแม่ทัพใหญ่โจว และตัวเธอเอง สำหรับ อาณาจักรเล็กๆ เช่นอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์นั้น การมีจ้าวมณีสวรรค์เพิ่มขึ้นมาอีกคนย่อมหมายถึงความแตกต่างอย่างมหาศาล เหตุผลที่ว่าทำไมอาณาจักรคาลิเซจึงสามารถหยุดยั้งอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ได้อยู่เสมอ ก็เป็นเพราะว่าพวกเขามีจ้าวมณีสวรรค์ 3 คน หากไม่ใช่เพราะระดับปราณสวรรค์ของแม่ทัพโจวนั้นสูงกว่าพวกเขาอยู่มาก อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ก็อาจถูกอาณาจักรคาลิเซกำจัดไปแล้วก็เป็นได้ เพราะอาณาจักรคาลิเซนั้นต้องการดินแดนของพวกเขามาเป็นเวลานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาณาเขตบริเวณป่าดารา
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้หยุดวิ่งแม้แต่น้อย เธอรู้ว่าช่วงเวลาที่พลังของจ้าวมณีสวรรค์ตื่นขึ้นมานั้นเป็นช่วงเวลาที่อันตรายมาก หากพวกเขาไม่ระวัง ร่างกายของพวกเขาก็จะถูกทำลายโดยพลังมหาศาลที่เกิดจากการตื่นขึ้นของมณีคู่
นั่นจึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ว่าทำไมมีจ้าวมณีสวรรค์จำนวนน้อยมาก เนื่องจากจ้าวมณีสวรรค์เกือบ 3 ใน 10 มักจะไม่รอดจากการณ์ที่กล่าวไปก่อนหน้า ดังนั้นเธอจึงต้องค้นหาจ้าวมณีสวรรค์คนนั้นให้เร็วที่สุด เพื่อช่วยเหลือเขาให้ปลุกพลังสำเร็จลุล่วงไปได้อย่างปลอดภัย
เมื่อใช้สัญชาตญาณค้นหา ในที่สุดซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ค้นพบแหล่งที่มาของพลังอย่างรวดเร็ว เมื่อเดินผ่านกระโจมต่างๆ ไปจนถึงกระโจมเล็กๆ ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ณ บริเวณริมเขตค่ายทหาร เธอก็อดจะไม่ได้ที่จะหยุดยืนมองด้วยความสับสน และประหลาดใจอย่างสุดขั้ว
เป็นเจ้านั่น!? จะเป็นเจ้านั่นไปได้อย่างไร!? นี่มันกระโจมของเจ้าอ้วนน้อยโจวที่เป็นลมหมดสติไปตอนบ่ายมิใช่หรือ?
ในความเป็นจริงนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้รังเกียจโจวเหว่ยชิง แต่ทว่าเรื่องที่เขาทำให้เธอโมโหหลายครั้งหลายคราด้วยความบังเอิญนั่นก็ทำให้เธอตัดสินใจว่าต้องลงโทษจอมเจ้าเล่ห์อย่างเขาสักครั้ง ในสายตาของหญิงสาว โจวเหว่ยชิงเป็นเพียงทหารตัวเล็กๆ ภายในกองทัพ ภายนอกเขาเป็นคนดูซื่อตรง แต่ภายในกลับเป็นคนเจ้าเล่ห์กลับกลอก อย่างไรก็ตาม สำหรับเธอเขาก็ไม่ใช่คนแปลกประหลาดอะไร ดังนั้นหลังจากที่เห็นเด็กหนุ่มเป็นลมหมดสติไป เพราะความเหนื่อยล้าในวันนี้ เธอก็ได้ตัดสินใจจะลดน้ำหนักของหินในวันพรุ่งนี้แล้วด้วยซ้ำ แน่นอนว่าเหตุผลที่ฝึกเช่นนี้ไม่ใช่แค่เพียงต้องการจะลงโทษโจวเหว่ยชิง แต่เธอนั้นประทับใจในพรสวรรค์ในการยิงธนูของเขาด้วย จึงต้องการฝึกร่างกายของอีกฝ่ายให้แข็งแรง ซึ่งถ้าหากโจวเหว่ยชิงรู้เรื่องนี้ ใครจะรู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เป็นคนจิตใจดีแต่กำเนิด และถึงแม้หญิงสาวจะยืนสับสนอยู่นอกกระโจมด้วยความตกใจอยู่พักหนึ่ง สักครู่เธอก็กลับมามีสติอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดแล้ว โจวเหว่ยชิงก็เป็นทหารใต้บังคับบัญชาของตน นั่นไม่รวมถึงประโยชน์ที่กองพันของเธอจะได้รับหากว่ามีจ้าวมณีสวรรค์เพิ่มขึ้นมาอีกคน และเนื่องจากทั้งคู่ก็ต่างเป็นประชาชนของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ หญิงสาวจึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ลงมือช่วยเขาในครั้งนี้
คิดได้ดังนั้น เธอจึงไม่ลังเลที่จะพุ่งตัวไปยังกระโจมของโจวเหว่ยชิง ก่อนจะก้าวเข้าไปในกระโจม ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็รู้สึกได้ถึงกระแสไอความเย็นขนาดใหญ่พัดออกมาจากภายในกระโจม แม้ว่าหญิงสาวจะมีปราณสวรรค์ระดับ 8 แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะหนาวสั่นราวกับเลือดทั้งหมดในร่างกายจับตัวเป็นน้ำแข็ง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เร่งโคจรพลังปราณสวรรค์อย่างรวดเร็วเพื่อต่อต้านไอเย็น
ช่างเป็นพลังที่รุนแรงเสียจริง! ทั้งๆ ที่ตอนกลางวันเธอลองจับชีพจรเขาดูและพบว่าอีกฝ่ายไม่มีปราณสวรรค์ใดๆเลย แต่ทว่าในตอนกลางคืนเขากลับปลุกพลังมณีออกมาได้? จะเป็นไปได้หรือที่ในช่วงเวลาสั้นๆเด็กหนุ่มจะเพิ่มระดับพลังปราณสวรรค์ไปถึง 4 ขั้น?
จ้าวมณีสวรรค์นั้นแตกต่างจากจ้าวมณียุทธ์และจ้าวมณีธาตุ – พวกเขาจะต้องมีปราณสวรรค์ระดับ 4 ก่อนจึงจะปลุกมณีของพวกขึ้นมาได้ นั่นจึงยากกว่าเมื่อเทียบกับจ้าวมณียุทธ์และจ้าวมณีธาตุที่สามารถปลุกมณีได้เมื่อปราณสวรรค์อยู่ในระดับที่ 3
ขณะที่หญิงสาวกำลังกรุ่นคิดนั้น ภายในใจก็เต็มไปด้วยความสับสน สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือความเย็นยะเยือกจนถึงไขกระดูกเช่นนี้ แม้แต่จ้าวมณีธาตุน้ำก็ไม่สามารถปลดปล่อยออกมาได้ แม้แต่พลังน้ำแข็งของพวกเขาก็ทำให้รู้สึกเพียงหนาวเย็นเท่านั้น ไม่ใช่ความเย็นจัดไปถึงกระดูกและมืดมิดเช่นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าทักษะธาตุของเขาคือธาตุมืด?
เมื่อเทียบกับจ้าวมณีสวรรค์ด้วยกันเอง ทักษะธาตุจากมณีของพวกเขาเป็นปัจจัยหลักในการกำหนดความแข็งแกร่ง ในบรรดาทักษะธาตุทั้งหมด ธาตุที่แข็งแกร่งที่สุดคือธาตุมืด ธาตุแสง ธาตุมิติ และธาตุชีวิต ทักษะธาตุทั้ง 4 นี้จึงถือว่าเป็น 4 ทักษะธาตุที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่เพียงแต่หายากมาก แต่ยังแข็งแกร่งกว่าทักษะธาตุทั่วๆ ไปอีกด้วย ซึ่งในบรรดาทักษะธาตุทั้ง 4 ชนิดนี้ ธาตุมืดได้รับการยอมรับว่าลึกลับที่สุด หากเจ้าอ้วนน้อยโจวนี้มีทักษะธาตุมืดจริงๆ อนาคตของเขาก็จะรุ่งโรจน์มาก ยิ่งไปกว่านั้น นั่นอาจจะทำให้เขามีพลังยิ่งใหญ่กว่าเธออีกก็เป็นได้
เมื่อคิดได้ดังนั้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ไม่กล้ารั้งรออีกต่อไป เธอมุดเข้าไปในกระโจมอย่างรวดเร็ว ทันทีที่หญิงสาวเข้าไปถึงข้างในกระโจม สิ่งแรกที่เห็นก็คือดวงตาสีแดงก่ำดุจเลือดคู่หนึ่ง
…………………………………………………………………